หลี่ว์เสียนทรยศแล้ว เชื่อฟังคำสั่งมารกระบี่เต้ายวน สวามิภักดิ์ต่อเจ้าแคว้นคีรีดำ!
เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ก็เหมือนสายฟ้าฟาดท่ามกลางอากาศแจ่มใส เรียกแรงสะเทือนครั้งใหญ่ขึ้นในอาณาเขตที่เจ้าแคว้นคลั่งโลหิตปกครองอยู่
“หลี่ว์เสียนเป็นถึงมกุฎกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง จะเลือกกทรยศได้อย่างไรกัน”
คนไม่รู้เท่าไหร่ปากกอ้าตาค้าง
“ข่าวเป็นเรื่องจริง มีคนเห็นเองกับตา จู่ๆ หลี่ว์เสียนก็ฆ่าพวกแม่ทัพใต้อาณัติเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตหลายคน”
“มารกระบี่เต้ายวนนี่จะน่ากลัวเกินไปแล้ว เขาทำให้หลี่ว์เสียนยอมเชื่อฟังได้อย่างไร”
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความโกลาหลครั้งใหญ่ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอนแล้ว”
ในอาณาเขตที่เจ้าแคว้นคลั่งโลหิตควบคุมอยู่ หัวใจผู้คนครั่นคร้าม แต่ละคนรู้สึกเป็นอันตราย
ระยะนี้เริ่มจากเจ้าเมืองห้าสิบสี่เมืองทรยศก่อน เรียกระลอกคลื่นใหญ่ฉับพลัน
ใครเลยจะคาดคิดว่าเพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเท่านั้น แม้แต่หลี่ว์เสียนที่ถูกมองเป็นหนึ่งในมือซ้ายมือขวาของเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตก็ยังพลอยทรยศหักหลังไปด้วย นี่น่าตกใจเกินไปแล้ว
เขาทองทมิฬ
เจ้าแคว้นคลั่งโลหิตเดือดดาลอย่างสิ้นเชิง ส่งเสียงคำรามสะท้านฟ้าออกมา “เจ้าเฒ่าคีรีดำชาติชั่ว ข้าสาบานว่ามีข้าต้องไม่มีเจ้า!”
ในวันนี้ เจ้าแคว้นคลั่งโลหิตที่เดือดดาลแทบคลั่งเคลื่อนไหวขุมกำลังทั้งหมด บุกไปยังอาณาเขตที่เจ้าแคว้นคีรีดำครอบครองอยู่
……
“อะไรนะ? หลี่ว์เสียนยังทรยศ?”
เขายุทธ์สวรรค์ ตอนที่ได้รู้ข่าว ขนาดจักรพรรดิมารคีรีดำยังอึ้งไป ไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง
หลี่ว์เสียนเป็นมกุฎกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง ซ้ำเป็นแม่ทัพมากฝีมือที่เจ้าแคว้นคลั่งโลหิตตั้งความหวังไว้มากที่สุด การหักหลังของเขาสามารถทำให้เจ้าแคว้นคลั่งโลหิตคลุ้มคลั่งได้อย่างแน่นอน!
“มารกระบี่เต้ายวนนี่มีฝีมือขนาดนี้จริงๆ หรือ”
จักรพรรดิมารคีรีดำสีหน้าวูบไหวไม่นิ่ง เดิมทีเขาควรรู้สึกดีใจหาใดเปรียบ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกดีใจไม่ได้เลย
สาเหตุก็เพราะ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นระยะนี้ปุบปับและผิดธรรมดามากเกินไป ทำให้เขารู้สึกเป็นผู้ถูกกระทำอย่างหนึ่ง
“นายท่าน ศึกนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว…”
เงาร่างของเลี่ยกวงปรากฏอยู่นอกโถงใหญ่ เอ่ยปากเสียงขรึม “เพิ่งมีข่าวส่งมาเมื่อครู่ มกุฎกึ่งจักรพรรดิมู่ชิงหยางบริวารของเจ้าแคว้นคลั่งโลหิต ได้พาผู้แข็งแกร่งทั้งกลุ่มบุกเข้ามาในอาณาเขตของพวกเราแล้ว”
เจ้าแคว้นคีรีดำนัยน์ตาหดรัด จากนั้นก็กัดฟันกล่าวทันควันว่า “สั่งการลงไป ระดมกองกำลังทั้งหมด ประกาศศึกกับเจ้าเฒ่าคลั่งโลหิต!”
