Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2113 ผลึกต้นกำเนิดมหามรรคและสมบัติตกหล่น

ตอนที่ 2113 ผลึกต้นกำเนิดมหามรรคและสมบัติตกหล่น

ในจิตรับรู้ของหลินสวิน ระหว่างฟ้าดินที่ไกลออกไป มีวิญญาณดุร้ายเกือบร้อยตนกำลังพุ่งทะยานเข้ามา

ทั่วร่างวิญญาณร้ายพวกนี้อบอวลด้วยแสงโลหิต เหาะเหินทะยานเมฆา รูปร่างคล้ายภูตผีก็ไม่ใช่ คล้ายมารปีศาจก็ไม่เชิง ยามห้อตะบึงประหนึ่งกองทัพนรกอันน่าพรั่นพรึงกองหนึ่งออกกรีฑาทัพ

จู่ๆ โลกแห่งนี้ก็สั่นสะเทือน กลิ่นอายเข่นฆ่าคาวเลือดที่พาให้คนขนลุกขนพองพุ่งทะยานฟ้า

‘กลิ่นอายแต่ละตนถึงกับไม่ต่างจากผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้า!’

ชั่วพริบตาเดียวหลินสวินก็ชี้ขาดออกมา อดตกตะลึงไม่ได้ นี่ยังแค่นรกอำพรางชั้นหนึ่งเท่านั้น วิญญาณร้ายที่เกลื่อนกลาดก็แข็งแกร่งเช่นนี้แล้ว

คาดการณ์เช่นนี้ พลังของชั้นที่เก้าจะน่าสะพรึงเท่าใดกัน

“คนใหม่รึ หากไม่ยากถูกกำจัดออกไปก็รีบๆ หลบซะ!”

ทันใดนั้นเสียงตวาดลั่นปานอสนีบาตรระลอกหนึ่งดังกระหึ่มมา

หลินสวินถึงเพิ่งสังเกตว่าในละแวกใกล้เคียงนี้มีกลิ่นอายกร้าวแกร่งสายหนึ่งซุ่มอยู่ นั่นเป็นชายอาภรณ์ดำผอมแห้งผู้หนึ่ง อานุภาพคมกริบเฉียบแหลม แววตาชวนสยอง

หลินสวินไม่ตกใจกลับดีใจ มีคนก็ดี อย่างน้อยจะได้รู้ข้อมูลที่แท้จริงของนรกอำพรางนี่ได้อีกหน่อย

“ยังมัวอึ้งอะไรอีกเล่า หลบเร็ว!”

ชายชุดดำตวาดลั่น

เขาฝึกปราณอยู่ชั้นหนึ่งมาหลายสิบปีแล้ว รู้สภาพในที่แห่งนี้ดีเป็นที่สุด ยามปกติจะไม่มีวิญญาณร้ายกลุ่มใหญ่เช่นนี้ปรากฏออกมา

ทันทีที่ถูกพวกมันปิดล้อม ผลที่ตามมานั่นคงเลวร้ายเกิดคาดเป็นแน่ ควรรู้ว่านั่นเป็นถึงฝูงวิญญาณร้ายนับร้อยพันที่มีพลังต่อสู้ระดับกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้า!

หลายสิบปีมานี้ชายชุดดำเคยเจอพวกวิญญาณร้ายกลุ่มใหญ่เช่นนี้เพียงสามครั้งเท่านั้น ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าเป็นปฏิปักษ์กับมัน

“สหายไม่ต้องกังวลไป ข้าเพิ่งมานรกอำพราง กำลังคิดจะทดสอบฝีมือกับวิญญาณร้ายพวกนี้สักหน่อย” หลินสวินกล่าวง่ายๆ

ขณะพูด วิญญาณร้ายฝูงนั้นที่แฝงกลิ่นอายคาวเลือดแสบจมูกทั่วฟ้าก็ปรากฏในครรลองสายตาแล้ว

ชายชุดดำอึ้งไป เกือบโมโหจนจะกลายเป็นหัวเราะใส่ เขายังไม่เคยเห็นใครที่อาจหาญเช่นนี้มาก่อน เพิ่งมาถึงชัดๆ ดันร้องว่าจะไปสู้กับวิญญาณร้ายทั้งกลุ่ม ออกจะโง่งมเกินไปแล้ว!

