การต่อสู้ปะทุขึ้นบนสนามประลอง
ไม่ว่าจะเป็นมารกระบี่เยี่ยเฉินหรือดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียน ต่างรู้ถึงความน่ากลัวของคู่ต่อสู้เป็นอย่างดี จึงไม่หยั่งเชิงหรือออมมือ ล้วนโจมตีเต็มกำลัง
ชิ้ง!
กระบี่โบราณสีม่วงเล่มหนึ่งส่งเสียงกังวานทะลุเมฆา เยี่ยเฉินเหยียบย่างเข้าไปในห้วงอากาศ ควบคุมกระบี่เคลื่อนไหว อานุภาพทั้งร่างดุจภูเขาไฟที่กำลังปะทุ คล้ายจะแผดเผาใต้หล้าให้วอดวาย
กระบี่นามว่า ‘ไม่พันผูก’ เต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณ ไอมงคลพวยพุ่ง เป็นยอดศาสตรามรรคราชัน
ไม่พันผูก มีนัยว่าไม่ผูกติดกับกฎระเบียบใดๆ ทำได้ดังใจนึก ฟาดฟันเครื่องกีดขวางให้แตกหัก
กระบี่นี้เหมือนดั่งวิถีกระบี่ที่เยี่ยเฉินแสวงหา… ดังใจนึก
เมื่อกระบี่อยู่ในมือ เยี่ยเฉินราวราชันวิถีกระบี่องค์หนึ่งมาเยือน ปราณกระบี่สีม่วงแผ่พุ่งออกมา เบื้องบนฟันนภาคราม เบื้องล่างฟันเก้าขุมนรก มีอานุภาพไร้เทียบเทียม
เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นทุกคนก็หน้าเปลี่ยนสี ดวงตาและจิตวิญญาณต่างมีความรู้สึกเสียดแทงเหมือนถูกเชือดเฉือน เจตกระบี่สีม่วงนั่นไพศาลโชติช่วงเกินไปแล้ว!
ทว่าเซี่ยวชางเทียนก็ไม่น้อยหน้า
กลิ่นอายของเขาประหนึ่งดวงอาทิตย์หนึ่งเดียวสาดแสงเหนือเวิ้งฟ้า เผยคมดาบจนหมดสิ้น รังสีแผ่ไปหมื่นจั้ง ท่วงท่าสง่าภาคภูมิ สำแดงท่าทีผงาดผยองออกมาจนหมดสิ้น
ดาบของเขาก็เหมือนตัวเขา แหลมคม เจิดจ้า ประหนึ่งม่านน้ำตกธารดาราสีขาวปลอดสุดสายตาสายหนึ่ง โจมตีห้วงอากาศ ม้วนตลบจักรวาล อหังการหาใดเทียบ
นามดาบ ‘ดุจหวนคืน’ นำความหมายมาจากมองความตายดั่งหวนคืน เพียงแค่ชื่อก็ชวนสะท้านจิตวิญญาณ ไม่แน่อาจเหมือนวิถีดาบนี้ อหังการถึงที่สุด ไม่มีความคิดหลบหนี!
เคร้งๆๆๆ!
เสียงปะทะน่าหวาดหวั่นดังขึ้น เหนือสนามประลองทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ราวกับราชันแห่งกระบี่กับนายเหนือหัวแห่งดาบพบกัน ชั่วครู่เดียวปราณดาบก็พาดขวาง ปราณกระบี่พุ่งทะลวงเมฆา สภาพการณ์สะท้านโลก
นี่ย่อมเป็นการประลองที่ตระการตาและมีสีสันที่สุดครั้งหนึ่งในกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ ดาบคำรามกระบี่กู่ก้อง คล้ายมังกรคำรามเหนือสี่สมุทร ปักษาเพลิงกู่ร้องทั่วแปดทิศ!
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
ในที่นั้นผู้ชมนับไม่ถ้วนสูดหายใจเย็น ดวงตาเบิกกว้าง จดจ้องสนามประลองนิ่ง จิตวิญญาณล้วนถูกดึงดูด ลืมสิ้นทุกสิ่งพร้อมกับที่การต่อสู้ดำเนินไป
แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสยังตื่นตาเป็นที่ยิ่ง เพียงครู่เดียวก็ทอดถอนใจ ครุ่นคิดถึงสมัยพวกเขายังเยาว์ ต่างเทียบทั้งสองคนตรงหน้านี้ไม่ติด!
