Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1094 มองเหล่าอริยะดั่งเดรัจฉาน

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่แสงรัศมีศักดิ์สิทธิ์สายแล้วสายเล่าโปรยลงจากเวิ้งนภา พร่างพรมในห้วงอากาศ ส่องสว่างทั่วฟ้าดิน!
พริบตานี้ทุกคนบนชายฝั่งทะเลล้วนหน้าเปลี่ยนสี รับรู้ได้ถึงแรงกดดันอย่างอธิบายไม่ถูก
อริยะทั้งหกอย่างฟางหลิงซู่ เต้าคุน เมี่ยวหวา เซวี่ยถู อวี่หมิง และฝูหยาล้วนเปลือกตากระตุกอย่างแรง นัยน์ตาหรี่ลงน้อยๆ
ในฐานะบุคคลระดับอริยะ พวกเขาย่อมตระหนักได้ในทันทีว่ามีเหตุผิดประหลาดเกิดขึ้น!
ในหมู่ผู้แข็งแกร่งที่ชมการต่อสู้ในมุมมืดก็ไม่ขาดแคลนอริยบุคคล เวลานี้ล้วนจิตใจไหวสั่น นัยน์ตาประจุสายฟ้า พากันมองไปทางทะเลหมากดารา
ฟ้าดินคล้ายเงียบงันในชั่วขณะนี้
“เป็นผู้ใดกำลังเล่นอุตริอยู่ที่นี่” ฟางหลิงซู่ตะโกนลั่น ไอสังหารแผ่พุ่งออกจากหว่างคิ้ว
“ฮ่าๆ สหายคนใดคิดยื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้ เห็นพวกเราหกคนไม่มีตัวตนหรือ หรือว่าจะทำเพื่อศุภโชคในมือเจ้าเด็กนั่น จนคิดจะตั้งตนเป็นศัตรูกับพวกข้าทั้งหมด”
พวกเต้าคุน เมี่ยวหวาล้วนสีหน้าเย็นชาขึ้นมา ยังเข้าใจว่ามีอริยะจากสำนักโบราณอื่นๆ เข้ามาก่อกวนเรื่องนี้ นี่พาให้พวกเขาล้วนหัวเสีย
กลางห้วงนภา รัศมีแสงศักดิ์สิทธิ์สายแล้วสายเล่าประหนึ่งโซ่ตรวนวิเศษร้อยรัดเป็นลำดับ ใสกระจ่างสว่างไสว เจิดจรัสและงดงาม รวมตัวกันกลางห้วงอากาศไม่ขาดสาย
บรรยากาศกลางฟ้าดินแถบนี้ก็ยิ่งบีบคั้นมากขึ้นทุกที พาให้ผู้คนหายใจไม่ทั่วท้อง
“เฮอะ! ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร วันนี้ผู้ใดกล้าขวางข้า ข้าจะฆ่ามันผู้นั้นเสีย!”
เซวี่ยถูส่งเสียงอึมครึม ในฐานะบุคคลระดับอริยะ ต่างย่างเท้าสู่ปลายยอดของโลก เย้ยหยันฟ้าดิน ทำทุกสิ่งตามต้องการ เมื่อบังเกิดไอสังหารในใจ แทบไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้
ยามเอ่ยวาจาเขายื่นมือออกไปเป็นกรงเล็บ พายุสีเลือดน่าสะพรึงสายหนึ่งปรากฏกลางอากาศ ปลดปล่อยกระแสเสียงเทพร้องครวญผีโหยไห้ออกมา พุ่งแผ่ครอบไปทางหลินสวินประหนึ่งประตูบานใหญ่ที่ทะลุสู่อเวจี
ฉัวะ!
เวลานี้เอง รุ้งวิเศษใสกระจ่างที่ร้อยเรียงเป็นลำดับปานโซ่ตรวนสายหนึ่งพุ่งปราดออกมา
เร็วเกินไปแล้ว!
ชั่วพริบตาก็ตัดผ่านพายุสีเลือดนั้นไป จากนั้นพลันแหวกทะลวงห้วงอากาศมาถึงเบื้องหน้าอริยะเซวี่ยถู!
