นรกอำพรางชั้นเก้า
สายฟ้าอาละวาดกำลังแผลงฤทธิ์ ประหนึ่งงูเงินหนาเท่าถังน้ำสายแล้วสายเล่ากำลังเริงระบำร้องคำราม ทั่วฟ้าดินเต็มไปด้วยสายฟ้า กลิ่นอายทำลายล้างที่แข็งแกร่งประหนึ่งจับต้องได้อบอวลไปในห้วงอากาศทุกกระเบียด
พอมองดูอย่างละเอียด ฟ้าดินแห่งนี้ต่างถูกสายฟ้าฟาดปกคลุม ยิ่งลึกเข้าไปอานุภาพของสายฟ้าก็ยิ่งแกร่งกล้า
กระทั่งถึงส่วนลึกของใจกลางนั้น สายฟ้าจำนวนหนึ่งถึงกับแปลงเป็นรูปดาบกระบี่ค้อนขวาน น่าตกตะลึงหาใดเทียบ
สวบ!
เงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งปรากฏขึ้น เสื้อผ้าไหวกระพือ แสงมรรคทั้งร่างพุ่งปะทุ ปราณกระบี่เปล่งประกายสาดออกมายากขยับตัว ฉีกกระชากสายฟ้าที่ขวางหน้าอยู่ให้กระจุยจนหมดสิ้น
การเคลื่อนไหวของเขาไม่ได้เร็ว แต่กลับมีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงหาใดเทียบอยู่ในที ประหนึ่งจักรพรรดิจอมกระบี่เคลื่อนไหวเนิบช้า ทุกที่ที่ผ่านสรรพสิ่งถอยหนี!
คนผู้นี้ก็คือหลินสวิน
ช่วงเวลาสามเดือนที่ต่อสู้ในแดนผนึกมรรค การแปรสภาพของสภาวะจิตและเจตจำนงของหลินสวินอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้พลังต่อสู้ของเขาได้รับการยกระดับขึ้นไปด้วย
ควรรู้ว่าเดิมทีจิตวิญญาณก็คือต้นกำเนิดของการหลอมจิตอย่างหนึ่ง ตอนนี้จิตวิญญาณหลินสวินควบรวมรูปจำลองเจตจำนงออกมาได้ ยามโรมรันต่อสู้ อานุภาพที่ปะทุออกมาถึงกับทำให้ระดับจักรพรรดิทั่วไปไหวหวั่น พาให้พวกเขารู้สึกสั่นสะท้านและหวาดกลัว!
นอกจากนี้การอุบัติขึ้นของรูปจำลองเจตจำนง ทำให้การควบคุมมหามรรคและการใช้วิชายุทธ์ในยามต่อสู้ของหลินสวินเปลี่ยนแปลงไปชนิดพลิกฟ้าดิน
พูดได้ว่าแม้ตอนนี้หลินสวินยังอยู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิเหมือนเดิม แต่พลังต่อสู้ของเขาเพิ่มพูนขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก!
การสู้กับระดับจักรพรรดิขั้นสามก็ไม่ใช่เรื่องให้พูดถึงกันแล้ว
เช่นถ้าได้ประมือกับจักรพรรดิผีค้างคาวเงินอีกครั้ง เพียงอาศัยพลังต่อสู้ของตัวเขาเอง ต่อให้ฆ่าอีกฝ่ายไม่ตาย ก็สามารถต้านอีกฝ่ายไว้ได้!
พลังต่อสู้เย้ยฟ้าปานนี้ไม่อาจใช้คำว่าน่าตะตกลึงมาบรรยายได้แล้ว ถ้าแพร่ออกไปจะต้องอึ้งค้างกันจนอ้าปากค้าง
แต่สำหรับหลินสวินแล้ว ยังขาดอีกเล็กน้อยก่อนจะถึงขั้นสมบูรณ์อย่างแท้จริงที่ใจเขาต้องการ
เพราะนี่ไม่ได้เป็นขีดจำกัดของเขา อย่างตอนนี้พลังปราณ สภาวะจิต และเจตจำนงของเขาต่างเรียกได้ว่าเป็นระดับขีดสุดอย่างแท้จริงของระดับนี้ ไม่อาจเพิ่มสูงขึ้นได้อีกแล้ว
แต่พลังมหามรรค พลังยุทธ์ของเขากลับไม่ได้สมบูรณ์ถึงขีดสุดอย่างแท้จริง
อย่างเช่นด้านวิชายุทธ์ มรดกวิชาที่เขาครอบครองมีมากถึงที่สุด แม้จะหลอมนัยเร้นลับในนั้นเข้าไปในคัมภีร์เตาหลอมมหามรรคของตน เรียกได้ว่าหนึ่งเตาหลอมแปรหมื่นวิชา
แต่ยังห่างกับความเข้าใจถ่องแท้อยู่ระดับหนึ่ง
พลังมหามรรคที่เขาครอบครองก็เป็นเช่นนี้เช่นกัน
แต่หลินสวินสังหรณ์อย่างแรงกล้าอย่างหนึ่ง ว่าตนอยู่ไม่ไกลจากการแจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิแล้วจริงๆ ถึงกับจะก้าวถึงขั้นนี้เมื่อไรก็ได้!
ดังเช่นตอนนี้ ขณะที่เดินอยู่ในโลกชั้นเก้าที่มีสายฟ้าถักทอแห่งนี้ สภาวะจิตของหลินสวินก็รับรู้เค้าลางแปลกประหลาดที่มีความกระเหี้ยนกระหือรืออยู่
‘ระเบียบอสนีของที่นี่ทำให้พลังปราณของข้าอยากเคลื่อนไหวเต็มแก่ ไม่แน่ขอเพียงใจข้าคิดถึง ก็จะเรียกเอามหาเคราะห์บรรลุจักรพรรดิออกมา เลื่อนขั้นเป็นระดับจักรพรรดิได้กระมัง’
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองหลินสวิน แต่ไม่นานนักก็ถูกเขาสลัดทิ้ง
การบรรลุจักรพรรดิ สำหรับเขาแล้วก็เป็นสิ่งที่ช่วงชิงได้ตั้งแต่ยามพลังปราณถึงขั้นสมบูรณ์
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
สิ่งที่เขาต้องการคือบรรลุมกุฎจักรพรรดิ เข้าสู่เส้นทางแห่งมกุฎมหาจักรพรรดิซึ่ง ‘อดีตปัจจุบันไม่เคยมี มรรคข้าเป็นหนึ่ง’!
ด้วยเหตุนี้หลินสวินจึงกดข่มพลังปราณของตนมาโดยตลอด หันไปเคี่ยวกรำมหามรรค ฝึกยุทธ์ หล่อหลอมสภาวะจิตกับพลังเจตจำนง
ในระหว่างที่เดินอยู่ในโลกอสนีนี้ ยิ่งลึกเข้าไปก็ยิ่งกดดัน ต่อให้พลังต่อสู้ในยามนี้ของหลินสวินเปลี่ยนไปอย่างพรวดพราด แต่ก็เริ่มรู้สึกกินแรงอยู่บ้าง
ก็ในตอนนี้เอง
หลินสวินฉุกคิดกะทันหัน รู้สึกได้กลายๆ ว่าต่อให้ตนข่มระดับลงเพียงไหน แต่อย่างน้อยครึ่งปี อย่างมากปีครึ่ง มหาเคราะห์ไร้เทียมทานตอนตนบรรลุระดับมกุฎจักรพรรดิก็ต้องมาเยือน!
นี่เป็นความรู้สึกที่ไม่อาจควบคุมได้ ไม่อาจเข้าใจ แต่ใจพอจะหยั่งรู้ได้รางๆ ลึกลับยิ่งนัก
นี่ก็คือการหยั่งรู้ความลับสวรรค์ของผู้ฝึกปราณ
เมื่อพลังปราณถึงระดับจักรพรรดิ กระทั่งสามารถอาศัยการตอบสนองกับความลับสวรรค์เช่นนี้มาอนุมานเคราะห์โชคในอนาคตของตนได้ ลึกลับหาใดเทียบ
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
พลังอสนีอันน่าครั่นคร้ามสายแล้วสายเล่าโปรยลงมาจากฟ้า สว่างจ้าแสบตา ใหญ่หนาดั่งมังกร
ปราณกระบี่ทั้งตัวหลินสวินไหลเวียน ผ่าแยกพลังอสนีเหล่านั้น พลังอสนีที่เหลือเป็นริ้วๆ ถูกเขาดึงมาเคี่ยวกรำร่างกาย ประกายแสบตาเป็นวงๆ กระจายออก ผิวหนังที่ถูกโจมตีเกิดความรู้สึกสั่นไหวเจ็บปวดชาหนึบ
ในแดนผนึกมรรคก่อนหน้านี้ เขาอาศัยพลังเจตจำนงเหล่านั้นมาหลอมสภาวะจิตและเจตจำนง ส่วนตอนนี้เป็นการใช้พลังอสนีมาหลอมพลังกาย
แม้ทำเช่นนี้จะเสี่ยงและเจ็บปวด แต่กลับมีผลดีต่อการหลอมกายเนื้อของเขาอย่างเห็นได้ชัดจริงๆ
น่าเสียดาย หลินสวินทดลองหลายครั้งจึงพบว่าไตรมรรคของตนอย่างหลอมกาย หลอมปราณและหลอมจิตบรรลุระดับสูงสุดสมบูรณ์ไปนานแล้ว
ต่อให้พุ่งเป้าไปที่การหลอมพลังกายแค่ไหน นอกจากเจ็บปวดอยู่บ้างแล้ว ก็ไม่เพิ่มพลังปราณแม้แต่นิดเดียว
ทว่าสิ่งที่เขาฝึกมี ‘คัมภีร์มหาอสนีดับสูญ’ ในฟ้าดินอสนีแห่งนี้ กลับเป็นการได้หยั่งรู้นัยเร้นลับอสนีที่อยู่ในคัมภีร์นี้ได้เร็วยิ่งขึ้น
หนึ่งวันผ่านไป
หืม?
ก็ในตอนที่หลินสวินรู้สึกกดดันถึงขั้นต้องใช้พลังทั้งหมดต้านทาน ก็เห็นว่าฟ้าดินไม่ไกลนักมีสีแดงเพลิงแสบตาไปทั้งแถบ
ฟ้าดินดุจสีชาด อสนีดุจเปลวเพลิง ประหนึ่งกระแสอสนีตกลงมาจากฟากฟ้า มีสีแดงเพลิงอันงดงามตระการตาปกคลุมบริเวณนั้นไว้ทั้งหมด
ท่ามกลางความเลือนราง สามารถมองเห็นว่าพลังอสนีสีชาดเหล่านั้นแปลงเป็นดาบ กระบี่ ขวาน ขวานวงจันทร์ กระถางระฆัง เจดีย์สมบัติ เริงระบำไหววูบ…
สายฟ้าบางสายแปลงเป็นสุริยันจันทราดาราโคจรอยู่ในนั้น
กระทั่งหลินสวินยังเห็นนกหลวนที่แปลงมาจากสายฟ้าตัวแล้วตัวเล่ากระพือปีกบินกลางฟ้าดิน ส่งเสียงร้องกังวาน ต่างเจืออานุภาพน่าครั่นคร้ามแห่งอสนี
ที่นั่นเปรียบดั่งเมืองอสนี สีแดงชาดดุจเปลวเพลิง!
เขตต้องห้ามอสนี!
หลินสวินระบุได้ทันที ว่าบริเวณนั้นต้องเป็นสถานที่น่ากลัวที่จักรพรรดิสงครามหลิงอู่พูดถึง
ต้นไม้เทพคุนอู๋นั่น… จะซ่อนอยู่ในนั้นจริงหรือไม่!
ขณะที่หลินสวินครุ่นคิดก็เอาเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดออกมา แล้วปล่อยต้นสำริดเฒ่าที่กำราบไว้ภายใน ฝ่ายหลังหายใจรวยริน ลมหายใจอ่อนระโหย แต่ขณะนี้กลับใจสั่นระรัว
“นี่… นี่มันเพลิงอสนีคุนอู๋!”
ต้นสำริดเฒ่าร้องตื่นเต้น สายฟ้าตัดสลับกันกลางฟ้าดิน กระแสคล้ายเปลวเพลิงแผ่พุ่ง แต่สำหรับมันแล้ว กลับเหมือนอยู่ในแดนเซียน
หลินสวินกำลังต้านทานสายฟ้ากลางฟ้าดิน เห็นดังนี้ก็ดึงเอาเพลิงอสนีมาโจมตีที่ต้นสำริดเฒ่า
ฝ่ายหลังตื่นเต้นจนแทบโผบิน โบกสะบัดกิ่งก้านดูดซับอสนีเปลวเพลิงนั้น ลำต้นที่หมองหม่นหาใดเทียบมีประกายส่องสว่างสีชาดเรื่อเรืองขึ้น
มันในตอนนี้เผยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม สบายอารมณ์เหมือนกินน้ำอมฤต
“พูดเช่นนี้ ต้นไม้เทพคุนอู๋นั่นก็อยู่ที่นี่หรือ” หลินสวินเอ่ยขึ้นกะทันหัน
ต้นสำริดตอบทันที “ต้องอยู่แน่ ก็มีแต่ต้นกำเนิดของต้นไม้เทพคุนอู๋เท่านั้นถึงแผ่เพลิงอสนีคุนอู๋ที่บริสุทธิ์เช่นนี้ออกมาได้”
ตามคำพูดของมัน สายฟ้าที่ปกคลุมฟ้าดินแห่งนี้มีนามว่าเพลิงอสนีคุนอู๋ ถักทอพลังต้นกำเนิดอสนี มีเพียงต้นไม้เทพคุนอู๋ถึงควบคุมได้
พูดง่ายๆ ก็คือเพลิงอสนีคุนอู๋ก็คือต้นกำเนิดมหามรรคของต้นไม้เทพคุนอู๋
“เจ้านำทาง”
หลินสวินชี้เขตต้องห้ามอสนีที่อยู่ไกลออกไปนั้น ฟ้าดินตรงนั้นน่ากลัวยิ่งนัก กฎเกณฑ์อสนีที่ปกคลุมแปรเปลี่ยนเป็นปรากฏการณ์ประหลาดต่างๆ
ตอนพวกจักรพรรดิสงครามหลิงอู่มาถึงที่นี่ก็ถูกขวางอยู่ข้างนองไม่อาจข้ามบึงสายฟ้าไปได้สักก้าว
แต่หลินสวินไม่คิดว่าตนในตอนนี้จะเทียบเทียมกับคนอย่างพวกจักรพรรดิสงครามหลิงอู่ได้
ทว่าหากมีต้นสำริดเฒ่านำทาง เช่นนั้นก็ต่างกันแล้ว วิญญาณร้ายระดับจักรพรรดินี้กับต้นไม้เทพคุนอู๋มีต้นกำเนิดเดียวกัน มองฟ้าดินอสนีแห่งนี้เป็นดั่งแดนเซียน หากต้องการเข้าไปในเขตต้องห้ามอสนีนั้นคงไม่ใช่เรื่องยาก
“ข้าหรือ”
ต้นสำริดเฒ่าหน้าเปลี่ยนสีทันที “ถ้าข้าเข้าไปจะต้องถูกต้นไม้เทพคุนอู๋กลืนกิน ถึงอย่างไรเดิมทีต้นกำเนิดของข้าก็เป็นรากท่อนหนึ่งของมัน…”
ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกหลินสวินตัดบท “ถ้าเจ้าช่วยข้า ข้าย่อมไม่มองดูเจ้าตายไปต่อหน้าต่อตา แต่ถ้าเจ้าไม่ช่วย ตอนนี้ได้ตายแน่”
ต้นสำริดเฒ่าสีหน้าเหยเกไปครู่หนึ่ง ปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ ครู่สั้นๆ จึงกัดฟันพูดว่า “สหายยุทธ์ เจ้าพูดจริงหรือ ถ้าข้าพาเจ้าเข้าไป จะให้ทางรอดกับข้าได้จริงๆ หรือ”
หลินสวินเอ่ยอย่างไม่ลังเลว่า “แน่นอน”
ต้นสำริดเฒ่าไม่ลังเลอีก สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเดินหน้าไป
ลำต้นมันหนาใหญ่ กิ่งก้านเริงระบำบดบังพลังอสนีที่ถาโถมลงมานั้นราวกับร่มคันใหญ่ หลินสวินเดินอยู่ใต้ ‘ฉัตร’ ประหนึ่งเดินอยู่บนพื้นราบ ทั้งร่างผ่อนคลายไปครู่หนึ่ง
ตลอดทางเขาสังเกตได้อย่างเฉียบแหลมว่าต้นสำริดเฒ่ากำลังดูดซับพลังอสนีกลางฟ้าดินนั้นอย่างบ้าคลั่ง มันที่เดิมทีบาดเจ็บเจียนตาย ลมหายใจอ่อนระโหยก็เปล่งพลังชีวิตกระปรี้กระเปร่าอีกครั้งหนึ่ง…
ทว่า หลินสวินไม่ได้สนใจ
ต่อให้ต้นสำริดเฒ่าฟื้นคืนสภาพสูงสุดก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้เขาได้
ไม่นานนัก ทั้งสองก็เดินเข้าไปใกล้แดนผนึกที่ปกคลุมด้วยสายฟ้านั้น
โครม!
กระบี่มรรคสีแดงเพลิงที่แปลงมาจากสายฟ้าเล่มหนึ่งฟันออกมา อบอวลไปด้วยกลิ่นอายทำลายล้าง ฟันให้ต้นสำริดเฒ่าสั่นไปทั้งตัว ถอยหลังซรวนเซ
ที่นี่ทำให้เขายังกดดันหาใดเทียบอย่างไม่ต้องสงสัย
หลินสวินเห็นเช่นนี้ก็ลงมือทันที เตาหลอมที่รวมกฎเกณฑ์มหามรรคเตาหนึ่งปรากฏขึ้นพุ่งผ่านอากาศออกไป
ปึง!
ชั่วพริบตา ก็บดขยี้กระบี่เพลิงอสนีเล่มนั้นให้กลายเป็นฝนแสงรังสีอสนีเต็มฟ้า
ต้นสำริดเฒ่าถือโอกาสถลาเข้าไป กิ่งก้านยืดขยายแผ่กว้างม้วนตลบสายอสนีเต็มฟ้าจนหมดสิ้น มันเหมือนกับกลืนกินของบำรุงชิ้นใหญ่ สบายจนแทบครางออกมา
“สหายยุทธ์ สิ่งนี้ก็คือวารีอสนีคุนอู๋ มีคุณประโยชน์ชุบชีวิตได้ มีประโยชน์กับการรักษาบาดแผลอย่างเหลือเชื่อ”
ขณะที่ต้นสำริดเฒ่าพูด ก็มีใบไม้ร่อนลงมาเป็นแถบ บนใบไม้มีของเหลวอสนีคล้ายหยดน้ำเม็ดหนึ่ง สีแดงชาดดุจเพลิง เปล่งประกายพร่างพราว แผ่กลิ่นอายชีวิตอันเข้มข้นหาใดเทียบ
วารีแปรอสนี!
มิหนำซ้ำ ยังเป็นสิ่งที่ต้นกำเนิดเพลิงอสนีคุนอู๋แปลงขึ้น ภายในนั้นถักทอกลิ่นอายกฎระเบียบน่าตกตะลึง!
หลินสวินเอาขวดหยดออกมาขวดหนึ่ง เก็บเอาวารีอสนีหยดนี้ไป แล้วจึงพูดว่า “แค่หยดเดียวหรือ เจ้าใจกว้างจังนะ”
ต้นสำริดเฒ่าขวยเขิน รีบพูดว่า “สหายยุทธ์วางใจ ขอเพียงสังหารพลังอสนีที่สามารถแปลงร่างที่นี่เหล่านั้นได้ ก็จะรวมรวมวารีอสนีคุนอู๋ได้อย่างไม่ขาดสาย!”
หลินสวินร้องอ๋อ ไม่ได้พูดอะไรอีก
ทั้งสองเดินหน้าไม่นาน ทวนศึกที่แปลงมาจากเพลิงอสนีคุนอู๋ฝ่าทะลวงอากาศออกมา อสนีถักทอ สายฟ้ากระเซ็นกระสาย ไอพิฆาตน่ากลัวทำลายโลกฉายวาบ
ต้นสำริดเฒ่าคำรามลั่น ชิงถลาเข้าไปก่อน