“แดนดาราอุดรถึงกับมีอัจฉริยะสองคนเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น คล้ายดาวฤกษ์คู่ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ในสงครามมหายุคหลังจากนี้ก็ต้องมีตำแหน่งแห่งที่ของพวกเขาทั้งสอง”
มีคนทอดถอนใจ ก่อให้เกิดเสียงตอบรับมากมาย
‘กระบี่ของเยี่ยเฉินดุจราชันมาเยือน มีอานุภาพผงาดกร้าวเหนือภูผาธารา เป็นราชันปกครองใต้หล้า แต่ไม่ถูกกระบวนท่ากระบี่พันธนาการ เคลื่อนไหวได้ดังใจนึก วิถีกระบี่เช่นนี้ช่างยอดเยี่ยม’
หลินสวินใคร่ครวญในใจ จิตใจของเขาก็ถูกดึงดูดเช่นกัน
การต่อสู้นี้เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์แรงกล้าสองดวงช่วงชิงความเป็นหนึ่ง ทำให้เขาก็รู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน พลังขับเคลื่อนแผ่ขยาย มุ่งหมายจะเข้าไปต่อสู้
‘ดาบของเซี่ยวชางเทียนมีอานุภาพอหังการยิ่งยง โอหังราวอัคคี ดุจดั่งเจ้าเหนือหัวกวาดล้างโลกา หากไม่มีพลังสภาวะจิตแกร่งกล้า ยังไม่ทันต่อสู้ก็คงถูกพลานุภาพของเขาทำให้หวาดหวั่น’
ดวงตาดำของหลินสวินมีประกายครุ่นคิดผุดขึ้นมา แม้ใจจะจดจ่อต่อรายละเอียดของการต่อสู้อยู่ ในสมองกลับสันนิษฐานอย่างว่องไวว่าหากเปลี่ยนเป็นตัวเองประลองกับทั้งสอง ควรจะทำอย่างไรดี
คิ้วของเขาค่อยๆ ขมวดแน่นขึ้น
ไม่อาจะเทียบได้!
เพราะพลังยุทธ์ของสองคนนี้ เพียงอาศัยการวิเคราะห์ยากจะตัดสินตื้นลึกหนาบาง ถึงขั้นบริสุทธิ์สมบูรณ์แบบ เก็บปล่อยได้ดังใจ
คิดจะเอาชนะพวกเขา มีเพียงไปสู้ด้วยตัวเองสักยกเท่านั้น!
เพียงอาศัยการสันนิษฐานและเปรียบเทียบย่อมไม่มีทางได้คำตอบที่ถูกต้อง
คิดถึงตรงนี้หลินสวินก็สูดหายใจลึก สลัดความคิดฟุ้งซ่านในสมองทิ้งไป พร้อมกันนั้นจิตวิญญาณก็แปรเปลี่ยนเป็นผ่องแผ้วว่างเปล่า จิตใจราบเรียบดั่งบ่อน้ำโบราณ ประหนึ่งจันทร์เพ็ญสมุทรคราม โปร่งใสไร้ฝุ่นควัน
ยามดูการประลองบนสนามประลองอีกครั้ง สภาวะจิตของหลินสวินก็สงบนิ่งเหนือธรรมดา ราบเรียบไม่ไหวติง
แม้เซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉินจะแข็งแกร่งจนสามารถทำให้ทั้งโลกจับตามอง แต่… ยังไม่อาจส่งผลต่อจิตใจเขาได้!
สามร้อยกระบวนท่า
หกร้อยกระบวนท่า
เก้าร้อยกระบวนท่า
……
บนสนามประลอง สถานการณ์การต่อสู้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ประหัตประหารจนมืดฟ้ามัวดิน แยกแยะได้ยาก มีแต่เสียงกระทบกันของดาบกระบี่ฟาดฟันไปทั่ว
ดุจอสนีบาตฟาดลงกลางฟ้าคราม เหมือนเสียงกลองเทพสะเทือนลั่นสิบทิศ
เสียงมรรค รัศมีเทพ ปรากฏการณ์ประหลาด… ภาพน่าตื่นตาทั้งมวลปรากฏขึ้น ขับเน้นจนทั้งสองเหมือนเทพเทวากำลังห้ำหั่นกัน สำแดงการต่อสู้ไร้เทียมทาน
นี่เป็นการประลองที่สมน้ำสมเนื้อครั้งหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าใครหมายจะกำชัยก็ดูยากลำบากเป็นพิเศษ!
ในที่นั้นเงียบเชียบไร้เสียงอยู่ก่อนแล้ว ทุกสายตาต่างถูกดึงดูด
พวกที่พลังอ่อนแอหน่อยบางคน เพราะจิตใจผันผวนปรวนแปรมากเกินไป ได้รับการรบกวนจากการประลองครั้งนี้ ถึงกับอดไม่ได้กระอักเลือดออกมา พลังขับเคลื่อนแทบถูกสะท้อนกลับ
ทั้งยังมีผู้ฝึกปราณที่หยั่งรู้โดยพลัน ตักตวงเก็บเกี่ยวได้ไม่น้อย หยั่งถึงมรรคได้ ยินดีปรีดาเหมือนเสียสติระหว่างที่ดูการต่อสู้
การประลองครั้งหนึ่งกลับทำให้เรื่องมากมายเช่นนี้เกิดขึ้นนอกสนาม นี่ย่อมดูน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
ยิ่งเห็นได้ว่าการประลองยกนี้สะท้านโลกและเหนือธรรมดาปานไหน!
หากอยู่ในโลกภายนอก ต้องก่อให้เกิดความสะเทือนเลือนลั่นครั้งใหญ่ในสี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณแน่
จนกระทั่งการต่อสู้ดำเนินไปถึงหนึ่งพันกว่ากระบวนท่า เซี่ยวชางเทียนกับเยี่ยเฉินก็หายใจหอบบ้างแล้ว อีกทั้งร่างกายต่างได้รับบาดเจ็บ
แต่จิตต่อสู้ของทั้งสองน่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อประจัญบานกันขึ้นมาไม่มีเค้าลางอ่อนแรง กลับยิ่งดุดันและแกร่งกล้า
แต่ที่เหนือความคาดหมายคือ ไม่ทันรอให้ทั้งสองตัดสินแพ้ชนะ ข้ารับใช้วิญญาณที่ยืนอยู่นอกสนามพลันส่งเสียงขัดการประลองครั้งนี้
“หยุดมือเถิด สู้กันต่อไปก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้บาดเจ็บกันทั้งคู่”
เมื่อข้ารับใช้วิญญาณพูดออกมาก็มีผลทันที เสียงพูดเพิ่งเงียบลง เซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉินที่อยู่ในสนามประลองก็ถูกแยกออกจากกัน เคลื่อนที่ออกไปจากสนาม กลับสู่ยอดเขาของแต่ละคน
นี่ทำให้ทุกคนงุนงง ยังทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ
กำลังประลองอยู่ดีๆ กลับถูกขัดเข้าอย่างจัง นี่จะทำให้คนไม่หนำใจเกินไปแล้ว
แม้ผู้ฝึกปราณบางคนไม่พอใจอยู่ในใจ ทว่ายามเผชิญหน้ากับข้ารับใช้วิญญาณที่ประหนึ่งทวยเทพผู้นั้น กลับกล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูด
หลินสวินกลับลอบพยักหน้า เขาก็ดูออกว่าแม้ต่อสู้ต่อไปอีก ทั้งสองก็ย่อมไม่รู้แพ้ชนะ เพราะพลังต่อสู้ของทั้งสองคนแทบจะอยู่ในระดับเดียวกัน แม้มีความแตกต่าง แต่ก็เป็นความแตกต่างเพียงน้อยนิดถึงที่สุด ไม่อาจส่งผลต่อการแพ้ชนะได้เลย
‘หาได้ยากนัก สองคนนี้ต้องให้ความสำคัญ ไม่อาจละเลยได้’
ที่ตีนเขา เยี่ยนจั่นชิวก็ทอดถอนใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ คนรุ่นเยาว์รุ่นนี้ผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็วเกินไปแล้ว เขารู้สึกได้ถึงความกดดันที่จะถูกไล่ทันจากทั้งเซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉิน
“เซี่ยวชางเทียน อย่างไรนี่ก็เป็นเพียงการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ ไม่อาจสู้กันอย่างสาแก่ใจได้อยู่ดี ถ้ามีความกล้า รอหลังจากออกไปพวกเราไปตัดสินแพ้ชนะอีกที่หนึ่งเป็นอย่างไร”
ที่ยอดเขา เยี่ยเฉินกล่าวเสียงกังวาน ดังก้องไปถึงชั้นเมฆา
“ได้สิ กลัวแต่ถึงเวลาเจ้าจะไม่กล้ามาตามนัด” เซี่ยวชางเทียนหัวเราะเสียงดัง เหิมเกริมและจองหอง
เยี่ยเฉินเลิกคิ้ว จากนั้นก็ยิ้มหยัน “อ้อ? ยามข้ากำราบเจ้า หวังว่าเจ้ายังกำเริบเสิบสานเช่นนี้ได้!”