“ขอรับ!”
เลี่ยกวงรับคำสั่งแล้วออกไป
……
“เจ้าแคว้นคลั่งโลหิตกับเจ้าแคว้นคีรีดำเปิดศึกกัน ระหว่างสองขุมอำนาจใหญ่บังเกิดศึกนองเลือดรอบด้านแล้ว!”
ข่าวนี้หอบม้วนทั่วทั้งแคว้นหนาวเหน็บประหนึ่งพายุมรสุม ชั่วพริบตาเจ้าแคว้นอื่นๆ ในสิบเจ้าแคว้นใหญ่ล้วนถูกทำให้สะดุ้ง
ระหว่างสองเจ้าแคว้นใหญ่เกิดการต่อสู้รอบด้าน นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่สะท้านสะเทือนฟ้าดิน!
ต่อให้อยู่ในโลกมืดยังหาพบได้ยากยิ่ง ไม่อยากเรียกความสนใจของผู้คนยังยาก
“พวกเขาสองคนบ้าไปแล้วหรือ”
“เพื่อจะแย่งชิงอาณาเขต ถึงกับเปิดศึกรอบด้านโดยไม่สนทุกสิ่ง ออกจะเลอะเลือนเกินไปแล้ว!”
“นกปากซ่อมสู้กับหอยกาบ ชาวประมงได้ประโยชน์ พวกเขาไม่ห่วงว่าจะถูกเจ้าแคว้นอื่นๆ ฉวยโอกาสหรือ”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ฮือฮานับไม่ถ้วนดังขึ้นในอาณาเขตกว้างขวางของแคว้นหนาวเหน็บ ขุมอำนาจเจ้าแคว้นอื่นๆ ต่างเพ่งความสนใจไปที่การต่อสู้ครั้งนี้อย่างไม่วางตา
“ในที่สุดก็เริ่มฆ่าฟันกันแล้ว!”
ลมหายใจของจี้เหลิ่งเปลี่ยนเป็นถี่รัว สีหน้าฮึกเหิมยากจะปกปิด
เวลานี้เขากับหลินสวินมาถึงในเมืองที่มีชื่อเรียกว่า ‘เมืองแสงเงิน’ แล้ว กำลังนั่งดื่มสุรากันอยู่ในหอสุราแห่งหนึ่ง
เมื่อเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตและเจ้าแคว้นคีรีดำเปิดศึกระหว่างสองขุมอำนาจใหญ่ เมืองที่ตั้งอยู่ ‘แนวหน้า’ อย่างเมืองหม่อนคมก็กลายเป็นพื้นที่อันตรายร้ายแรงของศึกนี้ ทุกหย่อมหญ้าล้วนเป็นภาพการเข่นฆ่านองเลือด เพลิงโหมเสียดฟ้า
สถานที่เช่นเมืองแสงเงิน ถึงแม้จะอยู่ห่างจากสนามรบไกลโพ้น แต่จิตใจผู้คนก็หวาดหวั่นเช่นกัน ผู้ฝึกปราณมากมายเผ่นหนีตั้งแต่เนิ่นๆ กลัวเพียงว่าเพลิงศึกจะม้วนกวาดมาและโดนลูกหลง
หลินสวินกำลังร่ำสุรา สีหน้าผ่อนคลาย
เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา จู่ๆ ในใจจี้เหลิ่งก็มีความรู้สึกทอดถอนใจที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่งถาโถม ใครจะคิดได้ ว่าการต่อสู้ที่สามารถสะเทือนแคว้นหนาวเหน็บแห่งนี้ อันที่จริงเกิดจากอุบายของชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ยามเคลื่อนไหวพร้อมกับหลินสวินเมื่อหลายวันก่อน จี้เหลิ่งก็มีรู้สึกไม่สมจริงราวกับฝันไป
น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
จู่ๆ หลินสวินที่กำลังร่ำสุราอยู่ก็เอ่ยปากกล่าวว่า “จี้เหลิ่ง พรุ่งนี้ข้าจะจากไปสักระยะ”
จี้เหลิ่งอึ้งไป “ผู้อาวุโสจะไปไหน”
หลินสวินกล่าวสบายๆ “จุดไฟต่อ”
จี้เหลิ่งอึ้งงัน ตอนนี้เจ้าแคว้นคีรีดำกับเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตลล้วนเข่นฆ่ากันแล้ว หรือว่าการเคลื่อนไหวเช่นนี้ยังไม่พออีก
หลินสวินกล่าว “ยังจำคำที่ข้าพูดได้หรือไม่ ขอเพียงเจ้ากล้ามากพอ ภายหน้าต่อให้เป็นเจ้าแคว้นก็หาใช่เรื่องยาก”
จี้เหลิ่งยิ้มขื่น เขาเป็นเพียงมกุฎมหาอริยะคนหนึ่ง แม้จะกลายเป็นเจ้าแคว้นก็อาจถูกคนฆ่าตายได้ทุกเมื่อ
โลกมืดไม่เคยขาดแคลนพวกร้ายกาจเลย!