“เจ้า…”

ตอนที่ชายชุดดำกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง หลินสวินก็ชิงลงมือก่อนแล้ว

เขารวบนิ้วเป็นกระบี่ กรีดผ่ากลางห้วงอากาศคราหนึ่ง ปราณกระบี่สายหนึ่งก็พุ่งออกมา

ฉัวะ!

กระบี่นี้ประหนึ่งเบิกฟ้าผ่าดิน ลึกลับไร้ขอบเขต ตัดขวางผ่านอากาศ ฟันฉับลงมา ยามมองจากไกลๆ ประหนึ่งธารดาราไหลหลั่งจากเก้าชั้นฟ้า ศักดิ์สิทธิ์คลุมจักรวาล!

พรูดๆๆ!

ก็เห็นว่าวิญญาณร้ายมากมายนับร้อยพันที่เทียบได้กับกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้าเหล่านั้น ยังไม่ทันได้มาถึงก็ถูกปราณกระบี่สายนี้ปกคลุมแล้ว ร่างกายแตกระเบิดราวกระดาษเปื่อย กลายเป็นละอองเลือดนับไม่ถ้วนล่องลอย

ดับสิ้นมลายเกลี้ยง!

ชายชุดดำตะลึงงัน ดวงตาแข็งค้าง กระบี่เดียว ทำลายกองทัพวิญญาณร้ายขบวนหนึ่งเชียวหรือ

ครู่ใหญ่เขาถึงหันสายตาไปยังหลินสวิน กล่าวว่า “สหาย เจ้าก็เป็นคนของเรือนเร้นหมอกหรือ”

ในน้ำเสียงเจือแววเลื่อมใส

ขอเพียงเป็นคนที่เข้ามาฝึกฝนในนรกอำพรางได้ ล้วนเป็นผู้โดดเด่นที่ถูกคัดมาจากเรือนเร้นหมอกและหอวิหคทองแดง ชายชุดดำมีหรือจะไม่กระจ่างว่าเจ้าคนที่เพิ่งเข้ามานี่เป็นพวกชั้นยอดคนหนึ่ง

“นับว่าใช่กระมัง”

หลินสวินตอบลวกๆ ไปประโยคหนึ่งแล้วสาวเท้าไปเบื้องหน้า เป็นฝ่ายเริ่มสนทนากับชายชุดดำผู้นี้

ไม่นานก็ได้รู้ว่าชายชุดดำผู้นี้มีนามว่าป๋อชวน ปราณระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิหนึ่งชั้นฟ้า ทั้งยังเป็นผู้สืบทอดแกนหลักของเรือนเร้นหมอก ฝึกปราณอยู่ในนรกอำพรางชั้นหนึ่งนี่มานานสามสิบเก้าปีแล้ว

สามสิบเก้าปีก่อน ป๋อชวนเป็นผู้ฝึกปราณระดับมกุฎราชันอริยะขั้นสมบูรณ์

ทว่าเขาในตอนนี้มีปราณระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิหนึ่งชั้นฟ้าแล้ว นี่เรียกได้ว่าน่าตกตะลึงยิ่งนัก อย่างไรเสียปราณระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิใช่ว่าใครจะสำเร็จกันได้ง่ายๆ

เมื่อได้รู้จากปากป๋อชวนว่าก่อนที่ผู้แข็งแกร่งจะมาเคี่ยวกรำในนรกอำพราง ล้วนจะพกยันต์หยกคงชีพมาด้วยแผ่นหนึ่ง สีหน้าของสวินก็พลันดำมืดทันที

เขานึกถึงเจ้าหมาหน้าตุ่นที่ถีบส่งตนเข้ามาในวังน้ำวนตัวนั้นแล้วให้แค้นจนกัดฟันกึกๆ บัญชีนี้ย่อมคิดที่ต้าหวงโดยปริยาย

และเมื่อป๋อชวนรู้ว่า เป้าหมายของหลินสวินคราวนี้คือตะลุยไปถึงชั้นเก้า ก็อึ้งไปทั้งตัว

ชั้นที่เก้า!

ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ในหมู่คนที่ปราณต่ำกว่าระดับจักรพรรดิมีเพียงเจ้าหอวิหคทองแดงคนเดียวที่เคยไปถึง และเป็นที่นั่นที่ทำให้เจ้าหอวิหคทองแดงบรรลุจักรพรรดิ!