เซวี่ยถูคำรามสนั่น ยามอ้าปากเกลียวคลื่นสีเลือดรวมตัวกัน เปี่ยมด้วยพลังอริยมรรค สำแดงวิชาลับคลื่นเสียงอย่างหนึ่งที่สามารถบดห้วงอากาศเป็นผุยผง ทำลายฟ้าดินเป็นชิ้นๆ
แต่ว่านี่แทบไม่มีประโยชน์สักนิด รุ้งวิเศษนั้นโฉบเข้ามา ทะลวงผ่านเกลียวคลื่นสีเลือด จากนั้นก็โถมใส่ร่างอริยะเซวี่ยถู
ปึง!
ท่ามกลางเสียงกึกก้องน่าสะพรึง อริยะเซวี่ยถูกระเด็นลอยออกไป กระแทกใส่ภูเขาที่อยู่ห่างออกไปอย่างจัง หินผาหิมะน้ำแข็งทรุดครืนไม่รู้เท่าไร
ทุกคนล้วนนิ่งอึ้ง ตามองยังบริเวณไกลโพ้น ที่ตรงนั้นฝุ่นควันตลบทะยานฟ้า พร้อมๆ กับมีเสียงร้องโหยหวนของอริยะเซวี่ยถู
ภาพนี้สะท้านใจทุกผู้คน!
ยอดเขาถูกกระแทกหักพัง อริยะคนหนึ่งเชียวนะ ถึงกับถูกหนึ่งการโจมตีซัดจนกระเด็นออกไปกระแทกยอดเขา ทำให้พื้นดินแหวกออก ห้วงอากาศพังทลาย
นี่มันน่ากลัวเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย!
“นี่…”
เสียงสูดหายใจเฮือกดังก้องกลางลาน
“เมื่อครู่ข้าเห็นอะไรไปหรือ อริยะผู้สูงส่ง เพียงพอจะเย้ยหยันโลกหล้าคนหนึ่งถูกซัดปลิวหรือ”
บางคนยังคงไม่เชื่อ สมองมึนงงน้อยๆ
ผู้แข็งแกร่งที่ชมการต่อสู้ในมุมมืดปากคอแห้งผาก รู้สึกน่าเหลือเชื่อ ภาพเช่นนี้สั่นสะเทือนจิตใจผู้คนเสียจริงๆ
ส่วนลึกของทะเลหมากดารา หลินสวินยืนร่างโชกเลือด ผมยาวสีดำ นัยน์ตาดำเย็นเยียบ แต่กลับไม่รู้สึกว่าเหนือคาด เยือกเย็นยิ่งนัก
ตูม!
บนร่างพวกฟางหลิงซู่ต่างปรากฏพลังอริยมรรคน่าสะพรึงขึ้นมา สะท้านสะเทือนฟ้าดิน
ภาพก่อนหน้านี้ทำให้พวกเขาใจสะท้านเช่นกัน ตระหนักได้ว่าเป็นไปได้อย่างยิ่งที่คู่ต่อสู้กร้าวแกร่งถึงขีดสุดคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา ทำให้พวกเขาไม่กล้าโอ้เอ้อีกต่อไป
“ขอบังอาจถามว่าสหายยุทธ์จากที่ไหนให้เกียรติมาเยือน”
ฟางหลิงซู่เปล่งวาจา ดังกระหึ่มก้องฟ้าดิน เจตกระบี่ไร้เทียบเทียมสายหนึ่งพุ่งออกจากตัวเขา เขย่าขวัญผู้คน สั่นคลอนนภสินธุ์
เมื่อครู่ตอนที่จัดการหลินสวิน พวกเขาไม่เคยใช้พลังแท้จริงสักครั้ง กังวลว่าจะพลั้งมือฆ่าหลินสวินตายจนสูญเสียวาสนาไป
แต่ยามนี้ ตอนที่ตระหนักได้ว่าศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่งโผล่มา พวกเขาต่างหนาวสะท้าน เริ่มเปิดเผยพลานุภาพระดับอริยะอย่างแท้จริงออกมา
“สนไปไยว่าเขาเป็นใคร ข้าจะให้เขาตาย!”