หลินสวินคล้ายมองทะลุความคิดในใจจี้เหลิ่งได้ในปราดเดียว กล่าวด้วยแววตาลุ่มลึกว่า “หากข้าทำให้คนที่สวามิภักดิ์พวกนั้นพร้อมใจกันเชื่อฟังคำสั่งเจ้าล่ะ อย่างเช่นมีหลี่ว์เสียนอยู่ ใต้ระดับจักรพรรดิ พวกธรรมดาทั่วไปก็จะฆ่าเจ้าไม่ได้”
จี้เหลิ่งรู้สึกเพียงว่าหัวสมองดังสนั่นคราหนึ่ง มีปฏิกิริยาตอบกลับแล้ว อดกล่าวเสียงสั่นไม่ได้ว่า “ผู้อาวุโส ท่านหมายความว่า จะทำให้พวกคนที่โดนมายาแห่งความหวาดกลัวเชื่อฟังคำสั่งข้าทั้งหมดหรือ”
หากเป็นเช่นนี้ การกลายเป็นเจ้าแคว้น… ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องยากสักนิด!
หลินสวินพยักหน้า จี้เหลิ่งเฉลียวฉลาดยิ่งและมีฝีมือ ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวก็คือศักยภาพยังอ่อนแอเกินไป ทว่าหากมีผู้แข็งแกร่งทั้งกลุ่มสวามิภักดิ์ เชื่อฟังคำสั่งเขา เช่นนั้นก็ต่างไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
“แต่ว่า… พวกระดับจักรพรรดิล่ะ”
จี้เหลิ่งอดกล่าวไม่ได้
หลินสวินยิ้ม มองออกว่าจี้เหลิ่งไม่ได้ถูกมอมเมาจนขาดสติ
เขาเอ่ยประโยคที่ชวนคิดตามอย่างหนึ่งว่า “หากระดับจักรพรรดิรังควานเจ้า ย่อมมีเจ้าแคว้นคีรีดำช่วยเจ้าจัดการ ก็เหมือนตอนนี้ เจ้าแคว้นคีรีดำเริ่มสู้กับเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตแล้วไม่ใช่หรือ”
จี้เหลิ่งสูดหายใจสะท้าน กล่าวอย่างอึ้งงัน “ข้า… ดูเหมือนจะเข้าใจบ้างแล้ว…”
ความปรารถนาที่ไม่เคยมีมาก่อนระเบิดปะทุดุจภูเขาไฟ พอจี้เหลิ่งนึกถึงภาพในภายหน้า เลือดทั่วร่างก็จวนจะเดือดพล่าน
“หลายวันนี้ก็ให้หลี่ว์เสียนติดตามอยู่ข้างกายเจ้า ฟังคำสั่งของเจ้า และคุ้มครองเจ้าไปพลางๆ ด้วยแล้วกัน”
หลินสวินหยัดตัวขึ้น พริบตาเดียวก็หายไปจากหอสุรา
และพร้อมกันนั้น จี้เหลิ่งก็เห็นว่าหลี่ว์เสียนที่เหมือนคุณชายชั้นสูง สวมชุดเงินปรากฏตัวขึ้นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ สบสายตากับเขาพอดิบพอดี
ในใจจี้เหลิ่งหวั่นหวาดอย่างบอกไม่ถูก
“หลี่ว์เสียน ขอรับคำสั่งจากใต้เท้า” หลี่ว์เสียนก้มหน้า เอ่ยปากเสียงขรึม
สีหน้าของจี้เหลิ่งเปลี่ยนไปพักหนึ่ง นัยน์ตาเจือแววแน่วแน่ “หลี่ว์เสียน นับแต่นี้เป็นต้นไปเจ้าก็ติดตามอยู่ข้างกายข้า คุ้มครองข้ารอบด้าน!”
“ขอรับ”
หลี่ว์เสียนรับคำโดยไม่ต้องคิด
จี้เหลิ่งเองก็เพิ่งสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งในตอนนี้ว่า ‘มายาแห่งความหวาดกลัว’ นั้นน่ากลัวปานใด!
……
เมืองหม่อนคมที่อยู่ตรงกลางระหว่างสองขุมอำนาจเจ้าแคว้นใหญ่ถูกเพลิงศึกทำลายนานแล้ว ทุกแห่งหนมีแต่ภาพซากหักพังและการทำลายล้าง
ห่างจากเมืองหม่อนคมออกไปเจ็ดพันลี้ ภายใต้เวิ้งฟ้า
ตูม!
ฟ้าดินปั่นป่วน ภูผาธาราพังราบ ประกายศักดิ์สิทธิ์น่าสะพรึงไร้สิ้นสุดหอบม้วน ทำให้พื้นที่แถบนี้ราวกับจมสู่เคราะห์วันสิ้นโลก
ที่นี่เป็นสนามรบของเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตและเจ้าแคว้นคีรีดำ
“เจ้าเฒ่าคีรีดำ ครั้งนี้ต่อให้ข้าต้องทุ่มชีวิต ก็ต้องฆ่าคนชาติหมาอย่างเจ้าให้ได้!”
เจ้าแคว้นคลั่งโลหิตคำรามดุจอสนี เงาร่างของเขาปลดปล่อยไอเลือดระฟ้า ถือขวานยักษ์ที่สายฟ้ารายล้อมด้ามหนึ่ง บุกฆ่าดุเดือด โหดเหี้ยมแข็งกร้าว
เห็นได้ชัดว่าเขาบาดเจ็บแล้ว แต่ยามต่อสู้ยังคงห้าวหาญ ทุกท่วงท่าอิริยาบถมีกฎเกณฑ์ระดับจักรพรรดิอบอวล บดขยี้ห้วงอากาศ
“เจ้าหมีเฒ่า หากข้าบอกว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่คำสั่งการของข้า เจ้าจะเชื่อหรือไม่” สีหน้าของเจ้าแคว้นคีรีดำไม่น่าดู
ต่อสู้จนถึงตอนนี้ เขาก็อ่อนแรงบาดเจ็บสะสมเช่นกัน สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกรับมือยากที่สุดคือ เห็นชัดว่าเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตสู้สุดชีวิต ทำให้เขารู้สึกกดดันสุดขีด
และเมื่อนึกถึงว่าการต่อสู้ครั้งนี้ถูกคนอื่นบงการอย่างสิ้นเชิง และตนก็ได้แต่ถูกหอบม้วนเข้ามา ในใจเจ้าแคว้นคีรีดำก็สุมเพลิงโทสะหาใดเปรียบ
เจ้าแคว้นคลั่งโลหิตคำราม โกรธจนดวงตาแดงก่ำ “เจ้าระยำคีรีดำ จนป่านนี้แล้วเจ้ายังไม่ยอมรับหรือ เจ้าเห็นว่าข้าเบาปัญญาจริงๆ หรือ”
ตูม!
กล่าวพลางเขาก็ฟันขวานไปทางเจ้าแคว้นคีรีดำอย่างแรง ฝ่ายหลังถูกซัดสะเทือนจนเลือดลมม้วนตลบ และบันดาลโทสะขึ้นมาทันทีเช่นกัน
“เจ้าหมีเฒ่า คิดว่าข้ากลัวเจ้าจริงๆ หรือ”
“กลัว? ข้าจะทำให้สวะเฒ่าที่ทำเรื่องต่ำช้าอย่างเจ้าตายซะ!”