ป๋อชวนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยปากถาม “พี่หลิน ก่อนเจ้าจะมาไม่มีใครบอกเจ้าเลยหรือ ว่านรกอำพรางนี่มีอันตรายมากแค่ไหน”

หลินสวินส่ายศีรษะ

ป๋อชวนเผยสีหน้าเป็นเช่นนี้ดังคาด เอ่ยว่า “พี่หลิน หาใช่ข้าขัดขาเจ้า แต่เจ้ายังไม่รู้จักนรกอำพรางดีพอ…”

ขณะพูดเขาก็บอกเรื่องราวบางส่วนที่ตนล่วงรู้กับหลินสวิน

“ก็หมายความว่าต่อให้พกยันต์หยกคงชีพมา ก็สามารถใช้ได้แค่สามชั้นแรกเท่านั้นหรือ” คราวนี้หลินสวินถึงกระจ่างขึ้นมาบ้าง

ป๋อชวนกล่าว “ถูกต้อง ชั้นที่สี่ลงไป วิญญาณร้ายที่กระจายตัวอยู่แข็งแกร่งเหลือคณา ผู้แข็งแกร่งที่มีปราณระดับมกุฎจักรพรรดิสามชั้นฟ้าอย่างเจ้าก็ไม่กล้าบุกเข้าไปง่ายๆ”

“ในหมื่นปีมานี้ มีเพียงพวกร้ายกาจไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่เคยเสี่ยงเข้าชั้นสี่ลงไป”

“ส่วนชั้นที่เก้า… ว่ากันว่าแม้จะเป็นระดับจักรพรรดิเข้าไป ก็มักจะประสบเหตุไม่คาดคิด เป็นสถานที่เลวร้ายสุดขั้ว!”

หลินสวินถึงเข้าใจในยามนี้ “ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง”

ต่อมาเขาก็ซักถามปัญหาสำคัญบางเรื่องอีก ล้วนได้รับคำตอบจากป๋อชวนทั้งหมด

นรกอำพรางแห่งนี้ไอวิญญาณเหือดแห้ง กฎเกณฑ์มหามรรคไม่คงอยู่ หากคิดจะฟื้นฟูพลังกาย หนึ่งคือต้องนำทรัพยากรฝึกปราณมหาศาลมาเอง สองก็คืออาศัยการฆ่าวิญญาณร้ายแล้วรวบรวม ‘ผลึกต้นกำเนิดมหามรรค’

ตามที่ป๋อชวนอธิบาย วิญญาณร้ายพวกนั้นล้วนแต่แปลงมาจากเสี้ยววิญญาณ เจตจำนง และพลังของพวกน่าสะพรึงในสมัยดึกดำบรรพ์ที่ร่วงหล่นในที่แห่งนี้

และผลึกต้นกำเนิดมหามรรค ก็คือแก่นมหามรรคที่ควบรวมจากมรรควิถีทั่วร่างของพวกน่าสะพรึงที่ร่วงหล่นเหล่านั้น!

สมัยยังมีชีวิต ระดับจักรพรรดิครอบครองยอดมรรควิถีและวิชามรรคอันน่าสะพรึง ทว่าหลังจากร่วงหล่น พลังมหามรรคที่พวกเขาครอบครองทั้งหมดก็จะสลายหายไปด้วย

ทว่าในนรกอำพรางไม่เหมือนกัน ขอเพียงบุคคลน่ากลัวเหล่านั้นถูกฝังไว้ที่นี่ หลังจากร่วงหล่น มรรควิถีที่พวกเขาครอบครองทั้งหมดก็จะแปรเปลี่ยนเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ ผ่านการสั่งสมในกาลเวลายาวนาน และค่อยๆ ควบรวมกลายเป็นผลึกต้นกำเนิดมหามรรค

คุณลักษณะของผลึกต้นกำเนิดมหามรรคเองก็มีการแบ่งระดับสูงต่ำเช่นกัน

ยิ่งลึกลงไปในนรกอำพราง คุณลักษณะผลึกต้นเกิดมหามรรคที่กระจายอยู่ก็ยิ่งน่าตะลึง

ผลึกต้นกำเนิดมหามรรคที่หายากบางส่วน ภายในยังอาจถึงขั้นผนึกเศษเสี้ยวกฎเกณฑ์มรรคจักรพรรดิ เรียกได้ว่าเป็นยอดสมบัติที่โลกภายนอกยากจะร้องขอ!

แต่ป๋อชวนเองก็ไม่เคยพบเห็นผลึกต้นกำเนิดมหามรรคระดับนี้มาก่อน เพราะหลายปีมานี้เขาฝึกปราณอยู่ที่ชั้นหนึ่งมาตลอด ไม่มีโอกาสได้สัมผัสยอดสมบัติระดับนี้สักนิดอยู่แล้ว

พอเข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้ว ในใจหลินสวินก็แน่วนิ่งขึ้นไม่น้อย

ยามเขาคิดจะเคลื่อนไหว จู่ๆ ป๋อชวนก็เอ่ยขึ้น “พี่หลิน อีกเดี๋ยวข้าก็จะทะลวงปราณระดับมกุฎจักรพรรดิสองชั้นฟ้าแล้ว กำลังคิดจะไปเคี่ยวกรำในชั้นสอง เจ้าเพิ่งมาถึงทว่าศักยภาพกลับไม่ธรรมดาเป็นที่สุด ห่างชั้นกับข้าไกลโข ไม่สู้พวกเราเคลื่อนไหวด้วยกันเป็นอย่างไร”

หลินสวินคิดๆ แล้วก็พยักหน้าตอบรับ “แต่เป้าหมายของข้าคือการทะลวงเข้าชั้นเก้า เกรงว่าจะไม่สามารถไปกับเจ้าได้ตลอดทาง”

ป๋อชวนอึ้งค้างไปพักหนึ่ง เขาบอกเล่าอันตรายของนรกอำพรางไปขนาดนี้แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับยังคงกอดความคิดไม่สมจริงเช่นนี้อยู่อีก

นี่เป็นยอดฝีมือใจกล้า หรือว่าเป็นพวกไม่รู้เรื่องรู้ราวกันแน่

ป๋อชวนไม่ได้หัวเราะเยาะหรือโจมตี เพียงแค่เอ่ยว่า “พี่หลิน ข้าเชื่อว่ารอหลังจากเจ้าได้ลิ้มรสความน่ากลัวของนรกอำพรางอย่างแท้จริงแล้ว ย่อมต้องเปลี่ยนความคิดแน่นอน”

เห็นชัดว่าเขาไม่เชื่อคำพูดของหลินสวินสักนิด

หลินสวินเองก็ไม่ได้อธิบายอะไรเช่นกัน

ไม่นานนักทั้งสองก็ทะยานไปยังที่ไกลออกไปด้วยกัน

นรกอำพรางคือสถานที่ลึกลับและอันตรายสุดขั้วแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ฝังศพเหล่าเทพหลังจากเคราะห์จ่อมจมครั้งแรกปิดฉากลง

พูดง่ายๆ ก็ เหมือนเป็นโลกสุสานใบหนึ่ง เพียงแค่ที่นี่ไม่มีหลุมฝังศพ มีเพียงวิญญาณร้ายมากมายนับไม่ถ้วน

นรกอำพรางแบ่งออกเป็นสิบแปดชั้น

แต่ละชั้นต่างมีช่องทางสีเลือดที่รูปร่างคล้ายวังน้ำวนแห่งหนึ่งเชื่อมสู่ชั้นถัดไป

จากที่ป๋อชวนว่ามา จากชั้นบนลงสู่ชั้นล่างไม่มีข้อจำกัดใดๆ สามารถเข้าได้ตลอดเวลา ทว่าหากอยากกลับจากชั้นล่างขึ้นมาชั้นบน มีเพียงสองหนทางเท่านั้น

หนึ่งคือรอคอยโอกาส ทุกๆ ระยะเวลาหนึ่งช่องทางสีโลหิตนั่นจะปรากฏโอกาสให้เข้าออกได้อย่างอิสระหนึ่งครั้ง

สองก็คืออาศัยศักยภาพแห่งตน ฝืนตะลุยฝ่าออกไป วิธีนี้ก็ลำบากยากเย็นเป็นที่สุด

หลินสวินจดจำวิธีพวกนี้ไว้ในใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจนัก

มีป๋อชวนนำทางเช่นนี้ ทำให้หลินสวินประหยัดเวลาหาทางขึ้นเป็นกอง ม้าแก่ชำนาญทางที่เรียกกันก็เป็นอย่างนี้นี่เอง

ตลอดทางทั้งสองคนพบเจอวิญญาณร้ายบางส่วนอยู่บ้าง ล้วนกลิ่นอายอำมหิตดุร้าย ทั่วร่างแผ่คลื่นสีโลหิต บ้างเคลื่อนไหวสองสามตน บ้างก็ปรากฏเป็นกลุ่มสามถึงห้าตน