โครมครืน! กลางยอดเขาไกลออกไป เงาร่างมหึมาสายหนึ่งลุกขึ้นยืน แหวกยอดเขาที่กดทับบนตัวออกยืนตระหง่าน นัยน์ตาดุจดั่งจันทราสีเลือดแดงฉานสองดวง น่าสะพรึงไร้ใดเปรียบ
เป็นอริยะเซวี่ยถูที่ถูกซัดกระเด็นก่อนหน้านี้!
เพียงแต่เวลานี้เขาต่างไปจากเดิมลิบลับ เจือไอสังหารระฟ้า สาวเท้าก้าวออกมา สะเทือนจนฟ้าดินแถบนี้สั่นคลอนรุนแรง ห้วงอากาศพังทลายทรุดครืนทีละชุ่น
ผู้แข็งแกร่งที่ชมการต่อสู้ในมุมมืดต่างใจสะท้าน พากันถอยกรูด ภายใต้แรงกดดันของพลานุภาพอริยะอันน่าสะพรึงระดับนี้ พวกที่ความแข็งแกร่งไม่เข้าขั้นส่วนหนึ่งล้วนสั่นเทิ้มทั้งร่าง แทบจะคุกเข่าลงกับพื้น
นี่คือความกริ่งเกรงอย่างหนึ่ง ไม่อาจควบคุม เกิดจากสัญชาตญาณทั้งสิ้น!
พลานุภาพแห่งอริยะสั่นคลอนสุริยันจันทราภูผาธารา ยามผู้ฝึกปราณที่อยู่ต่ำกว่าระดับอริยะพบเจอ แทบจะไร้หนทางต้านทานได้ ล้วนถูกอานุภาพเขย่าขวัญกดดันข่มจิตใจโดยสิ้นเชิง
เพียงแต่อริยะที่สูงส่งทรงสง่าเช่นนี้ เมื่อครู่กลับถูกคนซัดปลิวด้วยการโจมตีเดียว เมื่อลองคิดดูก็พาให้ผู้คนยากจะเชื่อ
“ถ้ากล้าก็โผล่หน้ามาสู้กันสักตั้ง!”
อริยะเซวี่ยถูเดือดดาล น้ำเสียงของเขาสะท้านทั่วทิศ บนฟ้าประหนึ่งมีอสนีเดือดพล่านสนั่นหวั่นไหว บดชั้นเมฆแตกกระจุย
“อ๊าก!” คนส่วนหนึ่งร้องลั่น อุดหูครูดกายลงกับพื้น ยิ่งมีบางส่วนถูกซัดสะเทือนจนเลือดออกเจ็ดทวาร เบื้องหน้าสายตาปรากฏดาวสีทอง
พลานุภาพอริยะระดับนี้น่าหวาดกลัวจริงๆ
“กาลเวลาไร้สิ้นสุดผ่านไป โลกใบนี้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ แค่อริยะเทียมกลุ่มหนึ่งเท่านั้น กลับกล้าไร้ขื่อไร้แปเช่นนี้ พาให้ข้ารู้สึกเหนือคาดเสียจริง”
กลางฟ้าดิน เสียงกระจ่างเย็นเยียบแผ่วเบาสายหนึ่งดังขึ้น
ก็เห็นรัศมีแสงร่วงจากฟ้า เงาร่างงดงามและพร่ามัวสายหนึ่งค่อยๆ ควบรวมกันที่กลางจุดตัดของรุ้งวิเศษ จวนจะปรากฏชัดเจนขึ้นมา
อริยะเทียม!
คนไม่น้อยในลานหนาวสั่นทั่วร่าง เป็นใครกันถึงกล้าเอ่ยคำพูดว่าพวกอริยะฟางหลิงซู่เป็นอริยะเทียมออกมา
และคำพูดของนาง กลับเหมือนพูดได้อย่างถูกต้องชอบธรรมถึงเพียงนี้!
