คนเราเมื่อเจ็บปวดใจหรือโกรธเคืองก็จะไปโยงคนอื่นเข้ามา
แม้แต่ผู้ฝึกปราณก็ไม่เว้น
และการมีอยู่ของหลินสวิน ย่อมทำให้ผู้ที่มองเขาเป็นศัตรูอยู่เดิมเหล่านั้นหาทางระบายออกได้อย่างไม่ต้องสงสัย พากันเอ่ยปากด่าว่าขึ้นมา
มีคุณสมบัติพาตัวขึ้นมาถึงสี่อันดับแรกของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ แต่ไม่ได้รับเกียรติยศที่อันดับเช่นนี้นำมาให้ กลับดึงดูดการด่าว่าติเตียนเช่นนี้มาเสียได้
เมื่อกลับไปคิดถึงต้นตอ ต้องเป็นเพราะเห็นว่าหลินสวินรังแกได้เท่านั้นเอง เขาไร้สำนักไร้พรรค หัวเดียวกระเทียมลีบ ย่อมไม่มีพลังซึ่งสามารถทำให้สำนักโบราณเหล่านั้นหวั่นกลัว
จากจุดนี้ก็ดูออกว่าในดินแดนรกร้างโบราณที่ควบคุมโดยสำนักโบราณใหญ่นี้ คนหัวเดียวกระเทียมลีบคิดจะผงาดขึ้นมาเป็นเรื่องยากลำบากปานไหน!
เมื่อหลินสวินเห็นภาพนี้เข้าก็หัวเราะขึ้นมาในทันใด
เขายืนอยู่เหนือแท่นมรรคบนยอดเขา มองลงมายังทุกคนในที่นั้น ท่าทีผิดจากปกติ แปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวถึงขีดสุด แล้วพูดเสียงเย็นเยียบว่า “ไม่ถูกผู้อื่นริษยาเป็นคนความสามารถพื้นๆ ที่โบราณว่าไว้ไม่ได้หลอกข้าจริงๆ ข้าหลินสวินรอนแรมมาตลอดทางกระทั่งตอนนี้ เหยียบย่างภูเขาศพทะเลเลือด ฝ่าผ่านถ้ำเสือบึงมังกร ทุกอย่างที่ข้าได้ครอบครองในวันนี้ ฟ้าดินเป็นพยาน สุริยันจันทราแจ้งประจักษ์!”
“พวกเจ้า ยังไม่มีคุณสมบัติมาตัดสินข้า!”
น้ำเสียงเรียบเฉยดังก้องฟ้าดิน
ทุกคนในสนามประลองต่างนิ่งอึ้ง เสียงตำหนิติเตียนก็ถูกกดทับลงไป รู้สึกคล้ายถูกสั่นสะเทือนท่ามกลางความคลุมเครือ
“ฟ้าดินเป็นพยานได้ดีจริงๆ!” เยี่ยเฉินดวงตาฉายประกาย
“เพียงอาศัยจิตวิญญาณเช่นนี้ ก็สามารถมองว่าเป็นพวกเราได้!” แววประหลาดไหวเคลื่อนในดวงตาเซี่ยวชางเทียน
จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มละไม ฟันงามเปล่งประกาย ริมฝีปากแดงเปล่งปลั่ง บนใบหน้าเกลี้ยงเกลาเพราพริ้งส่องประกาย
ในดวงตาคู่งามที่มองไปยังหลินสวินมีแต่แววประหลาดราววงคลื่น
นี่ก็คือหลินสวินที่นางรู้จัก ไม่เหมือนคนทั่วไปเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร!
‘จองหอง!’ จี้ซิงเหยาลอบพึมพำในใจ
ทว่าในตอนนี้นางก็สะท้านใจขึ้นมาเช่นกัน ทุกคนบนโลกต่างรู้ดีว่าเทพมารหลินกล้าหาญไม่มีใครเทียม กิตติศัพท์ระบือไกล
แต่ใครๆ ก็รู้อีกว่าเด็กหนุ่มที่มาจากโลกชั้นล่างอย่างเขา เพื่อสิ่งนี้ ต้องแลกด้วยเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อไปเท่าไร
“กำเริบเช่นนี้เหมือนเคย!” อวี่หลิงคงส่งเสียงหึหยัน เขายิ่งเห็นว่าหลินสวินขัดหูขัดตาขึ้นอีก
จินมู่อวิ๋นพลันเอ่ยปากเสียงดังว่า “หลินสวิน การคุยโตเช่นนี้เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ประเดี๋ยวเมื่อประลองกัน ระวังจะถูกตบหน้าเอา!”
“ตบหน้าหรือ อย่างเจ้าก็คู่ควรด้วยหรือ”
หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย “ต่อให้อวิ๋นชิ่งไป๋มา ก็ไม่กล้าพูดกับข้าแบบนี้!”
“เจ้ารนหาที่ตาย!”
จินมู่อวิ๋นสีหน้าเคร่งขรึม
ในขณะเดียวกันผู้ฝึกปราณสำนักกระบี่เทียมฟ้าที่อยู่เชิงเขาก็สีหน้าคร่ำเคร่ง เด็กนี่ถึงกับกล้าดูหมิ่นอวิ๋นชิ่งไป๋ ช่างสมควรตายเสียจริง!
“รนหาที่ตายหรือ” มุมมากของหลินสวินปรากฏรอยยิ้มโหดเหี้ยม “อีกเดี๋ยว หากเจ้าสามารถตั้งรับข้าได้สามกระบวนท่า ก็ถือว่าข้าแพ้!”
ทั้งที่นั้นสั่นสะเทือน
สามกระบวนท่าหรือ
คุยโวยิ่งนัก!
แม้แต่เซี่ยวชางเทียนกับเยี่ยเฉินยังเลิกคิ้วอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ดี! ดี! ดี!”
จินมู่อวิ๋นโกรธถึงขีดสุดจนหัวเราะ ทั้งร่างมีเจตกระบี่ดุดันเทียมฟ้าแผ่พุ่งออกมา รังสีเหี้ยมเกรียมยิงออกมาจากกลางดวงตา “ข้ารออยู่!”
‘ช่างกำเริบเสิบสานเสียจริง อวิ๋นชิ่งไป๋ตอนนั้นก็มองคนรุ่นเยาว์อย่างโอหัง ยามเรียกได้ว่าไร้ศัตรู เกรงว่าคงไม่กล้าคุยโวปานนี้’
ที่ตีนเขา เยี่ยนจั่นชิวนั่งขัดสมาธิเหนือก้อนหิน แผ่นหลังเหยียดตรง สีหน้าสงบนิ่งและเรียบเฉยเหมือนแต่ก่อน
ก่อนหน้านี้เขาได้เห็นความสามารถที่หลินสวินแสดงออกมากับตาหมดแล้ว แม้ในใจไม่ยินยอม แต่ต้องยอมรับว่าตอนแรกเขาประเมินหลินสวินต่ำไป
การแพ้อย่างย่อยยับของชิงเหวินเจวี้ยนและหลี่ชิงผิงทำให้เขาถึงกับเกิดความรู้สึกระแวดระวัง
ไม่ใช่เพราะตกใจกับพลังต่อสู้ที่โอหังราวเทพมารเช่นนั้นของหลินสวิน แต่เขาค้นพบได้ทันทีว่า เขากลับไม่เคยมองทะลุตื้นลึกหนาบางของหลินสวินได้อย่างทะลุปรุโปร่งมาโดยตลอด!
‘การต่อสู้มีท่วงท่าอย่างเทพมาร ไหวพริบล้ำลึกราวโกรกธาร แต่กลับกระทำการอย่างใจกล้าคับฟ้าปานนี้ ไม่หวั่นเกรงสายตาใคร หากเด็กนี่ผงาดขึ้นมา คลื่นลมไร้ที่สิ้นสุดต้องเกิดขึ้นตามมาด้วยแน่ ไม่รู้ว่าจะไปชักนำเรื่องโกลาหลมากน้อยแค่ไหน’
คิดถึงตรงนี้ดวงตาของเยี่ยนจั่นชิวฉายแววแน่วแน่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ‘ศิษย์น้องจิ่งเซวียน… อย่าไปเกลือกกลั้วกับเขาเด็ดขาดเชียว!’
……
รอบสุดท้าย ที่เปิดฉากขึ้นก่อนคือการประลองของยอดมกุฎรุ่นเยาว์อันดับที่ห้าถึงสิบ
กฎเกณฑ์เรียบง่ายนัก หลังจากแต่ละคนประลอง ยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่พ่ายแพ้จะถูกจัดอันดับที่แปด เก้า และสิบ ตามความมากน้อยของโชควาสนามหามรรคของแต่ละคน
ส่วนยอดมกุฎรุ่นเยาว์สามคนที่ได้รับชัยชนะจะประลองกับอีกสองคนที่เหลือ อิงตามคะแนนสุดท้ายจัดอันดับที่ห้า หกและเจ็ด
……
ไม่นานนักการประลองก็เริ่มขึ้น ดึงดูดความสนใจของทุกคนในที่นั้น
เพียงแต่สำหรับหลินสวิน เซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน และจินมู่อวิ๋น สามารถนั่งรออย่างสบายใจ ยามดูการประลอง สภาวะจิตปลอดโปร่งเหนือธรรมดานัก
กระทั่งว่าพวกเซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉินต่างถือโอกาสนี้หลับตานั่งสมาธิ ไม่สนใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก
หลินสวินเห็นเช่นนี้ก็อดสะท้อนใจไม่ได้
สามารถทำสมาธิในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้ จำเป็นต้องมีจิตมรรคที่หนักแน่นและผ่องแผ้วถึงที่สุด!
เหตุใดผู้ฝึกปราณต้องปิดด่าน
สาเหตุก็คือไม่ต้องการถูกโลกภายนอกรบกวน จดจ่อจิตวิญญาณทั้งหมดไปกับการบรรลุ
ทว่าหากสภาวะจิตแกร่งกล้ามากพอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ภูเขาดาบทะเลอัคคี หรืออยู่ที่นรกอเวจีคลุ้งเลือดล้วนสามารถรักษาความสงบเยือกเย็น วายุแปดทิศพัดมาก็ไม่โอนเอน
จะปิดด่านหรือไม่ ก็ไม่อาจส่งผลต่อพวกเขาได้
หลินสวินย่อมสามารถทำเช่นนี้ได้เช่นกัน ที่ทำให้เขาสะเทือนอารมณ์ก็คือ ผู้โดดเด่นในขอบเขตมกุฎอย่างเซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉิน ล้วนยืนตระหง่านอยู่จุดสูงสุดของรุ่นเดียวกัน ยังสามารถรักษาจิตมรรคได้ดังเดิม รีบหาเวลาฝึกปราณอย่างไม่อ้อยอิ่งสักนิด เจตจำนงแสวงมรรคที่ตั้งมั่นและแข็งกล้าเช่นนี้ เพียงพอจะทำให้ผู้อื่นประทับใจ
ไม่กลัวว่าคู่ต่อสู้ชาติกำเนิดดีกว่าเจ้า พรสวรรค์สูงกว่าเจ้า หรือแก่นกระดูกดีกว่าเจ้า แต่กลัวคู่ต่อสู้ที่ยึดครองข้อได้เปรียบโดยธรรมชาติ ขยันหมั่นเพียรกว่าเจ้า!
‘ไม่แน่ว่าอาจเพราะเป็นเช่นนี้ พวกเขาถึงมีความสามารถระดับนี้ในวิถีมรรคกระมัง’ หลินสวินครุ่นคิด
การเก็บเล็กผสมน้อยอาจไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้
แต่เมื่อสะสมถึงระดับหนึ่ง ย่อมมีเวลาที่กองศิลากลายเป็นภูผา ร้อยธารากลายเป็นมหาสมุทร!
‘การแข่งขันยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้มีคนเช่นนี้มาประลอง ก็ถือว่าไม่ได้มาเสียเที่ยว’ ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจว่าเหตุใดเซี่ยวชางเทียนกับเยี่ยเฉินถึงให้ความสำคัญกับตนเช่นนี้
ง่ายนัก พวกเขามองว่าตนเป็น ‘พวกเดียวกัน’!
และตอนนี้ หลินสวินก็มองพวกเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่แท้จริงแล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ต่างเฝ้าคอยการประลองกับพวกเขาอย่างเต็มที่!
คิดถึงตรงนี้ จิตต่อสู้ไร้รูปร่างก็ผุดขึ้นจากกายหลินสวิน
แทบจะในขณะเดียวกัน บนยอดเขาอีกสองยอด เซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉินที่นั่งสมาธิอยู่ล้วนเหมือนรับรู้ได้ พากันลืมตาขึ้นแล้วมองไปทางหลินสวิน
เมื่อสังเกตได้ถึงจิตต่อสู้บนกายหลินสวิน ในดวงตาเรียวยาวราวคมดาบของเซี่ยวชางเทียนก็ฉายประกายขึ้นอย่างเงียบงัน
เยี่ยเฉินกลับยิ้มน้อยๆ เอ่ยอย่างไร้เสียงว่า ‘คิดจะต่อกรกับข้า เมื่อต่อสู้ก็ต้องใช้พลังทั้งหมดที่มี ถึงตอนนั้นข้าจะไม่ออมมือ!”
หลินสวินยิ้มหยัน “จะทำตามที่เจ้าต้องการ!”
“หึ!”
จินมู่อวิ๋นก็สังเกตเห็นภาพนี้ได้อย่างฉับไว ด้วยฐานะบุคคลขอบเขตมกุฎที่มีคุณสมบัติเข้าชิงสี่อันดับแรกเช่นเดียวกัน เขาย่อมดูออกว่ากลิ่นอายของหลินสวินเปลี่ยนแปลงไป มีจิตต่อสู้ดุดันที่ไร้รูปเพิ่มขึ้นมา
แต่จินมู่อวิ๋นดูแคลนนัก ก่อนหน้านี้หลินสวินเคยพูดว่าจะเอาชนะเขาให้ได้ในสามกระบวนท่า ท่าทีที่ดูถูกและโอหังเช่นนี้ถูกจินมู่อวิ๋นมองว่าเป็นการเหยียดหยาม ไม่อาจทนได้!
ไม่นานนักการประลองบนสนามประลองโชควาสนาก็สิ้นสุดลง และแบ่งอันดับออกมา
ที่ห้า จี้ซิงเหยา
ที่หก จ้าวจิ่งเซวียน
ที่เจ็ด อาหลู่
ที่แปด อวี่หลิงคง
กู่เหลียงผิงและฉีชงโต้วได้อันดับที่เก้าและสิบ
ฉีชงโต้วเป็นผู้สืบทอดที่มาจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา เป็นศิษย์พี่ของเซียวชิงเหอ ก่อนหน้านี้ไม่แสดงตัวโดดเด่น แต่ตอนนี้กลับสามารถพาตัวเองมาอยู่ในสิบอันดับแรกของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ได้ ก่อให้เกิดเสียงตื่นตะลึงในหมู่ผู้ชมไม่รู้เท่าไร
ส่วนยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่มาจากแดนพิสุทธิ์อมตะอย่างอวี่หลิงคง กลับได้เพียงอันดับแปด ก็ทำให้ผู้ชมนับไม่ถ้วนประหลาดใจถึงที่สุด
เพราะตามที่ทุกคนคาดเดาไว้ บุคคลอย่างอวี่หลิงคงอย่างน้อยก็ควรอยู่ราวอันดับห้า
แต่ตอนนี้ขนาดคนเถื่อนอย่างอาหลู่เขายังกำราบไม่ได้ อยู่ที่อันดับแปด นี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัย
โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งของแดนพิสุทธิ์อมตะเหล่านั้นล้วนมีท่าทางหมดอาลัยตายอยาก ไม่อาจยอมรับได้ รู้สึกไม่ยินยอมแทนอวี่หลิงคง
อวี่หลิงคงก็อึ้งไป สีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ จิตใจถูกกระทบกระเทือน
เดิมทีถูกหลินสวินกดหัวก็ทำให้ใจเขาเต็มไปด้วยความอัปยศอยู่แล้ว ในตอนนี้กลับได้เพียงอันดับแปด นี่จะให้เขาซึ่งยโสโอหังรับได้อย่างไร
หลินสวินเห็นเช่นนี้ นอกจากอึ้งไปเล็กน้อยก็อดไม่ได้นึกถึงความเห็นประโยคหนึ่งจากซุ่นไป๋เซวียนตอนข้ามแม่น้ำพรมแดน ‘อวี่หลิงคงหรือ ก็แค่ผู้กล้าแห่งยุคคนหนึ่งที่อริยะในตระกูลทุ่มทรัพยากรบำเพ็ญเพียรจำนวนมหาศาลออกมาให้ก็เท่านั้น’
ในเสียงเจือไปด้วยความดูถูก
และตอนนี้เมื่อเห็นเช่นนี้ หลินสวินก็รู้สึกอยู่รางๆ ว่าความเห็นของซุ่นไป๋เซวียนเหมือนจะถูกต้อง
ในเทศกาลโคมกถามรรคตอนนั้น เขาก็เคยเคยประลองกับอวี่หลิงคง ที่ทำให้หลินสวินรู้สึกรับมือได้ยากไม่ใช่เพราะคนผู้นี้มีพลังต่อสู้น่ากลัวมากมาย แต่เพราะตำหนักอมตะที่เขาครอบครองเป็นสมบัติอริยะที่น่าครั่นคร้ามถึงที่สุดชิ้นหนึ่ง!
ตอนนี้อวี่หลิงคงไม่มีสมบัติอริยะ ว่าด้วยรากฐานพลังแล้วด้อยกว่าพวกจี้ซิงเหยา จ้าวจิ่งเซวียนและอาหลู่ขั้นหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด
แน่นอนว่าการที่อวี่หลิงคงสามารถพาตัวเองมาอยู่ในอันดับแปดของกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ท่ามกลางบุคคลขอบเขตมกุฎ ก็เรียกได้ว่าโดดเด่นสะดุดตาไม่ใช่คนอ่อนแอแล้ว
อวี่หลิงคงเหมือนสังเกตได้ถึงสายตาของหลินสวิน เขาหน้านิ่วคิ้วขมวด สีหน้ายิ่งอึมครึม ไม่อาจยอมรับผลลัพธ์นี้ได้!
‘หลินสวิน การประลองคราวนี้ถูกจำกัดด้วยกฎระเบียบ รอเมื่อออกไปจากที่นี่ ข้าจะกำราบเจ้าด้วยมือข้าเอง!’ อวี่หลิงคงพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำในใจ เผยให้เห็นความแค้นหนักแน่นเด็ดขาด
ตูม!
ทันใดนั้นเหนือเขาเทพไร้มรณะ รัศมีเทพนิรันดร์อันโชติช่วงหาใดเทียบก็แผ่ออกมา เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมสะท้านทั่วฟ้าดิน ประหนึ่งเสียงแห่งมหามรรคก้องกังวาน ดึงดูดความสนใจของทุกสายตาในที่นั้น
การประลองรอบสุดท้ายเพื่อชิงสี่อันดับแรกกำลังจะเริ่มขึ้น แต่กลับเกิดปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้ ทำให้ผู้ฝึกปราณในที่นั้นต่างตื่นตะลึงยกใหญ่
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
พวกหลินสวินก็อึ้งไป เดิมทีพวกเขาเตรียมตัวเพื่อประลองตามกฎเกณฑ์ ใครจะคิดได้ว่าเวลานี้กลับเหมือนเกิดเรื่องไม่คาดฝันบางอย่างขึ้น!
ครืน!
การเคลื่อนไหวประหลาดของภูเขาเทพไร้มรณะยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก เหนือเวิ้งฟ้าพลันมีแสงมงคลเทลงมา แสงอริยะผุดขึ้น สาดส่องให้ฟ้าดินแห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์
ในขณะเดียวกันคลื่นกฎระเบียบสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมา ถักทอกลางห้วงอากาศไม่ว่างเว้น เปล่งประกายงดงาม ในที่สุดก็ค่อยๆ ประกอบกันเป็นเงาร่างใหญ่โตหาใดเทียบเงาหนึ่ง!
“สวรรค์ นี่มันอะไรกัน?!”
ทุกคนต่างตื่นตระหนกยกใหญ่ นัยน์ตาขยายกว้าง มองดูภาพนี้อย่างเหลือเชื่อ จิตวิญญาณล้วนสั่นสะท้าน
กลิ่นอายกฎระเบียบอันศักดิ์สิทธิ์นั้นช่างน่าตะลึงเกินไปแล้ว!
——
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1065 การเคลื่อนไหวประหลาดของกฎระเบียบไร้มรณะ
Posted by ? Views, Released on September 21, 2021
, Battling Records of the Chosen One
Type: Web Novel Author: Xiao Jinyu, 萧瑾瑜
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…
In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history.
In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing.
Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned.
Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?
Recommended Series
Comment
Facebook Comment