เจ้าพวกนี้สำหรับหลินสวินแล้วย่อมไม่ใช่อุปสรรคอะไร แค่สะบัดมือก็กำจัดได้แล้ว สบายเสียจนเหมือนบี้แมลงวันตายตัวแล้วตัวเล่า

ป๋อชวนมองเห็นทั้งหมดนี้ในสายตา ในใจก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าเจ้าคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่คนนี้ฝีมือน่าตกตะลึงยิ่งยวด หากเปลี่ยนให้เขาไปต่อสู้ ไม่มีทางมีท่าทีสบายเช่นนี้เป็นแน่

และตลอดทางมานี้หลินสวินก็เก็บผลึกต้นกำเนิดมหามรรคได้จำนวนหนึ่งแล้ว

ของล้ำค่าเช่นนี้ รูปร่างไม่ซ้ำ ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ล้วนโปร่งแสงวาววับ แผ่พลังมหามรรคบริสุทธิ์ ก้อนที่ขนาดเท่าหัวแม่มือก็เทียบได้กับผลึกมรรคหนึ่งหมื่นก้อนแล้ว น่าตกตะลึงหาใดเปรียบ

หลินสวินลองหลอมมันก้อนหนึ่ง และสังเกตเห็นทันทีว่าผลึกต้นกำเนิดมหามรรคไม่เพียงช่วยเติมเต็มพลังที่เหือดหาย ยังมีมีประโยชน์ยิ่งต่อพลังมหามรรคที่ตนครอบครองอีกด้วย!

นี่กลับทำให้เขาอดคาดหวังขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ ผลึกต้นกำเนิดมหามรรคที่บรรจุเศษเสี้ยวกฎเกณฑ์มรรคจักรพรรดินั่น ยังจะซุกซ่อนความเร้นลับที่น่าตื่นตะลึงระดับไหนอีก

สวบ!

หนึ่งก้านธูปให้หลัง ลำแสงศักดิ์สิทธิ์โชติช่วงสายหนึ่งพลันพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้า กวาดผ่านห้วงอากาศไกลๆ ในโลกมืดมนที่ขมุกขมัวนี้ เห็นได้ชัดว่าสะดุดตาหาใดเปรียบ

“มีสมบัติตกหล่นปรากฏขึ้นอีกแล้ว!”

ป๋อชวนตะโกนลั่นอย่างตื่นเต้น “พี่หลิน พวกเรานี่โชคไม่เลวเลย เจอกับศุภโชคชิ้นหนึ่งเข้าแล้ว! ไป รีบไปเก็บมันกัน หาไม่ถูกผู้อื่นฉกฉวยไป เช่นนั้นคงน่าเสียดายแย่”

สวบ!

ขณะพูดเขาก็เคลื่อนย้ายเต็มกำลังทะยานไป

สมบัติตกหล่นหรือ

นัยน์ตาดำของหลินสวินลุ่มลึก เขาเองก็สังเกตเห็นว่าลำแสงศักดิ์สิทธิ์พร่างพราวสายนั้นค่อนข้างไม่ธรรมดา พอมองเห็นอยู่รำไรว่านั่นเป็นกระถางสมบัติสีเขียวขนาดหนึ่งฝ่ามือ ยามโฉบบินหลั่งรินละอองแสงมหามรรคงามวิจิตรออกมา ทอประกายแวววาวน่าตื่นตาตื่นใจ

ขณะใคร่ครวญหลินสวินก็พุ่งตัวเข้าไปเช่นกัน

“เก็บ!”

ป๋อชวนเรียกแส้อ่อนสีทองอร่ามเส้นหนึ่งออกมา เหวี่ยงกระหวัดไปกลางอากาศ พริบตาเดียวก็เกี่ยวรัดกระถางสมบัติสีเขียวนั่นไว้ได้

ทว่ายังไม่ทันให้ป๋อชวนดีใจ กระถางสมบัติสีเขียวใบนั้นก็แผ่คลื่นน่าตกใจออกมา ส่งเสียงวู้มคราหนึ่งแล้วหลุดออกจากกลางแส้อ่อนสีทองนั่นอย่างง่ายดาย เผ่นหนีออกไปไกลลิ่ว เห็นชัดว่ามีจิตวิญญาณเต็มเปี่ยม

“สมบัติดี!” ดวงตาหลินสวินทอประกายวาบ

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

BRCO, Tian Jiao Zhan Ji, 天骄战纪
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset