ป๋อชวนเบิกตาโพลงลืมหายใจ
ไม่มีการต่อสู้ดุเดือดสะเทือนเลื่อนลั่น ไม่มีเสียงปะทะอึกทึกครึกโครม และไม่มีแสงมรรคเจิดจ้าบาดตาม้วนตลบ…
แต่เมื่อหลินสวินลงมือ ผู้แข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าคุกเข่าลง เห็นชัดว่าง่ายดาย ตามใจ และลื่นไหลปานนั้น
แต่ป๋อชวนรู้ดีว่านี่เป็นท่าทีบดขยี้เด็ดขาด เป็นความสง่างามไม่เป็นสองรองใครแบบที่ข้าเป็นผู้ไร้ทัดเทียมเพียงลำพัง!
‘หรือว่าสายตาของข้าย่ำแย่เกินไปจริงๆ… จนตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าพี่หลินสวินที่อยู่ข้างกายคนนี้ อันที่จริงเป็นพวกพลิกฟ้าที่ไม่อาจวัดด้วยกฎเกณฑ์ทั่วไปคนหนึ่ง…’
ป๋อชวนจิตใจเหม่อลอย
จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่า ความโกรธ ร้อนรน กังวลใจที่เกิดก่อนหน้านี้ของตนล้วนเห็นชัดว่าไม่มีความจำเป็นยิ่ง!
ทั่วลานเงียบสงัด
เงาร่างเมิ่งซิงจื่อที่เดิมตั้งท่าจะลงมือครั้งที่สามพลันหยุดกึกตรงนั้น สีหน้าเปลี่ยนสลับไปมา สายตาจับจ้องหลินสวินที่อยู่ตรงข้ามเขม็ง เสมือนได้รู้จักกันใหม่อีกครั้ง
พอเห็นภาพนี้ ในใจป๋อชวนรู้สึกขำขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นี่ก็คือหนึ่งใน ‘เจ็ดยอดมงกุฎ’ ที่ตนกริ่งเกรงและหวาดกลัวหรือ
นี่คือเมิ่งซิงจื่อที่สั่งการคำเดียว ก็ทำให้คนรุ่นเดียวกันในหอวิหคทองแดงต่างก้มหัวหรือ
เขาในตอนนี้… ก็เหมือนถูกทำให้ตกใจแล้วเหมือนกัน…
“เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่าในหอวิหคแดงมีคนเช่นเจ้า”
เมิ่งซืงจื่อเอ่ยปากถาม เสียงต่ำลึก ท่าทีสูงส่งเหนือใครก่อนหน้านี้อันตรธานไปหมดสิ้น สีหน้าเต็มไปด้วยเคร่งขรึมและตกใจปนสงสัย
หลินสวินไม่ได้สนใจ เหินทะยานไปเบื้องหน้า เงาร่างสูงโปร่งผ่าเผยราบเรียบละโลกีย์ มีท่วงท่างามสง่าสะท้านยุค
“คุกเข่า”
เสียงของเขาดังขึ้น ประหนึ่งอสนีบาตฟาดเปรี้ยงลงกลางใจเมิ่งซิงจื่อ เขาเกือบไม่กล้าเชื่อ อีกฝ่าย… ถึงกับกล้าให้ตนคุกเข่าลงเช่นกัน!
ความรู้สึกอัปยศอดสูที่ยากจะเอ่ยกระตุ้นจนสีหน้าเมิ่งซิงจื่อเหยเกอย่างเห็นได้ชัด เขาส่งเสียงคำรามลั่น ซัดพลังทั้งหมดออกโจมตี
“ไสหัวไป!”
กฎเกณฑ์เปลวเพลิงอันน่าสะพรึงราวกับภูเขาไฟระเบิดแผ่ออกจากตัวเมิ่งซิงจื่อ เขาเรียกทวนศึกชำรุดสีเทาขมุกขมัวครึ่งท่อนออกมา กวาดขวางออกไป
ตูมโครม!
ไอขุ่นมัวดั่งเขาถล่มคลื่นยักษ์โหมซัดปลดปล่อยออกมาจากทวนศึก ไอสังหารไร้ทัดเทียมปั่นป่วนฟ้าดินแถบนี้ทั้งหมด ชั่วขณะเดียวถึงกับปรากฏภาพประหลาดน่าสะพรึงที่ฟ้าถล่มดินทลาย ตะวันจันทราแตกดับออกมา
ทวนที่เสียหายอย่างหนักด้ามหนึ่งนี้ เห็นชัดว่าไม่ใช่ของทั่วไปจะเทียบชั้นได้!