ทั้งสองคนเหมือนศัตรูเก่าแห่งโชคชะตาคู่หนึ่ง ช่วงชิงแก่งแย่งตาต่อตาฟันต่อฟัน ไม่มีใครยอมใคร พาให้ทุกคนตกตะลึงและทอดถอนใจ
ซ่า!
ข้ารับใช้วิญญาณสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ฝนวิญญาณเทพงดงามเพริศแพร้วสองสายก็เทลงมาจากฟากฟ้า อาบชโลมพวกเซี่ยวชางเทียนไว้ภายใน
นี่เป็นการปฏิบัติที่มีเพียงยอดมกุฎรุ่นเยาว์ที่แข่งขันช่วงชิงสี่อันดับแรกเท่านั้นถึงได้รับ เพื่อไม่ให้กระทบกับการประลองต่อๆ ไป
……
ยกที่สอง ถึงตาหลินสวินออกโรงแล้ว
ส่วนคู่ต่อสู้ของเขาก็คือ กระบี่พรหมราชจินมู่อวิ๋น ซึ่งเป็นผู้นำสิบสามกระบี่แห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้า!
เมื่อได้เห็นว่าสองคนนี้จะประลองกัน ผู้ชมที่อยู่นอกสนามต่างส่งเสียงครึกโครมขึ้นมา
“เทพมารหลิน ก่อนหน้านี้เจ้าเคยคุยโวไว้ว่าจะเอาชนะจินมู่อวิ๋นให้ได้ภายในสามกระบวนท่า เจ้าอย่าคืนคำเด็ดขาดเชียว!”
มีคนร้องตะโกน รอดูเรื่องสนุกพลางพูดสุมไฟ
“ใช่ เจ้าพูดแล้วว่าถ้าสามกระบวนท่ายังไม่ชนะก็ถือว่าเจ้าแพ้ ข้าจะรอดูเสียหน่อยว่าเทพมารหลินเช่นเจ้าเอาความกล้าที่ไหนมาคุยโตเช่นนี้”
ในลานมีเสียงตะโกนไม่ขาดสาย ต่างกลัวเพียงใต้หล้าไม่โกลาหล รอดูหลินสวินเป็นตัวตลก
อย่างไรเสียเมื่อกี้ได้เห็นการประชันพลังระหว่างยอดคู่ดาบกระบี่ ขนาดบุคคลขอบเขตมกุฎสองคนนี้ยังห้ำหั่นกันจนชี้ขาดแพ้ชนะได้ยาก จินมู่อวิ๋นที่มีคุณสมบัติเข้าชิงสี่อันดับแรกเช่นเดียวกันจะถูกเอาชนะในสามกระบวนท่าได้อย่างไร
“เด็กคนนี้ นี่ก็เหมือนยกก้อนหินกระแทกใส่เท้าตัวเอง”
สีหน้าผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสต่างแปรเปลี่ยนเป็นพิกลขึ้นมา
อาหลู่ตะโกนเสียงดังดั่งอสนีบาตว่า “อย่าไปฟังพวกนกกามันร้อง เจ้าก็ล้มเขาในสามกระบวนท่าซะ! จะได้ตบปากนกกาพวกนี้!”
จ้าวจิ่งเซวียนแทบจะกลอกตาอย่างอดไม่อยู่ คนป่าเถื่อนผู้นี้พูดง่ายเกินไปแล้ว นี่ตั้งใจจะทิ่มแทงหลินสวินหรือ
ทว่าอาหลู่ก็นับว่าพูดสิ่งที่อยู่ในใจของจ้าวจิ่งเซวียนออกมา เมื่อได้ยินเสียงที่พากันมองข้ามหลินสวินเหล่านี้ ในใจนางก็ไม่สบอารมณ์นัก อยากให้หลินสวินเอาชนะจินมู่อวิ๋นซะ ตบหน้าพวกชอบชมดูความครึกครื้นพวกนั้น!
หลินสวินคล้ายไม่สะทกสะท้านกับเสียงหัวเราะ เสียงตะโกน และเสียงเสียดสีเหล่านี้ เพียงทะยานเข้ามาในสนามประลอง สีหน้าเรียบเฉย
ในขณะเดียวกันจินมู่อวิ๋นก็มาแล้ว เพียงแต่สีหน้ากลับดูเย็นชาผิดธรรมดา ดวงตาราวกระบี่จับจ้องมาที่หลินสวินแล้วพูดว่า “รู้สึกเสียใจหรือไม่”
ถูกหลินสวินท้าทายด้วยสามกระบวนท่า เดิมก็เป็นการดูถูกเหยียดหยามเขาอย่างหนึ่งอยู่แล้ว และตอนนี้ถูกผู้อื่นพูดถึงเช่นนี้ แม้มีความรู้สึกอยากเห็นหลินสวินเป็นตัวตลก แต่กลับทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาเช่นกัน
“ทำไมต้องเสียใจเล่า” หลินสวินถาม
“หึ! โง่งมไม่รู้เรื่องรู้ราว หากเจ้าเอาชนะข้าได้ในสามกระบวนท่า ข้ารับรองได้เลยว่าภายภาคหน้าขอเพียงเป็นที่ที่เจ้าหลินสวินปรากฏตัว ข้าจะอยู่ให้ห่างอย่างยิ่ง”
จินมู่อวิ๋นแววตาดุดัน วาจาข่มขู่ “แต่หากเจ้าทำไม่ได้ ไม่เพียงต้องยอมแพ้ ยังต้องขอโทษข้าด้วย เพื่อชดใช้ให้กับวาจาจาบจ้วงของเจ้า!”
“ได้!” หลินสวินตอบโดยไม่คิด สบายยิ่งนัก
ท่าทีสบายๆ เช่นนี้กลับถูกจินมู่อวิ๋นมองว่าเป็นความจองหองอย่างหนึ่ง ทำให้เขาลอบกัดฟัน เจ้าหมอนี่ใจกล้าจนถึงขั้นไม่รู้ที่เป็นที่ตาย!
ชิ้ง!
กระบี่วิญญาณสีแดงเพลิงลุกโชน อานุภาพน่าหวาดหวั่นแผ่กระจายเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น ถูกจินมู่อวิ๋นจับกุมไว้ในมือ
กระบี่พรหมราช!
หนึ่งในสมบัติโบราณสำนักกระบี่เทียมฟ้า หนึ่งในยอดศาสตรามรรคราชันอันลือชื่อแห่งแดนชัยบูรพา
เมื่อกระบี่อยู่ในมือ พลังรอบตัวของจินมู่อวิ๋นก็เปลี่ยนไปเพราะกระบี่นี้ ประหนึ่งกระบี่สมบัติไร้เทียมทานที่ปิดผนึกอยู่ใต้ธุลีออกจากฝักในเวลานี้ คมดาบเหนือโลกา พุ่งทะลุเมฆา สั่นคลอนชั้นเมฆให้แหลกสลาย!
“เข้ามา ให้ข้าเห็นท่าไม้ตายที่แท้จริงของเทพมารหลินเสียหน่อย!”
จินมู่อวิ๋นวาจาแน่วแน่เด็ดเดี่ยว เจตกระบี่น่าหวาดหวั่นวาบผ่านในดวงตา
เขาแต่งการด้วยชุดหยกทั้งตัว ผมสีดำปลิวไสว ดุจดั่งเซียนกระบี่ที่ดุดันหาใดเทียบองค์หนึ่งมาเยือนโลก ท่วงท่าสง่างามตระการตา
ทุกคนในที่นั้นตาเป็นประกาย นี่ก็คือจินมู่อวิ๋น ให้เวลาเขาได้เติบโตอีกหน่อย เป็นไปได้สูงมากที่เขาจะกลายเป็นอวิ๋นชิ่งไป๋คนที่สอง ไร้ผู้ต้านทานใต้ระดับราชัน!
เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ชั้นนี้ เทพมารหลินกลับคุยโวว่าจะเอาชนะได้ในสามกระบวนท่า ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกว่าน่าขันอย่างไม่ต้องสงสัย
นี่ เป็นไปได้หรือ
——
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1067 กระบี่ไม่พันผูกกับดาบดุจหวนคืน
Posted by ? Views, Released on September 22, 2021
, Battling Records of the Chosen One
Type: Web Novel Author: Xiao Jinyu, 萧瑾瑜
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…
In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history.
In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing.
Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned.
Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?
Recommended Series
Comment
Facebook Comment