ชั่วขณะหนึ่งระดับจักรพรรดิสองคนเข่นฆ่ากันราวกับบ้าคลั่ง ระบายเพลิงโทสะออกมา
ไม่นานเจ้าแคว้นคีรีดำก็บาดเจ็บหนักขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน แต่เขาทุ่มสุดชีวิตเข้าต่อสู้ จึงไม่สนใจสักนิด
เจ้าแคว้นคีรีดำร้อนรนแล้ว เขาไม่อยากพินาศกันทั้งสองฝ่าย เช่นนั้นไม่คุ้มค่าเกินไป
“หยุดมือ!”
เขาคำราม ตาเบิกโต “ข้าสงสัยว่านี่เป็นไปได้สูงยิ่งว่าจะเป็นอุบายของมารกระบี่เต้ายวนนั่น เพื่อทำให้เจ้ากับข้าวอดวายกันทั้งคู่!”
“อุบาย? จนป่านนี้เจ้ายังไม่ยอมรับอีกหรือ”
เจ้าแคว้นคลั่งโลหิตโทสะดุจสายฟ้า ยิ่งลงมืออย่างคลุ้มคลั่งขึ้นเรื่อยๆ
เจ้าแคว้นคีรีดำรู้สึกเพียงอัดอั้น กล้ำกลืน และเดือดดาลอย่างบอกไม่ถูก เขากัดฟันกล่าวทันทีว่า “ข้ายอมรับ ใช้ได้แล้วกระมัง หยุดมือก่อนได้หรือไม่”
“ถึงขั้นยอมรับแล้ว ยังอยากให้ข้าหยุดมือ? เจ้าเฒ่าคีรีดำ เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!” เจ้าแคว้นคลั่งโลหิตตะโกน
ตูม!
การต่อสู้ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ เจ้าแคว้นคลั่งโลหิตสู้สุดชีวิต ขวานยักษ์ถูกเขาโบกสะบัด แฝงอานุภาพเบิกฟ้าผ่าดิน กวาดขวางแปดทิศ
ไกลออกไป หลินสวินที่เพิ่งมาถึงไม่นานมองเห็นภาพเช่นนี้ สายตาก็เปลี่ยนเป็นแปลกพิกลอย่างอดไม่ได้
ในใจเจ้าแคว้นคีรีดำ… เกรงว่าจะชิงชังตนเจียนตายแล้วกระมัง
‘เย่จื่อ ตาเจ้าลงมือแล้ว’ หลินสวินสื่อจิต
ชิ้ง!
กล่องกระบี่สำริดที่สะพายอยู่บนหลังหลินสวินเกิดเสียงกึกก้อง เย่จื่อที่ประหนึ่งแสงเจิดจรัสสายหนึ่งพุ่งโฉบทันที อันตรธานหายไป
ครู่ต่อมาก็เห็นเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตที่เดือดดาลเหมือนเสียสติในสนามรบ จู่ๆ ทั่วร่างก็แข็งทื่อ อานุภาพโจมตีปรากฏการชะงักค้างเสี้ยวหนึ่ง
เคร้ง!
และขณะเดียวกันนั้น ทวนศึกที่โบกสะบัดอยู่ในมือของเจ้าแคว้นคีรีดำก็ถูกปราณกระบี่สายหนึ่งขวางไว้ สะเทือนจนเงาร่างของเขาซวนเซถอยกรูดรุนแรง
“ใคร”
เจ้าแคว้นคีรีดำหน้าเปลี่ยนสีทันควัน
จากนั้นเขาก็มองเห็นเงาร่างล่ำสันดุจภูเขาของเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตร่วงจากห้วงอากาศตรงๆ ศีรษะทิ่มพื้นดิน เศษหินนับไม่ถ้วนพุ่งกระเด็น ฝุ่นควันคละคลุ้ง
“นี่…”
หัวใจเจ้าแคว้นคีรีดำหนาวสะท้าน หมุนตัวหมายจะหนี
และในเวลานี้เอง เสียงเรียบๆ สายหนึ่งก็ดังขึ้น
“ข้าน้อยเต้ายวน มุ่งหน้ามาคารวะใต้เท้าคีรีดำ”
ประโยคเดียวก้องสะท้อนกลางฟ้าดินที่ปั่นป่วนแห่งนี้ ทำเอาเงาร่างเจ้าแคว้นคีรีดำหยุดชะงักอยู่ตรงนั้น หน้าดำเหมือนก้นหม้อในทันที