นัยน์ตาดำของหลินสวินยังอดวาบแววแปลกไปไม่ได้ พลังคุ้นเคยนัก… ทวนศึกที่เหลือเพียงครึ่งท่อนนี้คล้ายจะเป็น…
ตูม!
ทวนศึกกวาดเข้าโจมตี ประกายคมกริบทำลายการโจมตีของหลินสวินอย่างง่ายดาย ไอเข่นฆ่าหนาวเหน็บรุกไล่เข้ามา ทำให้หลินสวินไม่อาจไม่ใช้พลังแท้จริงเข้าสลาย
“ฆ่า!”
เมื่อโจมตีสำเร็จ อานุภาพของเมิ่งซิงจือเหมือนบ้าคลั่ง ทวนเสียหายนครึ่งท่อนนั้นหอบม้วนไอขุ่นมัว ยามฟันสังหารประดุจสามารถทลายเวิ้งฟ้า ถล่มทับดารา อานุภาพน่าตกใจหาใดเปรียบ
หลินสวินเบี่ยงหลบ นัยน์ตาดำเผยแววยินดี ในที่สุดเขาก็มั่นใจ ว่าทวนศึกที่เหลือเพียงครึ่งท่อนนั่นน่าจะเป็นศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุนชิ้นหนึ่ง!
“เหตุใดต้องหลบ เจ้าไม่ใช่แข็งแกร่งนักหรือไง”
เมิ่งซิงจื่อตะโกน จิตใจฮึกเหิม กวัดแกว่งทวนศึกดุจเทพสงคราม
ตูม!
ทวนศึกแหวกนภา เพียงพริบตาเดียวก็พุ่งมายังเบื้องหน้าหลินสวิน ประกายคมไร้ทัดเทียม
ทว่าเวลานี้เอง
จู่ๆ ฝ่ามือของหลินสวินพลันปรากฏก้อนทองแดงดำมะเมื่อมก้อนหนึ่ง ขวางการโจมตีของทวนศึกเอาไว้
หืม?
สีหน้าเมิ่งซิงจื่อพลันเปลี่ยนไป ทวนศึกในมือของเขาคล้ายถูกแม่เหล็กเกาะยึดไว้แน่น ไม่ว่าเขาจะออกแรงอย่างไรล้วนไม่สามารถดึงกลับมาได้!
ก็เห็นหลินสวินยิ้มบางๆ เมื่อสะบัดมือเบาๆ คราหนึ่ง ทวนศึกครึ่งท่อนที่ชำรุดเสียหายนั่นก็ลอยหลุดจากมือเมิ่งซิงจื่อ ร่วงลงในฝ่ามือหลินสวินพร้อมกับก้อนทองแดงสีดำ
“ไม่…! คืนสมบัติมาให้ข้า คืนสมบัติมาให้ข้า!!” เมิ่งซิงจื่อตกใจจนหน้าถอดสี ดวงตาแดงก่ำ พุ่งโจมตีเข้าไปประหนึ่งสู้สุดชีวิต
เห็นชัดว่าทวนครึ่งท่อนเล่มนี้ สำหรับเขาแล้วสำคัญยิ่งหาใดเปรียบ
น่าเสียดาย เขาที่สูญเสียทวนครึ่งท่อนนี้ไป สำหรับหลินสวินแล้วก็ไม่เป็นภัยคุกคามอีก ก็เห็นหลินสวินโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง
ตูม!
เมิ่งซิงจื่อถูกซัดร่วงจากฟ้า คุกเข่าอยู่บนพื้นดินกว้าง ร่างถูกพลังที่ไม่อาจเทียบเทียมกักขัง ไม่สามารถหยัดกายขึ้นมาได้อีกสักนิด
เขาแหงนหน้าจ้องหลินสวินที่ยืนอยู่กลางอากาศ ตาเบิกโพลงพลางคำรามลั่น “เอาสมบัติคืนข้ามา คืนข้า…!”
หลินสวินไม่ได้สนใจเขา
ก้อนทองแดงสีดำนั่นก็คือเศษเตามารดาหลอมสมบัติคุนหลุนหลงเหลือไว้ บรรจุกลิ่นอายต้นกำเนิดของเตามารดา ด้วยเหตุนี้จึงสามารถกำราบทวนครึ่งท่อนนั้นลงได้อย่างง่ายดาย
เวลานี้เมื่อมองสำรวจทวนศึกหักพังด้ามนี้ ก็เห็นว่ามันสีดำวาว แม้จะเสียหายรุนแรง ทว่ายังแผ่ไอสังหารที่ชวนให้คนใจสะท้าน
มันประดุจศาสตราดุดันสะท้านยุค สามารถทะลวงเก้าชั้นฟ้า ทะลุห้วงอากาศหมื่นกาล! เพียงแค่มองมันก็แสบระคายตา จิตใจสั่นสะท้าน!
ในสมองหลินสวินผุดชื่อหนึ่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ทวนมหามรรคไร้สวรรค์!
หนึ่งในเก้าศาสตราจักรพรรดิคุนหลุน!
“สมบัติชิ้นนี้เจ้าได้มาจากที่ใด”
หลินสวินมองไปยังเมิ่งซิงจื่อ ในใจเขาอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ คิดไม่ถึงสักนิดว่าจะเจอกับศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุนอีกครั้งในนรกอำพรางนี่
เมิ่งซิงจื่อตะโกนก้องราวกับคลั่ง “สมบัติชิ้นนี้เป็นของศิษย์พี่เนี่ยอวิ๋นจี๋ หากเขารู้ว่าเจ้าชิงสมบัติชิ้นนี้ไป ย่อมต้องสังหารเจ้าทิ้งโดยไม่ลังเลเป็นแน่! เร็วเข้า รีบคืนมันมาให้ข้า คืนมาซะ!”
เนี่ยอวิ๋นจี๋!
ป๋อชวนที่อยู่ไกลออกไปหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ รีบพูดขึ้นอย่างฉับไว “พี่หลิน! เนี่ยอวิ๋นจี๋เป็นผู้นำ ‘เจ็ดยอดมงกุฎ’ ในระดับกึ่งจัดรพรรดิของหอวิหคทองแดง ก่อนหน้านี้เมื่อสามพันปีที่แล้วก็มาฝึกปราณที่นรกอำพรางแห่งนี้ เล่าลือกันว่าเขาบุกตะลุยไปถึงชั้นหกแล้ว หากไม่ผิดคาด ด้วยรากฐานพลังของเขาเกรงว่าคงแจ้งมรรคเป็นจักรพรรดิไปนานแล้ว!”
“ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วกระมัง ถ้าเจ้ากล้าเอาสมบัติชิ้นนี้ไป ย่อมต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”
เมิ่งซิงจื่อตวาดลั่น “เนี่ยอวิ๋นจี๋คงไม่สนใจกฎอะไรหรอก เขาฆ่าคนก็ไม่สนกฎเกณฑ์อะไรเหมือนกัน!”
กลับเห็นหลินสวินเก็บทวนครึ่งท่อนนั้นเข้าไปอย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะพูดขึ้นว่า “นับแต่นี้ต่อไปสมบัติชิ้นนี้เป็นของข้า ไม่ว่าเจ้าหรือเนี่ยอวิ๋นจี๋นั่น หากคิดจะแย่งสมบัติชิ้นนี้กลับคืนไป ก็เชิญมาหาข้าคนแซ่หลินได้ตามสบาย”
“เจ้า…”
เมิ่งซิงจื่อราวกับถูกฟ้าผ่า อึ้งค้างโดยสมบูรณ์
หลินสวินพูดขึ้นโดยไม่สนใคร “อีกอย่าง นับตั้งแต่วันนี้ไปในนรกอำพรางแห่งนี้ ใครกล้ารังแกป๋อชวนอีก คนผู้นั้นก็คือศัตรูของข้า และศัตรูของข้าคนแซ่หลินมีจุดจบเพียงหนึ่งเดียว ตาย”
คำว่าตายคำเดียวประหนึ่งอสนีบาต ดังกึกก้องในที่นั้น ทำเอาพวกเมิ่งซิงจื่อ หลิ่วเซี่ยวล้วนสั่นสะท้านในใจ สีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุด
นี่เป็นการข่มขู่โดยไม่ปิดบังใดๆ!
ทว่าสำหรับป๋อชวนแล้ว คำพูดของหลินสวินนี้กลับคล้ายกระแสน้ำอุ่นที่คาดไม่ถึงสายหนึ่ง ที่จู่ๆ ก็เอ่อท้นทั่วร่าง ทำเอาเขาตั้งรับไม่ทันจนน้ำตาแทบจะไหลรินออกมา!
สามสิบเก้าปีมานี้ นับตั้งแต่หลังล่วงเกินเมิ่งซิงจื่อเขาก็ดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างยากลำบากเพียงลำพัง ไม่มีใครกล้าเข้าคบค้าด้วย ขอเพียงเป็นคนที่เห็นเขา ต่างทำเหมือนหลบหลีกงูแมงป่อง ผลักไสไล่ส่งและหมางเมินเขา…
และเขากับหลินสวินก็เพิ่งจะรู้จักกันไม่ถึงสองวัน แต่ฝ่ายหลังกลับปกป้องคุ้มครองมาตลอดทาง มองเขาเป็นสหาย จนถึงขั้นไม่ได้คำนึงว่าจะไปล่วงเกินคนอย่างเมิ่งซิงจื่อ!
นี่จะไม่ให้ป๋อชวนรู้สึกทอดถอนใจได้อย่างไร จะไม่ให้ซาบซึ้งได้อย่างไร
ยามนี้หลินสวินตั้งใจจะจากไปแล้ว มุ่งหน้าไปอีกชั้นหนึ่ง ทว่าก็เป็นตอนนี้ที่เมิ่งซิงจื่อดันส่งเสียงอ้อนวอนเศร้าสลดขึ้นมา
“พี่หลิน สมบัติชิ้นนี้สำคัญหาใดเปรียบ หากมันสูญหายไปจากมือข้า เป็นไปได้มากว่าจะทำร้ายชีวิตของพี่น้องร่วมสำนักบางส่วน ขอเจ้าเมตตาด้วย!”
สีหน้าเมิ่งซิงจื่อเศร้าสลด “เจ้าไม่รู้ ในนรกอำพรางชั้นที่สี่นี้เกิดภัยใหญ่ขึ้นแล้ว!”
เขาเล่าต้นสายปลายเหตุในนั้นออกมาเป็นฉากๆ
ที่แท้ชั้นที่สี่ของนรกอำพราง ปรากฏเจ้าแห่งวิญญาณร้ายตัวหนึ่งที่วิวัฒน์จนมีปัญญาและจิตรับรู้ กำราบผู้แข็งแกร่งสี่คนของหอวิหคทองแดง
เจ้าแห่งวิญญาณร้ายนี้ยื่นคำขาด ว่ามีเพียงมอบทวนหักด้ามนั้นออกมา จึงจะแลกชีวิตของผู้แข็งแกร่งสี่คนนั้นไปได้!
“พูดเช่นนี้ สมบัติชิ้นนี้เดิมทีก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนี่ยอวิ๋นจี๋นั่น แต่เป็นของเจ้าอยู่แล้วหรือ” หลินสวินเลิกคิ้วกล่าว
สีหน้าเมิ่งซิงจื่อขมขื่น “ไม่ผิด ข้าแอบอ้างชื่อเนี๋ยอวิ๋นจี๋เพื่อขู่ขวัญเจ้าเท่านั้น หมายทำให้เจ้ากลัวแล้วถอยไปเอง… ยิ่งไปกว่านั้น หากสมบัตินี้เป็นของเนี่ยอวิ๋นจี๋จริงๆ ไหนเลยจะให้ข้าหยิบยืมได้”
หลินสวินตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามกลับ “เจ้าแห่งวิญญาณร้ายที่เจ้าบอกนั่นรู้เรื่องทวนด้ามนี้ได้อย่างไร”
“เพราะสมบัตินี้เดิมทีก็คือสมบัติมรดกที่อุบัติขึ้นในชั้นที่สี่ของนรกอำพราง ตอนที่สมบัตินี้ปรากฏขึ้น ไม่ใช่แค่ข้าและสหายเหล่านั้นเท่านั้น เจ้าแห่งวิญญาณร้ายเองก็หมายปองสมบัตินี้เช่นกัน”
มาถึงยามนี้แล้ว เมิ่งซิงจื่อเองก็ไม่ปิดบังอีก พูดขึ้นว่า “แม้จะบอกว่าสุดท้ายข้าโชคดีแย่งมันมาได้ แต่สหายเหล่านั้นที่ร่วมเดินทางไปกับข้า… กลับถูกสยบโดยเจ้าแห่งวิญญาณร้ายนั่น”
“ลำพังข้าคนเดียวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าแห่งวิญญาณร้ายนั่น ฉะนั้นที่ข้ากลับมาจากชั้นสี่ครานี้ก็เพราะต้องการไปหาคนมาช่วย หากไม่ได้จริงๆ ก็ทำได้แค่มอบสมบัติชิ้นนี้แลกชีวิตของพวกพ้องคืนมา”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้เมิ่งซิงจื่อก็เผยสีหน้าเว้าวอน “พี่หลิน ตอนนี้เจ้าก็น่าจะกระจ่างแล้ว หากทำสมบัตินี้หายไป ข้าและพวกพ้องเหล่านั้นก็คงจบสิ้นแล้ว”
หลินสวินกลับผิดคาดอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าเมิ่งซิงจื่อจะพูดเรื่องมีคุณธรรมเช่นนี้ได้
ในเวลานี้จู่ๆ ป๋อชวนก็สื่อจิตว่า ‘พี่หลินอย่าไปฟังเขาปั้นเรื่อง เจ้านี่ไม่ได้คุณธรรมสูงเทียมฟ้าเหมือนอย่างที่เขาพูด เรื่องนี้ต้องโป้ปดแน่!’
นัยน์ตาดำของหลินสวินหรี่ตาลงเล็กน้อย ใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วมองไปทางเมิ่งซิงจื่อ กล่าวว่า “เจ้าไปกับข้า”
เมิ่งซิงจื่ออึ้งไป “พี่หลิน นี่ท่านหมายความว่าอะไร”
“เจ้าไม่ได้จะช่วยคนหรือ ข้าจะช่วยเจ้า” หลินสวินเอ่ยง่ายๆ
เมิ่งซิงจื่อหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย “พี่หลิน เจ้าแห่งวิญญาณร้ายนั่นแข็งแกร่งยิ่ง ควบคุมวิญญาณร้ายทั้งหมดของชั้นสี่ ในฟ้าดินแห่งนั้นเขาก็ประหนึ่งราชัน…”
ไม่รอให้พูดจบก็ถูกหลินสวินตัดบท “เจ้าจะไปหรือไม่ไป”
สีหน้าเมิ่งซิงจื่อเปลี่ยนไปมา กัดฟันแน่น “ไป!”
หลินสวินมองไปยังป๋อชวนแล้วแย้มยิ้มน้อยๆ “ป๋อชวน ตั้งใจฝึกฝน วันหน้าค่อยพบกันใหม่”
ขณะพูดเขาโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง ม้วนเอาเมิ่งซิงจื่อที่ถูกกักขังบนพื้นขึ้นมา พลางเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศจากไป
‘พี่หลิน ต้องระวังตัวด้วยนะ…’
ป๋อชวนพึมพำในใจเบาๆ
บนพื้นไกลออก พวกหลิ่วเซี่ยวต่างหยัดตัวขึ้นมาจากพื้น แต่ละคนห่อเหี่ยวเหมือนมะเขือตากน้ำค้าง
พวกเขาเหลือบมองป๋อชวนปราดหนึ่ง นัยน์ตามีแววอาฆาตแค้น ซ้ำยังฉายแววเยียบเย็นอย่างปิดไม่มิด ทว่ากลับไม่มีใครกล้าเข้าไปจัดการกับป๋อชวนอีก
คำพูดของหลินสวินก่อนหน้านี้ก็เหมือนการข่มขวัญที่ไร้รูปอย่างหนึ่ง ขอเพียงหลินสวินยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็ไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่ามอีก!
สวบ!
ในเวลานั้นหลินสวินพาเมิ่งซิงจื่อเคลื่อนย้ายไปอย่างรวดเร็วปานลมสายฟ้า ไม่ทันไรก็หายไปในทางที่เชื่อมสู่ชั้นสาม
…………………….