เมืองแสงเงิน
ในจวนเจ้าเมือง กระบวนรอยสลักวิญญาณแห่งหนึ่งโคจรดังกัมปนาท ยามกระบวนค่ายกลโคจร ผลึกมรรคนับไม่ถ้วนที่กองเป็นภูเขากลายเป็นกระแสไอวิญญาณพลุ่งพล่าน ถูกหลินสวินที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางค่ายกลดูดซับไป
โลกมืดไอวิญญาณบางเบา ยากไร้หาใดเปรียบ ทำให้ยามฝึกหลินสวินไม่อาจไม่พึ่งพาทรัพยากรในการฝึกปราณ ถึงจะบรรลุความต้องการในการฝึกปราณของตนได้
ทั้งรากฐานของเขายังแข็งแกร่งหาใดเปรียบ ทรัพยากรที่ต้องการยามฝึกปราณก็เรียกได้ว่าชวนตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ใช่ว่าคนในระดับเดียวกันจะเทียบได้
เคราะห์ดีที่ในช่วงสองเดือนนี้เขากรำศึกไปทั่ว ขูดรีดทรัพย์สินมาเมืองแล้วเมืองเล่า ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเวลาฝึกปราณ
อย่างผลึกมรรคที่เขาครอบครองอยู่ตอนนี้ ก็มีมากถึงหนึ่งแสนแปดหมื่นกว่าล้าน!
ภายในนี้เกือบทั้งหมดล้วนมาจากเจ้าแคว้นเจ็ดคนที่รวมเจ้าแคว้นคีรีดำและเจ้าแคว้นคลั่งโลหิต พวกเขาปกครองแคว้นหนาวเหน็บมาหลายปี ทรัพย์สินที่แต่ละคนสะสมไว้ล้วนชวนตะลึงหาใดเปรียบ
ยามนี้ทั้งหมดล้วนกลายเป็นของหลินสวิน
แน่นอนว่านอกจากผลึกมรรคแล้ว ทรัพย์หลังศึกของหลินสวินยังมีสมบัติอื่นอีกบางส่วน อย่างพวกลูกกลอนโอสถ ของมีค่า ศาสตราจักรพรรดิ ล้วนมีมูลค่ามหาศาล
แต่หลินสวินกลับไม่กล้าพอใจแต่เพียงเท่านี้
หนึ่งคือการฝึกปราณของเขาต้องการทรัพยากรมาจุนเจืออย่างไม่ขาดสาย สองคือวิญญาณของอู้เชวียและดาบหักก็ต้องหลอมศาสตราจักรพรรดิมาฟื้นฟูพลังดั้งเดิมเช่นกัน
สิ่งที่ทำให้หลินสวินหมดห่วงที่สุด บางทีอาจเป็นเย่จื่อ
หลังจากมีกล่องกระบี่สำริดใบนั้น เย่จื่อก็เหมือนได้เจอถ้ำสวรรค์แดนมงคล ทั้งฝึกมรรคกระบี่และฟื้นฟูพลังดั้งเดิมไม่เคยขาด
ตูม!
หลังผ่านไปสองสามชั่วยาม กระบวนรอยสลักวิญญาณหยุดโคจร พลังที่แฝงอยู่ในผลึกมรรครวมทั้งสิ้นสี่แสนเก้าหมื่นก้อนถูกหลินสวินดูดซับไป กลายเป็นฝุ่นผง
ฟุ่บๆๆ!
เมื่อหลินสวินขับเคลื่อนความคิด กายมรรคไม้เขียว กายมรรคเพลิงแดง กายมรรควารีดำทยอยปรากฏตัวออกมานั่งอยู่ข้างๆ
ภายในนั้นกายมรรควารีดำคือร่างที่เพิ่งควบรวมจิตนึกคิดและมรรควิถีออกมาได้เมื่อหลายวันก่อน ยามนั้นหลินสวินก็ใช้วิธีการเดียวกัน ถ่ายทอดวิชามรดกบางส่วนของตนให้กายมรรควารีดำหยั่งรู้
หลังจากร่างแยกมหามรรคทั้งสามปรากฏตัวก็แผ่คลื่นการรับรู้ออกมา สร้างการเชื่อมต่อที่น่าอัศจรรย์กับจิตวิญญาณดั้งเดิมของร่างต้นอย่างหลินสวิน
การหยั่งรู้และวิชาอัศจรรย์นานัปการปรากฏขึ้นในใจหลินสวินดุจกระแสน้ำทันที กลายเป็นส่วนหนึ่งกับมรรควิถีของเขา
ส่วนมรรควิถีและพลังมหามรรคของร่างต้นอย่างหลินสวินก็เกิดการตอบสนองอย่างหนึ่ง ถูกร่างแยกมหามรรคทั้งสามหยั่งถึงทีละร่าง
ในการหยั่งรู้ที่ขานรับและสอดประสานซึ่งกันและกันนี้ พลังปราณของหลินสวินประหนึ่งวารีปิ่มจวนกระฉอก ทะลวงปราณถึงระดับกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้าได้ตามธรรมชาติ!
พริบตานี้พลังขับเคลื่อนรอบตัวเขาพลุ่งพล่านแผดคำราม แสงมรรคไร้สิ้นสุดไหลวนพวยพุ่ง อานุภาพชวนประหวั่นที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ฟ้าดินแถบนี้สั่นสะเทือนขึ้นมาทันที
หากไม่ใช่ว่าเขาวางกระบวนผนึกไว้ล่วงหน้า แค่การเคลื่อนไหวนี้ก็สร้างความเสียหายที่ไม่อาจจินตนาการให้กับเมืองแสงเงินได้แล้ว
เนิ่นนานลักษณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นรอบตัวหลินสวินจึงสงบลงทีละน้อย การขับเคลื่อนพลังทั่วร่างสั่งสมอยู่ภายใน ทั้งตัวแผ่กลิ่นอายเลือนรางที่โดดเด่นประหนึ่งเซียนออกมา
แค่เพียงหายใจก็ทำให้ห้วงอากาศใกล้เคียงสั่นสะเทือนเหมือนระลอกคลื่น อานุภาพที่มองไม่เห็นนั้นดูแข็งแกร่งเป็นพิเศษ
หลินสวินสัมผัสได้ชัดเจน เทียบกับก่อนหน้านี้พลังต่อสู้ของตนแข็งแกร่งเกินเท่าตัวไปแล้ว!
ความแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่ใช่แค่การทะลวงปราณ ยังมีความรู้และการหยั่งถึงที่ตนมีต่อมหามรรค ความเข้าใจและการควบคุมวิชามรรคด้วย ทั้งหมดล้วนมีการเปลี่ยนแปลงราวพลิกฟ้าพลิกดิน
‘มรรคของข้า ใกล้จะไร้บกพร่องแล้ว…’
หลินสวินสัมผัสดูอย่างละเอียด
กฎเกณฑ์มหามรรคที่กึ่งจักรพรรดิครอบครอง ถูกมองเป็นกฎเกณฑ์ระดับจักรพรรดิที่ไม่สมบูรณ์
แต่ตั้งแต่หลินสวินก้าวสู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ กฎเกณฑ์กึ่งจักรพรรดิที่เขาครอบครองก็ใกล้จะสมบูรณ์เต็มที เทียบกับกฎเกณฑ์จักรพรรดิแท้แล้วก็ไม่ต่างกันมากเท่าไหร่
และในตอนนี้เมื่อมรรควิถีของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง พร้อมๆ กับที่ความเข้าใจที่มีต่อมหามรรคลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม กฎเกณฑ์กึ่งจักรพรรดิที่เขาครอบครอง นอกจากถูกจำกัดเพราะพลังปราณของตนแล้ว ก็แทบไม่ต่างอะไรกับกฎเกณฑ์ระดับจักรพรรดิแท้!
นี่น่าเหลือเชื่อมากอย่างไม่ต้องสงสัย
พลังปราณยังไม่ถึงระดับจักรพรรดิ แต่พลังมหามรรคที่ครอบครองกลับใกล้เคียงระดับจักรพรรดิ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังไม่เคยมีมกุฎกึ่งจักรพรรดิคนไหนทำได้ถึงขั้นนี้!
เรียกว่า ‘ไม่เคยมีมาก่อน ไร้ใดเปรียบตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน’ ก็ไม่เกินไป
‘ควรลองดูสักหน่อยว่าพลังของข้าในตอนนี้บรรลุถึงระดับใดแล้วกันแน่…’
หลินสวินลุกขึ้น ออกจากจวนเจ้าเมืองไป
…
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม
กลางภูผาธาราไร้ขอบเขตที่อยู่ห่างเมืองแสงเงินไปไกลลิบ การต่อสู้สะท้านฟ้าเพิ่งปิดฉากลง
ที่นี่ภูเขาสูงใหญ่พังทลาย ก้อนหินกลายเป็นเถ้าถ่าน โกลาหลอลหม่านไปทั้งแถบ
จักรพรรดิกระบี่นภาประสานจมูกเขียวหน้าบวม ตะกายขึ้นจากพื้นอย่างล้มลุกคลุกฝุ่น เงยหน้าขึ้นมาอย่างยากลำบาก สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง
ตั้งแต่ถูกกำราบอยู่ในเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด เขาก็เหมือนนักโทษคนหนึ่ง ตกเป็นเป้ามีชีวิตของหลินสวิน เวลาต้องการใช้ก็ใช้ เวลาไม่ต้องการใช้ก็โยนไว้ข้างๆ
และเมื่อครู่นี้เขาก็กลายเป็นเป้ามีชีวิตอีกครั้ง ถูกหลินสวินนำมาทดสอบพลังต่อสู้ของตน
ครั้งนี้เย่จื่อไม่ได้ก้าวก่าย ทำให้จักรพรรดิกระบี่นภาประสานสำแดงพลังต่อสู้ทั้งหมดของตนออกมาได้เต็มที่ แต่สุดท้าย…
เขากลับถูกกำราบ!
แรงจู่โจมนี้มากเกินไป ทำให้จักรพรรดิกระบี่นภาประสานไม่อาจยอมรับ
ต้องรู้ว่าตั้งแต่อยู่ที่โลกใหญ่หงเหมิง มากสุดหลินสวินก็ได้แต่ห้ำหั่นกับเขาที่สำแดงพลังต่อสู้ออกมาสี่ส่วน
แต่ตอนนี้เพิ่งผ่านไปประมาณครึ่งปีเท่านั้น ภายใต้สถานการณ์ที่เขาสำแดงพลังต่อสู้ทั้งหมด กลับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินสวิน!
มกุฎกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งกลับกำราบระดับจักรพรรดิได้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปต้องทำลายความเข้าใจที่คนทั่วไปเชื่อมั่น ล้มล้างแนวคิดของผู้ฝึกปราณทุกคนแน่
ระดับจักรพรรดิดั่งปราการสวรรค์ ไม่อาจก้าวล่วงได้หรือ
แต่อย่างน้อยบนโลกปัจจุบันนี้ ก็มีคนหนึ่งก้าวผ่านได้แล้ว!
ขณะเดียวกันหลินสวินจมสู่ห้วงคิด อย่างไรร่างกายของจักรพรรดิกระบี่นภาประสานก็บาดเจ็บหนัก ต่อสู้สุดกำลังก็ใช่ว่าจะเทียบกับตอนมีพลังสูงสุดได้
แต่ต่อให้อยู่ในสถานการณ์นี้ ยามเอาชนะอีกฝ่ายได้ แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บแต่กลับทำให้เขาใช้พลังกายไปกว่าครึ่ง!
สิ่งที่หลินสวินกำลังคิดคือ หากเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่งที่อยู่ในสภาพยอดเยี่ยม อาศัยพลังต่อสู้ของตนตอนนี้จะมีโอกาสชนะเท่าไหร่
หากใช้ร่างแยกมหามรรคทั้งสามลงมือพร้อมกับร่างต้น จะเพิ่มโอกาสชนะได้บ้างหรือไม่
ในหลักการเดียวกัน หากใช้ยอดอาวุธสังหารอย่างดาบไร้วิชาหรือขวดไร้ขอบเขต จะมีโอกาสชนะมากขึ้นหรือไม่
สิ่งเดียวที่หลินสวินยืนยันได้คือ หากใช้อภินิหารหยุดเวลาสังหารบุคคลระดับจักรพรรดิ ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก!
ฮู่ว…
เนิ่นนานกว่าหลินสวินจะผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ แล้วกล่าวขึ้นทันใด “จักรพรรดิกระบี่นภาประสาน หากเจ้ายอมสวามิภักดิ์ต่อข้า ภายหน้าข้าหลินสวินจะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างอยุติธรรม พิจารณาดูให้ดีเถอะ”
จักรพรรดิกระบี่นภาประสานอึ้งไป ยังไม่รอให้ตอบสนองก็ถูกกำราบเข้าไปในเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดอีกครั้ง
…
เมื่อหลินสวินกลับมาที่เมืองแสงเงิน จี้เหลิ่งก็รออยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าร้อนรนแล้ว
“ผู้อาวุโสเกิดเรื่องใหญ่แล้ว จักรพรรดิมารวายุสังหารออกคำสั่ง ว่าภายในสามวันให้เจ้าแคว้นคีรีดำมุ่งหน้าไปรับผิดขอขมาที่เขาเมฆาเลิศ!”
จี้เหลิ่งบอกข่าวที่เพิ่งได้มาอย่างรวดเร็วทันที “มิฉะนั้นต้องรับผลที่ตามมา”
“รับผิดขอขมา?”
นัยน์ตาดำลุ่มลึกของหลินสวินเยียบเย็น
“ใช่แล้ว คำสั่งนี้แม้จะมุ่งเป้ามาที่เจ้าแคว้นคีรีดำ แต่…”
พูดถึงตรงนี้จี้เหลิ่งพลันหุบปาก อีกนิดเดียวก็จะพูดความจริงที่เขาคาดเดาได้ออกมาแล้ว
หลินสวินเหลือบมองเขาเล็กน้อย “เจ้าสงสัยใช่ไหมว่าเจ้าแคว้นคีรีดำถูกข้าฆ่าไปแล้ว”
จี้เหลิ่งตัวแข็งทื่อ เพิ่งหมายจะพูดอะไรหลินสวินก็พยักหน้ากล่าว “แม้ว่าเจ้าจะเดาผิด แต่ก็คลาดเคลื่อนไปไม่เท่าไหร่”
คำตอบของหลินสวินแม้จะคลุมเครืออยู่บ้าง แต่จี้เหลิ่งกลับไม่กล้าใคร่ครวญลงไปอีก หากแต่เอ่ยว่า “ผู้อาวุโส จักรพรรดิมารวายุสังหารนั่นเป็นเจ้าแคว้นอันดับหนึ่งของแคว้นหนาวเหน็บ ทั้งตัวเขายังเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักโบราณจรัสเทพ หากล่วงเกินเขา นั่นก็เท่ากับล่วงเกินสำนักโบราณจรัสเทพ”
คำพูดเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าผู้อาวุโสจะไปรับผิดหรือไม่ ก็ล้วนไม่เข้าทีอยู่บ้าง”
“แค่สำนักโบราณจรัสเทพเท่านั้น กลัวอะไร”
หลินสวินยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ หลายปีนี้เขาสังหารผู้สืบทอดของสำนักโบราณจรัสเทพมานับไม่ถ้วน มีหรือจะกลัวเรื่องพวกนี้
อีกทั้งสองเดือนที่ผ่านมาเขายังก่อเรื่องใหญ่ที่แคว้นหนาวเหน็บขนาดนี้ ด้านหนึ่งเพื่อสร้างชื่อเสียง อีกด้านหนึ่งก็เพื่อประลองกับสำนักโบราณจรัสเทพ!
‘กลัวอะไร…’
จี้เหลิ่งอึ้งงันไปพักหนึ่ง ในโลกมืดนอกจากแดนกษิติครรภ์และหอวิหคทองแดงที่เป็นยักษ์ใหญ่ของโลกมืดเหมือนกันแล้ว ยังมีคนที่ไม่กลัวสำนักโบราณจรัสเทพด้วยหรือ
“ตั้งแต่วันนี้ไปให้เจ้าเริ่มดูแลอาณาเขตและขุมอำนาจทั้งหมดที่เจ้าแคว้นคีรีดำเหลือทิ้งไว้ ผู้แข็งแกร่งที่ถูกมายาแห่งความหวาดกลัวครอบงำพวกนั้นจะเชื่อฟังคำสั่งของเจ้า”
หลินสวินตัดสินใจ “เจ้าต้องจำไว้ให้ดี ได้แต่ลอบทำหน้าที่เป็น ‘เจ้าแคว้น’ ที่ซ่อนอยู่หลังม่านเท่านั้น หากฐานะเปิดเผยก็อันตรายแล้ว”
จี้เหลิ่งฟังถึงตรงนี้ก็คาดเดาอะไรได้ทันที “ผู้อาวุโส ท่านคิดจะจากไปแล้วหรือ”
หลินสวินพยักหน้า “แต่ต้องเตรียมตัวและระวังไว้สักหน่อยก่อน”
ผ่านไปสองเดือนแล้ว นาม ‘มารกระบี่เต้ายวน’ นั่นของเขาโด่งดังในแคว้นหนาวเหน็บนานแล้ว หากซีมาโลกมืดต้องสืบข่าวพวกนี้ได้อย่างง่ายดายแน่
ส่วนการปะทะกับสำนักโบราณจรัสเทพในครั้งนี้ ก็ถูกลิขิตให้ไม่อาจหลีกเลี่ยง
เผชิญหน้ากับการข่มขู่ของจักรพรรดิมารวายุสังหาร เขาจะสะบัดก้นเดินจากไปก็ได้ ด้วยเรื่องนี้มีเจ้าแคว้นคีรีดำเป็นแพะรับบาปอยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้เขาจะไปพบจักรพรรดิมารวายุสังหารหรือไม่ ก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก
แต่หลินสวินไม่คิดจะทำเช่นนั้น เขาอาจไปหยั่งเชิงดูได้ แต่เมื่อจักรพรรดิมารวายุสังหารสืบสาวเอาความโดยละเอียด ย่อมต้องสังเกตเห็นผ่านเบาะแสร่องรอยต่างๆ ว่ามือมืดหลังม่านที่ทำให้แคว้นหนาวเหน็บตกอยู่ในความปั่นป่วน ก็คือเขามารกระบี่เต้ายวน
และฐานะของมารกระบี่เต้ายวนนี้ก็ไม่มีน้ำหนักพอ ขอแค่ใส่ใจหน่อยก็เป็นไปได้สูงว่าจะเดาฐานะที่แท้จริงของเขาออก!
ถึงอย่างไรทั่วหล้านี้ก็รู้อยู่ก่อนแล้ว ว่ามกุฎกึ่งจักรพรรดิอย่างเขามีพลังสังหารระดับจักรพรรดิได้
ส่วนความจริงที่พวกเจ้าแคว้นคีรีดำถูกกำราบ ก็จะทำให้ศัตรูสรุปได้ชัดยิ่งกว่าเดิม ว่ามารกระบี่เต้ายวนก็คือเขาหลินสวิน
ดังนั้นหลินสวินจึงตัดสินใจไปลองเจอจักรพรรดิมารวายุสังหาร ทางที่ดีคือ ‘กำราบ’ อีกฝ่ายให้ได้ด้วย จะได้ไม่ดึงดูดความสนใจมากเกินไป
แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดก็คือฐานะถูกเปิดเผย สำหรับหลินสวินอย่างมากก็แค่จากแคว้นหนาวเหน็บนี้ไปเท่านั้น
วันนี้หลินสวินออกจากเมืองแสงเงิน มุ่งหน้าไปยังเขาเมฆาเลิศ… อาณาเขตของจักรพรรดิมารวายุสังหาร เจ้าแคว้นอันดับหนึ่งแห่งแคว้นหนาวเหน็บเพียงลำพัง!
………………………..