“สามหาว! อริยมรรคดุจดั่งสวรรค์ มีหรือจะยอมให้เจ้าพูดส่งเดช”
ฟางหลิงซู่สีหน้าเยียบเย็น ห้วงอากาศแถบนี้ล้วนท้วมท้นด้วยพลานุภาพอริยะน่าสะพรึง ในรัศมีพันลี้หินผาระเบิดแหลก แผ่นดินแตกระแหง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนปรากฏร่องรอยของการดับสลาย
อริยะคนอื่นๆ ต่างก็สีหน้าไม่เป็นมิตร
พวกเขาเหยียบย่างระดับอริยะได้ ย่อมไม่ใช่พวกทั่วๆ ไป หลุดพ้นมรรคาอมตะ เหยียบย่างบนมรรคาอริยเทพตั้งนานแล้ว แต่กลิ่นอายที่ปรากฏในน้ำเสียงเมื่อครู่นั้นกลับเจือความดูเบาอยู่ด้วย!
“ยังมีจุดพลิกผันเกิดขึ้นจริงๆ หรือ เฒ่าสารเลว เจ้ารู้หรือไม่ว่าอริยะเทียมคืออะไร” ในมุมมืด อาหลู่อึ้งค้างเบิกตาโพลง
เสียงผัวะดังขึ้นหนึ่งครา ศีรษะเขาถูกตีอีกหนึ่งฝ่ามือ นักพรดเฒ่ามอมแมมผรุสวาท “เลิกพล่ามเสียที ชมดูเฉยๆ เถอะน่า!”
ยามเอ่ยวาจา ในใจเขาก็กระสับกระส่ายไม่แพ้กัน คล้ายตระหนักถึงอะไรบางอย่าง ทั้งยังคล้ายไม่อยากเชื่ออีกด้วย
ตูม!
กลางห้วงอากาศทะเลหมากดาราเกิดเสียงก้องกระหึ่มฉับพลัน ฝนทรงกลดแสงมงคลโปรยปรายลงมาสายแล้วสายเล่า คล้ายกำลังสักการะการเยือนโลกของเทพไท้เกรียงไกรสูงสุดผู้หนึ่ง เกิดเป็นปรากฏการณ์ประหลาดอันเจิดจ้า!
ท้ายที่สุดเงาร่างงดงามคลุมเครือสายนั้นก็หลอมรวมปรากฏขึ้นอย่างสมบูรณ์ ทั่วร่างปลดปล่อยกลิ่นอายเหนือธรรมดาปานอริยเทพ สาดทะยานเวิ้งนภา
นางยืนตามสบายอยู่ตรงนั้น แต่กลับมีอานุภาพเหยียดหยันเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน พาให้ปวงชีวิตทั่วโลกหล้าล้วนได้แต่ก้มหัวสวามิภักดิ์
นี่คือลักษณ์ประหลาดน่าสะพรึงที่สะท้านโลกอย่างไม่ต้องสงสัย!
อะไรที่เรียกว่ากำราบสรรพชีวิต หยัดยืนเหนือปวงสวรรค์
ก็นี่อย่างไรเล่า!
อริยะในลานต่างเป็นบุคคลที่พบเจอคลื่นลมยักใหญ่จนชินตา แต่ยามที่เห็นเงาร่างสายนี้ก็อดสั่นเทิ้มในใจไม่ได้ รับรู้ถึงแรงกดดันที่ยากจะพรรณนา
คนผู้นี้เป็นใคร
เหตุใดถึงไม่เคยเห็นมาก่อนในดินแดนรกร้างโบราณ
ไม่เพียงอริยะทั้งหกอย่างพวกฟางหลิงซู่ เวลานี้อริยะในมุมมืดเหล่านั้นล้วนสงสัยไม่ว่างเว้น กลิ่นอายระดับนั้นพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์และเหนือชั้นอย่างที่สุด พาให้พวกเขายังรับรู้ถึงแรงกดดันอันหนักอึ้งอย่างหนึ่ง
ตูม!
ฟ้าดินล้วนปั่นป่วน คล้ายสั่นระริกเพราะการปรากฏตัวของเงาร่างเฉิดฉายสายนั้น สิบทิศล้วนถูกบดขยี้!
“ลำบากผู้อาวุโสแล้ว” หลินสวินโค้งคารวะ ในใจก็สะท้านสะเทือนไม่แพ้กัน
ปีนั้น หญิงลึกลับคนนี้เคยให้โอกาสร้องขอความช่วยเหลือแก่เขาสามครั้ง นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว หากไม่ถูกบีบบังคับจนถึงขั้นอับจนหนทาง เขาย่อมไม่มีทางร้องขอความช่วยเหลือเด็ดขาด
“อาศัยพลังของตัวเองรับมือมาได้ถึงตอนนี้ เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจมากแล้ว ตอนนี้เจ้าก็ไปชมการต่อสู้อยู่ข้างๆ เถอะ”
หญิงลึกลับน้ำเสียงใสเย็น บนร่างของนางประหนึ่งรายล้อมด้วยสายโซ่ศักดิ์สิทธิ์ที่กระจ่างพร่างพราวสายแล้วสายเล่า มีละอองแสงเซียนพร่างพรม มีบรรยากาศรุ่งอรุณเจิดจ้า ประกายแสงนานัปการไหลเวียน เจิดจรัสไร้ขอบเขต พาให้ผู้คนมองรูปโฉมของนางไม่ถนัดตา
“เฮอะ! สหายยุทธ์ออกจะเหลิงไปหน่อยกระมัง เห็นพวกเราหกคนเป็นอะไรไปแล้ว”
น้ำเสียงฟางหลิงซู่หนักแน่น เจตกระบี่พลุ่งพล่านทั่วร่าง สะท้อนถึงความมหัศจรรย์แห่งหมื่นกระบี่ทะยานฟ้า
พร้อมกันนั้นเขาลอบสะดุ้งในใจ ได้ยินคำพูดของหญิงลึกลับนั่น ถึงกับมีความสัมพันธ์กับเจ้าเดรัจฉานน้อยหลินสวิน ไม่ได้มาเพื่อฉกชิงวาสนา สิ่งนี้อยู่เหนือความคาดหมายของผู้คนนัก!
“เห็นเป็นเดรัจฉานแล้วอย่างไร” ไกลออกไป เสียงหญิงสาวใสเย็นสบายๆ
ประโยคเดียวพาให้ทั่วลานฮือฮา มองอริยะหกคนเป็นเดรัจฉาน นี่… น่าตกใจเกินไปแล้ว!
พวกฟางหลิงซู่ต่างบันดาลโทสะ
ก่อนหน้านี้พวกเขาใกล้จะลงมือสำเร็จแล้ว กลับต้องพังไม่เป็นท่าเพราะการปรากฏตัวของหญิงผู้นี้ เดิมทีก็ทำให้พวกเขาฉุนเฉียวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และตอนนี้ยังถูกทำให้อับอายเช่นนี้ ใครยังจะทนไหวอยู่อีก!
“ลงมือเถอะ!”
เซวี่ยถูตวาด ดาบศึกในมือทะยานอากาศพาให้ฟ้าถล่มดินทลาย เทพร้องครวญผีโหยไห้ ผ่าฟันออกไปประหนึ่งเปิดประตูใหญ่สู่อเวจี
“พลานุภาพอริยะดุจดั่งสวรรค์ ไม่ยอมให้ล่วงเกิน สหายยุทธ์ เจ้าแตะโดนขีดความอดทนต่ำสุดแล้ว!”
และในเวลาเดียวกันอริยะอย่างพวกเมี่ยวหวา อวี่หมิง ฝูหยาต่างก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน
ชั่วขณะฟ้าดินแถบนี้มีรัศมีแสงอริยะตัดประสาน แสงมรรคพลุ่งพล่าน ภาพฉากผิดธรรมดาจนน่าตกใจ อริยะทั้งหกโจมตีออกไปพร้อมกัน ใช้พลังอริยมรรคแท้จริงออกมา หมายสยบหญิงลึกลับผู้นั้น
ภาพนี้น่าหวาดกลัวเกินไป!
