แต่หลินสวินก็ไม่ถอยหลบ
นัยน์ตาดำของเขาจ้องมองปาฉีที่อยู่ห่างออกไป ในแววตาคือความเด็ดเดี่ยวที่คลุ้มคลั่งถึงขีดสุด
“เย่จื่อ เจ้ากลับเข้าไปในกล่องกระบี่ก่อน”
หลินสวินเอ่ยเสียงเบา
แต่เย่จื่อกลับส่ายหัวปฏิเสธ ดูมุ่งมั่นหาใดเปรียบเช่นกัน
วิญญาณกระบี่…
จะถอยหนีได้อย่างไร
ความตายไม่ใช่เรื่องที่น่าหวาดหวั่นอะไรเลย!
หลินสวินอึ้งไป จากนั้นก็อดหัวเราะลั่นไม่ได้ “ช่างเถอะ วันนี้พวกเราพี่น้องมาสู้กับเดรัจฉานเฒ่านี่ให้ตายกันไปข้าง!”
พี่น้อง?
ในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ คำเรียกนี้กลับเหมือนพลังที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่ง ทำให้เย่จื่ออดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน
หัวเราะอย่างเบิกบานมาก
เขามีความสุขมากจริงๆ ที่แท้ในใจหลินสวินก็เห็นเขาเป็นเหมือนพี่น้อง!
ห่างออกไป เมื่อเห็นว่าหลินสวินและเย่จื่ออับจนหนทางแล้ว ปาฉีก็หัวเราะขึ้นมา สีหน้าเจือแววดูถูก ความเยียบเย็นและไอสังหารพวยพุ่ง
บาดแผลสาหัสที่ได้รับก่อนหน้านี้ ฟื้นฟูกลับมาตอนที่เลือดลมทั่วร่างเขาซัดโหมนานแล้ว แต่บาดแผลภายในกลับไม่อาจฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
แต่ไม่เป็นไร
ต่อให้บาดเจ็บหนักเจียนตาย เขาก็มั่นใจว่าจะบี้มดปลวกที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำสองตัวนี้ให้ตายได้แน่นอน!
“เจ้าหนุ่ม ปีนั้นข้าชิงชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดของเจ้ามาให้อวิ๋นชิ่งไป๋ วันนี้ข้าจะชิงจิตวิญญาณและเลือดเนื้อของเจ้ามาหลอมเป็นหุ่น ให้ตายทั้งเป็นไปชั่วกัปกัลป์!”
ท่ามกลางเสียงที่อำมหิตและแหบพร่า ปาฉีลงมือโดยไม่ลังเล
ด้านหลังเขาปรากฏวงแสงสีเลือดวงหนึ่ง สะท้อนเงาร่างสัตว์ปีศาจตัวใหญ่ไร้ขอบเขต ศีรษะมหึมาทั้งแปดเชิดขึ้น แผดเสียงคำรามบดขยี้ห้วงอากาศ
หางทั้งแปดกวัดแกว่ง ทำให้ฟ้าดินหมื่นลักษณ์ปั่นป่วน!
กระบวนผนึกมากมายที่ปกคลุมเขาเมฆาเลิศกลายเป็นเถ้าละอองลอยทั่วฟ้าทั้งอย่างนั้น พวกจักรพรรดิมารวายุสังหารที่ตื่นตระหนกจวนสิ้นหวัง พุ่งหลบไปอย่างน่าอนาถทันที
ต่อให้เป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ยังรู้สึกขวัญหนีดีฝ่อหาใดเปรียบ แทบจะหายใจไม่ออก
มหาจักรพรรดิปาฉีที่เดือดจัด ราวกับเทพมารแห่งยุคที่ก้าวออกมาจากภูเขาศพทะเลเลือด ปกคลุมฟ้าดินแถบนี้ไว้ในความหวาดกลัว!
ตูม!
ปาฉีสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง หางอสรพิษที่ใหญ่โตดั่งสันเขาพุ่งออกมา ราวกับแส้เทพที่อยู่ในมือเทพสวรรค์ บดขยี้ห้วงอากาศ หวดเฆี่ยนหยินหยาง
กลิ่นอายเพียงบางเบาของระดับจักรพรรดิขั้นแปดล้วนบดทลายใต้หล้าได้ และการโจมตีของหางอสรพิษนี้ก็ยิ่งน่ากลัวถึงขีดสุด
หลินสวินไม่หลบหลีก ด้วยไม่อาจหลบได้แต่แรก
เย่จื่อก็ไม่หลีกหลบ เขารู้ดีว่าหลินสวินที่เพิ่งมีพลังปราณระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้า อย่าว่าแต่ต้านทานการโจมตีนี้เลย แค่อานุภาพกดดันที่การโจมตีนี้ปล่อยออกมาก็ฆ่าอีกฝ่ายได้แล้ว
ดังนั้นเขาจึงไม่อาจถอย ท่าทางนิ่งสงบเด็ดเดี่ยว
ปราณกระบี่ที่คลั่งระห่ำหาใดเปรียบสะสมอยู่บนตัวเขา ราวกับจะหลอมให้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
แต่คนที่ลงมือเร็วกว่าเย่จื่อกลับเป็นศรเทพที่พร่างพรายบาดตาหาใดเปรียบสายหนึ่ง เหมือนทะลวงผ่านกาลนิรันดร์ แผ่กลิ่นอายอำมหิตถึงขีดสุดออกมา
ภายใต้ศรนี้ฟ้าดินต่างอับแสง!
เย่จื่ออึ้งไป นัยน์ตาฉายแววอัศจรรย์
เจ้าหมอนั่นลงมือแล้ว!
ก่อนจะมาถึงโลกมืด บนฟ้าดาราที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้น ลูกศรนี่ก็ทะลวงฟ้าดารา สังหารผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิขั้นสี่คนหนึ่งไปอย่างรวดเร็วรุนแรง
ภาพนั้นชวนตะลึงหาใดเปรียบ
แต่เทียบกันแล้ว ลูกศรที่ตัดผ่าอากาศมายามนี้อำมหิตยิ่งกว่า!
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ฟ้าดินหยุดชะงักไปหนึ่งพริบตาอีกครั้ง กาลเวลาหยุดนิ่ง สรรพสิ่งกลับคืนสู่ความสงัด
หางอสรพิษที่เฆี่ยนมานั้นเหมือนถูกตรึงไว้ในภาพวาด มีเพียงศรนั่นที่ตัดทำลายภาพฟ้าดิน ส่งเสียงหวีดหวิว
ตูม!
ไกลออกไป มหาจักรพรรดิปาฉีที่อานุภาพเทียมฟ้าไร้ขีดจำกัดร่างระเบิดออกทันที ฝนโลหิตสาดพรม ฟ้าดินแถบนั้นถูกย้อมไปด้วยสีเลือด
เสียงกัมปนาทราวสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทำลายฟ้าดินที่ประหนึ่งหยุดตรึงนั่น
เวลานี้เองที่พวกจักรพรรดิมารวายุสังหารเห็นมหาจักรพรรดิปาฉีถูกศรหนึ่งยิงจนร่างระเบิด ลูกตาของแต่ละคนเกือบหลุดออกมา ตะโกนร้องเสียงหลง
“เป็นไปได้อย่างไร”
ในหัวพวกเขามึนงง ว่างเปล่าไปหมด
ชั่วพริบตาก่อนหน้านี้ ทำให้มหาจักรพรรดิปาฉีเกือบถูกแหวกอกคว้านท้อง ได้รับบาดเจ็บสาหัส เดิมทีนี่ก็ทำให้พวกจักรพรรดิมารวายุสังหารรู้สึกยากจะเข้าใจ
แต่ตอนนี้เหตุการณ์ชั่วพริบตาได้เกิดขึ้นอีกครั้ง มหาจักรพรรดิปาฉีถูกศรเดียวยิงสังหาร!
เหตุการณ์นองเลือดและน่าเหลือเชื่อนั้นเกือบจะทำให้พวกเขาคลุ้มคลั่ง
มหาจักรพรรดิปาฉี คนที่อยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นแปด ‘ผู้มีฝีมืออำมหิต’ ที่สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนหวาดกลัว แข็งแกร่งและน่ากลัวระดับใด
แต่มาตายลงเช่นนี้… ได้อย่างไร!?
แววตาของเย่จื่อพลันไหววูบ มองไปข้างกายหลินสวิน อู้เชวียที่รูปร่างเหมือนเด็กหนุ่มผมเทากำลังยืนถือธนูวิญญาณไร้แก่นสารอยู่กลางอากาศ กลิ่นอายบนตัวดูอำมหิตบ้าระห่ำ
แต่เย่จื่อกลับสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ศรนี้ทำให้อู้เชวียเสียพลังไปมากอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าของเขาซีดเผือดจนแทบโปร่งแสง
และเมื่อเห็นท่าทางของหลินสวิน เย่จื่อยิ่งตกใจกว่า
หลินสวินในเวลานี้ผมดำทั้งศีรษะเปลี่ยนเป็นสีหิมะนานแล้ว ราวกับแก่ชราไปหลายปีในชั่วขณะเดียว กลิ่่นอายดูอ่อนระโหยโรยแรง นัยน์ตาต่างมืดสลัวหม่นแสง
“หลินสวินเจ้า…” เย่จื่อใจสะท้าน
“ไม่เป็นไร”
หลินสวินกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า การสำแดงอภินิหารหยุดเวลาติดกันสองครั้ง ทำให้มรรควิถีทั้งตัวเขาราวกับถูกผลาญไปจนสิ้น ได้รับพลังสะท้อนกลับระดับหนึ่ง
“เขายังไม่ตาย”
ทันใดนั้นอู้เชวียพลันกล่าวด้วยสีหน้าไม่น่าดู
ประโยคเดียวทำให้หลินสวินและเย่จื่ออึ้งไปพร้อมกัน เงยหน้ามองออกไป
ก็เห็นว่ากลางอากาศที่ไกลออกไปนั้น มีหมอกโลหิตโหมกระหน่ำม้วนซัดอบอวลโดยไร้สุ้มเสียง รวมตัวและไหวกระเพื่อมอย่างต่อเนื่องราวกับมีชีวิต
ในที่สุดก็กลายเป็นสัตว์ปีศาจตัวใหญ่มหึมา ร่างใหญ่เหมือนทิวเขาที่พาดอยู่กลางฟ้าดิน ปกคลุมด้วยเกล็ดสีแดงสดเยียบเย็น
มันมีแปดหัว แต่ละหัวล้วนใหญ่เท่าบ้าน บ้างดูเหี้ยมเกรียม บ้างดูชั่วร้าย บ้างดูละโมบ บ้างดูเกรี้ยวกราด เดือดคลั่งมากโทสะ บ้าเลือดเสียสติ…
มากมายหลายแบบ
ด้านหลังมันยังมีหางอสรพิษทั้งแปดโบกสะบัด เหมือนแส้เทพที่ใหญ่เทียมฟ้ามากมาย ยามกวัดแกว่งจะมีไอเลือดอบอวล ทำให้ห้วงอากาศใกล้เคียงทรุดตัวจ่อมจม
นี่คือร่างเดิมของมหาจักรพรรดิปาฉี!
ตูม…
ฟ้าดินสั่นสะเทือน ไอโลหิตแผ่ขยายดั่งกระแสน้ำ มหาจักรพรรดิปาฉีที่คืนร่างอสูรแผดเสียงคำรามอยู่ใต้เวิ้งฟ้า ในรัศมีหมื่นลี้ล้วนตกอยู่ในความปั่นป่วน ท้องฟ้าทรุดตัวลง สภาพอากาศแปรปรวน ไอสังหารไร้ขอบเขตทำให้ตะวันจันทรามืดมน ทำให้ฟ้าดินพลิกตลบ
ภาพนั้นน่าสะพรึงจริงๆ!
พวกจักรพรรดิมารวายุสังหารล้วนสั่นไปทั้งตัว ทั้งตื่นเต้นดีใจและหวาดกลัว
ที่ตื่นเต้นดีใจคือมหาจักรพรรดิปาฉียังไม่ตาย ที่หวาดกลัวคืออานุภาพที่แผ่ออกมาจากตัวมหาจักรพรรดิปาฉีในตอนนี้ ทำให้พวกเขาขวัญหนีดีฝ่อ ตัวสั่นงันงก
เวลานี้หลินสวิน เย่จื่อ อู้เชวียล้วนสีหน้าครัดเคร่ง ใจตกไปที่ตาตุ่ม แม้แต่พวกเขาก็คิดไม่ถึง มหาจักรพรรดิปาฉีนี่ทำไมถึงน่ากลัวเช่นนี้
สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกเขาสามคนต่างใกล้หมดพลังแล้ว!
“เจ้าสวะเหลือขอ ยังมีไพ่ตายอะไรอีก เจ้าสำแดงออกมาให้หมดเลย!”
ห่างออกไป ศีรษะทั้งแปดของมหาจักรพรรดิปาฉีกล่าวออกมาพร้อมกัน สะเทือนจักรวาล เจือไอสังหารอำมหิตไร้ขอบเขต
เขาเดือดจัดอย่างถึงที่สุดแล้ว
มีพลังปราณระดับจักรพรรดิขั้นแปด กลับถูกโจมตีอย่างหนักติดกันสองครั้ง นี่ทำให้เขาไม่กล้าเชื่อ มองว่าเป็นความอัปยศครั้งใหญ่!
“หากมีพลังต่อสู้เหมือนแต่ก่อน มีหรือจะถูกหนอนอัปลักษณ์เช่นนี้ดูถูก”
อู้เชวียทอดถอนใจ
เย่จื่อสีหน้านิ่งสงบ “หากมีพลังต่อสู้เหมือนแต่ก่อน แค่จัดการหนอนตัวหนึ่งเช่นนี้ มีหรือจะต้องให้เจ้าลงมือ พูดถึงเรื่องพวกนี้ตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์”
อู้เชวียไหวไหล่กล่าว “เช่นนั้นก็ได้แต่สู้สุดชีวิตแล้ว ว่าอย่างไร อยากร่วมมือตีฝ่าหาทางรอดให้นายน้อยกับข้าหรือไม่”
เย่จื่อพูดโดยไม่ต้องคิด “แม้ว่าข้าจะไม่ชอบความหยิ่งทะนงที่ดูจองหองนั้นของเจ้า แต่ครั้งนี้คงตอบรับคำขอของเจ้าได้”
อู้เชวียอดยิ้มยิงฟันขึ้นมาไม่ได้
แต่เวลานี้หลินสวินกลับเอ่ยปาก “ถ้าจะสู้ตาย ทุกคนก็ต้องลุยพร้อมกัน ประเดี๋ยวพวกเจ้าสองคนลงมือพร้อมกัน ข้าจะชิงโอกาสหนึ่งพริบตาให้พวกเจ้าอีกครั้งเอง!”
วาจาราบเรียบ นัยน์ตาดำฉายแววคั่งแค้นที่ดูคลุ้มคลั่งเด็ดเดี่ยว
ครั้งนี้ต่อให้เขาต้องใช้พลังทั้งหมด ก็จะสู้ให้ถึงที่สุด!
อู้เชวียและเย่จื่อพลันหน้าเปลี่ยนสี หลินสวินในตอนนี้ผมขาวดุจหิมะ กลิ่นอายอ่อนแอใกล้หมดกำลังนานแล้ว หากสู้สุดชีวิตอีก…
เกรงว่ารากฐานมหามรรคคงเสียหายอย่างหนักจนไม่อาจฟื้นฟูได้แน่!
“โอกาสหนึ่งพริบตารึ”
ห่างออกไป มหาจักรพรรดิปาฉีส่ายหัวมหึมาทั้งแปดไปมา กลิ่นอายชวนประหวั่น “นี่คือพลังพรสวรรค์ที่เกิดใหม่ของเจ้าหรือ”
หากพูดถึงคนที่รู้จักพรสวรรค์ของหลินสวินดีที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
ความน่ากลัวของหุบเหวกลืนกิน อวิ๋นชิ่งไป๋ได้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนเช่นกัน
เวลานี้เมื่อได้ยินคำพูดของหลินสวิน มหาจักรพรรดิปาฉีพอจะคาดเดาอะไรได้รางๆ แต่กลับไม่กล้ายืนยัน
ด้วยความจริงนั้นเกี่ยวข้องกับนัยเร้นลับของกาลเวลา เห็นได้ว่าน่าเหลือเชื่อเกินไป ทำให้เขาไม่เชื่อว่าพลังนี้จะเกิดขึ้นกับมกุฎกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง
แต่เขาวางแผนไว้แล้ว หลังจากกำราบหลินสวินได้ เขาจะชำแหละร่างหลินสวินดูว่าพลังพรสวรรค์ที่เกิดใหม่ของเขานั้น ซ่อนนัยเร้นลับที่น่าทึ่งระดับใดไว้กันแน่!
“ลงมือเถอะ”
หลินสวินไม่สนใจมหาจักรพรรดิปาฉี สูดหายใจลึก ตัดสินใจโดยไม่เปิดโอกาสให้สงสัย
อู้เชวียและเย่จื่อสบตากันวูบหนึ่ง ล้วนไม่โน้มน้าวอีก
ตูม!
ห่างออกไปมหาจักรพรรดิปาฉีชิงลงมือก่อนแล้ว ร่างที่ใหญ่โตหาใดเปรียบบีบกดอากาศ พุ่งสังหารมาทางพวกหลินสวินอย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ
“เรื่องหนึ่งไม่ควรทำเกินสามครั้ง คิดว่าใช้วิธีเดิมแล้วจะทำอะไรข้าได้จริงๆ หรือ ไปตายซะเถอะ!”
เห็นชัดว่าครั้งนี้มหาจักรพรรดิปาฉีได้รับบทเรียนแล้ว ยามลงมือจึงทำทุกทาง ปลดปล่อยวิชามรรคนับร้อยพันออกมาในพริบตา!
วิชามรรคแต่ละอย่างล้วนเหี้ยมโหดหาใดเปรียบ มีอานุภาพต่างกันออกไป หนาแน่นราวกับมรสุมคลั่ง ม้วนพัดมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ฟ้าดินแถบนี้ล้วนถูกปกคลุม!
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ต่อให้เกิดเหตุการณ์ที่ถูกโจมตีในหนึ่งพริบตาอีกครั้ง ก็เพียงพอจะทำให้เขายืนหยัดไร้พ่ายได้
ขณะเดียวกันหลินสวิน เย่จื่อ อู้เชวียก็กำลังจะลงมือ
แต่ในพริบตานี้เอง เสียงที่ราบเรียบถึงขีดสุดได้ดังขึ้น
“แค่สัตว์เลื้อยคลานตัวหนึ่งเท่านั้น ไยต้องทุ่มสุดชีวิตด้วย”
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น ความดุดันดุจคมดาบเสียดแทงเข้าไปในใจ หลินสวิน อู้เชวีย เย่จื่อตัวแข็งทื่อพร้อมกัน
ในหัวหลินสวินอดไม่ได้ที่จะปรากฏเงาร่างหนึ่ง ในความมืดไร้ขอบเขตที่ทำให้คนหายใจไม่ออก เงาร่างหนึ่งนั่งเฉย โซ่ที่หนาประมาณนิ้วโป้งสายแล้วสายเล่าพันรอบลำคอ สองเท้า สองขาและแผ่นหลังของเขา… คลื่นระเบียบที่เร้นลับไหลวนออกมา
เมื่อเขาลืมตาขึ้นก็เหมือนดวงตะวันที่ลุกโชน แหวกผ่านความมืดไร้ขอบเขต ทั้งเหมือนกระบี่ที่ดุดันหาใดเปรียบ สามารถแหวกผ่านเก้าชั้นฟ้า!
เป็นเขา
วิญญาณของดาบหัก!
……………………..