ในหมู่ผู้แข็งแกร่งที่ชมการต่อสู่อยู่ในมุมมืด ก็มีเพียงบุคคลระดับอริยะเท่านั้นจึงจะสามารถทนรับอานุภาพกดดันที่แผ่ออกจากการต่อสู้ระดับนี้ได้ ส่วนคนอื่นๆ ล้วนปวดแสบดวงตา ไม่สามารถมองจ้องสังเกตได้อีก
พรึ่บ!
ในเวลานั้น บนทะเลหมากดาราหญิงลึกลับเยื้องย่างบนเกลียวคลื่นกลางความว่างเปล่า เริ่มลงมือแล้วเช่นกัน
รอบกายของนางผุดรุ้งวิเศษร้อยเรียงที่ทั้งแวววาวและพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ตัดสลับเข้าด้วยกัน โอบล้อมหมุนเวียน ประหนึ่งโลกหล้าผัดเปลี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า ภาพฉากน่าหวาดกลัวมากมายปรากฏเป็นระยะในนั้น ทั้งตะวันจมจันทราร่วง กาลเวลาผันเปลี่ยน ความว่างเปล่าโดยรอบแปรผัน…
ยิ่งแว่วเสียงธรรมศักดิ์สิทธิ์รางเลือน เสียงสักการะแห่งบรรพชนก้องกระหึ่มสั่นหวั่นไหว คล้ายกำลังค้อมศีรษะกราบไหว้
ปึง!
มือเรียวงามของนางกดลงแผ่วเบาคราหนึ่ง ปราณกระบี่ที่ผ่าฟันออกมาของฟางหลิงซู่แตกกระจายเป็นชุ่นๆ กลางห้วงอากาศ กลายเป็นละอองแสงสาดกระจายทันที
ในเวลาเดียวกันรุ้งวิเศษแวววาวสายหนึ่งพุ่งออกมา โอบรัดดาบศึกของอริยะเซวี่ยถูเอาไว้ เสียงดังเคร้งดังขึ้นหนึ่งครา ก็ทำลายดาบศึกหักสะบั้น
อริยะเซวี่ยถูตะโกนลั่น ร่างส่ายโอนโดยพลัน ทรมานจนแทบกระอักเลือด
อีกด้านหนึ่ง ประทับฝ่ามือของอริยะเต้าคุนซัดใส่รุ้งวิเศษที่พุ่งเข้าหา
พรึ่บ!
ผลลัพธ์คือประทับฝ่ามือของเขาถูกเจาะทะลวงตรงๆ ท่อนแขนล้วนถูกเถือออก เลือดเนื้อแหลกระเบิดในทันที แขนขวาทั้งแขนถูกทำลายเพียงชั่วอึดใจ
ภาพนี้เขย่าขวัญทุกคน
ฮวบ!
เชือกสีทองจากมืออริยะเมี่ยวหวาคล้ายกับมังกรสีทองตัวใหญ่เลื้อยคดเคี้ยว พ่นกฎระเบียบอริยมรรคน่าสะพรึง อาศัยจังหวะนี้เข้าประชิดใกล้หญิงลึกลับ
กลับเห็นมือกระจ่างของหญิงลึกลับยื่นออกไป นิ้วมือหนีบเบาๆ ประหนึ่งหยิบบัวกลีบหนึ่งขึ้นมา ก็คว้าเชือกสีทองเอาไว้ได้อย่างแน่นหนา เหมือนตีจุดตายของงูเข้าอย่างจัง!
จากนั้นเชือกสีทองพลันแตกกระจุยเป็นชิ้นๆ ท่ามกลางเสียงระเบิดโครมคราม ละอองแสงทองย้อมห้วงอากาศแถบนั้นจนกลายเป็นสีทอง
ขับเน้นเงาร่างงดงามของหญิงลึกลับคนนั้นให้ประหนึ่งเทพไท้สูงสุด!
——

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset