Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1134 คนนอกรีตอย่างที่สุด

ตอนนี้ผู้ฝึกปราณที่เข้าสู่แดนมกุฎมีนับสิบล้านคน
แม้ต่างเป็นผู้ฝึกปราณที่มีระดับต่ำกว่าราชัน แต่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าชักช้าแต่อย่างใด เพราะจะมีบุคคลระดับราชันถือกำเนิดขึ้นได้ทุกเมื่อ!
ทุกคนล้วนรู้ ว่ามีเพียงเหล่าผู้กล้าขอบเขตมกุฎที่สามารถมุ่งหวังในขอบเขตมกุฎระดับราชัน
แต่ทำไมสำนักเก่าแก่เหล่านั้นถึงส่งผู้สืบทอดออกมามากมายปานนั้น
คาดเดาเหตุผลได้ง่ายนัก ในหมู่ผู้สืบทอดเหล่านี้บางทีอาจไม่มีทางเป็นขอบเขตมกุฎระดับราชัน แต่คุณสมบัติกลายเป็นราชันก็ยังมีอยู่!
คาดการณ์ได้ว่าผ่านไปไม่เท่าไร เป็นไปได้สูงมากที่จะมี ‘ราชันคนใหม่’ รุ่นเยาว์มากมายถือกำเนิดขึ้น จากนั้นก็จะอาศัยระดับที่เหนือกว่าบดขยี้คู่ต่อสู้!
เวลากระชั้นนัก!
แม้ว่าแดนมกุฎจะปิดฉากในอีกสิบปี แต่ใครก็ไม่อาจชักช้าได้ เพราะทุกเวลาเต็มไปด้วยวิกฤต การแข่งขันก็ย่อมโหดร้ายหาใดเทียบ
ที่หลินสวินเข้าสู่แดนมกุฎก็เพื่อกลายเป็นราชันเช่นกัน
ทว่าที่เขาไล่ตามคือระดับมกุฎราชัน ทั้งมรรคาที่เดินอยู่ก็ไม่เหมือนผู้อื่นในโลก หมายจะเป็นราชันย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายปานนั้น
ระดับสังสารวัฏก็คือระดับราชัน
สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว การขึ้นเป็นราชันก็เท่ากับหลุดพ้นระดับใหญ่ทั้งห้า ทำลายพันธนาการแห่งการเกิดดับ มีผลกระทบมากมายเหนืออดีต เกี่ยวโยงถึงความสำเร็จมากน้อยบนมรรคาอมตะในอนาคต
หลินสวินตัดสินใจไว้นานแล้วว่าจะไม่เดินบนเส้นทางของคนในอดีต ต้องการเหยียบย่างลงบนมหามรรคที่เป็นของตนเอง ช่วงชิงความเป็นหนึ่งกับอริยะทั้งในอดีตและปัจจุบัน
อีกทั้งตามที่หญิงลึกลับพูดไว้ ระดับราชันยังกำหนดเส้นทางสู่การกลายเป็นอริยะในภายภาคหน้าด้วย!
หากก้าวนี้ทำได้ไม่ดี ความสำเร็จในภายหน้าก็ย่อมมีจำกัด
ตอนนี้หลินสวินมาถึงแดนเผาเซียนแล้ว เรื่องที่ต้องทำก่อนก็คือไปรวมตัวกับเจ้าคางคกและอาหลู่ จากนั้นถึงเสาะหาศุภโชคเพื่อเตรียมหลอมมรรคกลายเป็นราชัน!
……
สวบ!
ภูผาธารากว้างใหญ่ แดงชาดราวเปลวเพลิง หลินสวินวิเคราะห์ทิศทางแล้วเริ่มเร่งเดินทาง
แดนเผาเซียนเป็นหนึ่งใน ‘สามพันแดน’ ของแดนมกุฎ เปรียบเสมือนโลกใบน้อยขนาดมหึมาไร้ขอบเขตใบหนึ่ง ตลอดทางหลินสวินได้พบผู้ฝึกปราณไม่น้อย ต่างเคลื่อนไหวอย่างรีบร้อน
เห็นได้ชัดว่ากำลังรีบทำเวลาหาศุภโชคและวาสนาทั้งนั้น
ไกลออกไปมีเสียงประจัญบานดุเดือดแว่วมาระลอกหนึ่ง ผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งกำลังห้ำหั่นกันจนภูผาธาราหม่นหมองหมอง ฟ้าดินสาดแสงไปทั่ว
พวกเขากำลังชิงบ่อน้ำหินเก่าแก่บ่อหนึ่ง บ่อน้ำหินนั้นมีแสงเพลิงเปล่งประกายพวยพุ่งออกมาเรื่อยๆ แสงเทพไพศาลไหลวน น่าตระหนกถึงที่สุด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเบื้องล่างของบ่อน้ำหินนั้นต้องมีศุภโชคซุกซ่อนไว้!
หลินสวินเหลือบมองครั้งหนึ่งก็หลบไปไกล เดินหน้าต่อไป
ตลอดทางนี้เขาได้พบการปะทะและห้ำหั่นทำนองนี้หลายครั้ง ที่ช่วงชิงกันย่อมเป็นโอสถวิญญาณ ของล้ำค่า วัตถุดิบเทพ และสมัติมหัศจรรย์บางประการ
สิ่งเหล่านี้ล้วนเรียกได้ว่าเป็นศุภโชค ถือเป็นวาสนาที่บังเอิญพบเจอได้แต่ไม่อาจร้องขอในโลกภายนอก
แต่ของเหล่านี้ไม่ได้ดึงดูดหลินสวินมากนัก มรรคาของเขาเดินไปจนสุดทางแล้ว ที่ต้องการก็คือมหาศุภโชคที่ใช้หลอมเพื่อเป็นระดับมกุฎราชันชิ้นหนึ่ง
เวลาสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สวบ!
เมื่อหลินสวินผ่านแม่น้ำที่มีสีแดงเพลิงหาใดเทียบสายหนึ่ง ปลาใหญ่ตัวหนึ่งพลันกระโจนขึ้นมาจากน้ำ อ้าปากจะกัดเขา
ปลาใหญ่ตัวนี้ยาวหลายจั้ง สีแดงเพลิงราวหยกทั้งตัว มีหัวเป็นมังกรหางเป็นปลา มีปีกเปลวเพลิงพิสดารงอกออกมาจากทั้งสองข้าง
ตู้ม!
มันแข็งแกร่งถึงที่สุด ยามกระโจนเข้ามาแสงเพลิงโหมกระพือเผาไหม้ห้วงอากาศ ในปากมหึมาที่อ้าออกฟันแหลมคมราวทวนซี่แล้วซี่เล่ามีประกายแสงโหดเหี้ยมน่ากลัวไหวเคลื่อน
ปึง!
ร่างกายหลินสวินพริบไหว หลบหนีอย่างง่ายดาย
ก็เห็นว่าภูเขาแคระเตี้ยลูกหนึ่งที่อยู่เบื้องหลัง ถูกแสงเพลิงที่อยู่บนตัวปลาประหลาดสีแดงเพลิงนี้หลอมละลายจนสิ้นในชั่วพริบตาเสียอย่างนั้น
ในขณะเดียวกันเรือนกายหลินสวินพริบไหวอีกคราพุ่งเข้าโจมตี พลังหมัดยิงพุ่ง ปรากฏการณ์ประหลาดสะท้านโลกที่สามารถสั่นคลอนฟ้าดินบังเกิดขึ้น
ปลาประหลาดสีแดงเพลิงไม่หลบไม่หนี สะบัดหางตั้งรับหมัดนี้ของหลินสวิน!
นี่ทำให้หลินสวินหน้าเปลี่ยนสี ควรรู้ว่าด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ต่อยออกไปสักหมัดก็เพียงพอจะสังหารบุคคลระดับยอดมกุฎรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งได้
ต่อให้เป็นยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎ ก็ไม่กล้าสู้กับหลินสวินซึ่งหน้าง่ายๆ
แต่ตอนนี้ปลาประหลาดสีแดงเพลิงตัวนี้กลับตั้งรับไว้ได้!
“น่าสนใจ เข้ามาอีก!”
หลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งกระโจนตัดห้วงอากาศ ทั้งร่างเปล่งแสงใสกระจ่าง ประหนึ่งเทพยาตราทัพ สำแดงนัยเร้นลับของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์
ไม่นานปลาประหลาดสีแดงเพลิงก็ตั้งกระบวนท่าไม่อยู่ ถูกพลังหมัดกำราบ เกล็ดปลาบนร่างเริ่มหลุดร่วงอย่างต่อเนื่อง
สวบ!
ฉับพลันนั้นปลาประหลาดสีแดงเพลิงสังเกตได้ว่าไม่สู้ดี เผ่นหนีไปโดยไม่ลังเล พุ่งไปที่แม่น้ำสีแดงเพลิงสายนั้นอย่างรวดเร็วหาใดเทียบ
หลินสวินตามประชิดโจมตี
ที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ เงาร่างของปลาประหลาดสีแดงเพลิงตัวนี้หดเล็กลงเหลือขนาดเท่าฝ่ามือในทันใด หลบหนีการสังหารของเขาอย่างตื่นกลัวเข้าไปในน้ำ
ซ่า!
ฟองคลื่นสีแดงเพลิงสาดกระเซ็น เมื่อหันไปดูปลาประหลาดสีแดงเพลิงตัวนั้นก็หายลับไปแล้ว
ปล่อยให้ปลาตัวหนึ่งหลุดมือไปได้ทำเอาหลินสวินออกจะเสียหน้า ขณะที่กำลังจะตามไป ความหวาดผวาสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในจิตใจ
เหมือนกับใต้แม่น้ำสีแดงเพลิงนั้นมีสิ่งที่น่าครั่นคร้ามยิ่งบางอย่างซ่อนอยู่!
หลินสวินหยุดเท้าทันที เงาร่างถอยหลัง ส่วนจิตรับรู้แผ่ขยายออกไปสำรวจด้านล่างของแม่น้ำสายนั้น
ชั่วพริบตาภาพการณ์พิสดารหาใดเทียบฉายขึ้นในสมอง
ในที่ที่ลึกลงไปพันจั้งของแม่น้ำ กลับมีประตูสำริดลี้ลับบานหนึ่ง ด้านบนสลักด้วยลายมรรคพร่างพร้อย ประกายแสงแปลกประหลาดไหวเคลื่อนอยู่
ส่วนด้านข้างประตูสำริดก็มีเสาหินเสาหนึ่งตั้งตระหง่าน บนเสาหินมีสายโซ่แดงเพลิงใหญ่หนาเปล่งปลั่งเส้นหนึ่งพันอยู่
ส่วนปลายอีกด้านของสายโซ่ผูกไว้กับรูปปั้นหินสัตว์ปีศาจตัวหนึ่ง
สัตว์ปีศาจนั้นรูปร่างเหมือนเจียวหลง ร่างหนาใหญ่ราวสันเขาปักหลักอยู่ก้นแม่น้ำ ดูเหมือนมีชีวิตจริงๆ
ทันทีที่จิตรับรู้ของหลินสวินสัมผัสถึงรูปปั้นหินสัตว์ปีศาจก็พลันหนาวเหน็บในใจ แข็งทื่อไปทั้งตัว รู้สึกถึงความกดดันและหวั่นกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก
ฮูม!
แทบจะในขณะเดียวกันรูปปั้นสัตว์ปีศาจนั้นเหมือนมีชีวิตขึ้นมา กลิ่นอายดุร้ายน่าครั่นคร้ามถาโถมแผ่กระจายออกมา ทำให้แม่น้ำสายนี้เดือดคลั่งขึ้นทันตา
ทว่ากลิ่นอายดุร้ายนี้ยังไม่แผ่ขยายออกมาก็ถูกโซ่สีเพลิงที่ผูกอยู่บนรูปปั้นหินนั้นกำราบไว้
สายโซ่เส้นนั้นส่องแสงเปล่งปลั่งเป็นประกาย ปรากฏเป็นสัญลักษณ์ลึกลับ กดข่มความดุร้ายของรูปปั้นหินสัตว์ปีศาจนี้ไว้มั่น
หลินสวินใจสะท้าน
ใต้แม่น้ำสายหนึ่งกลับมีประตูสำริดบานหนึ่งอยู่ และด้านหนึ่งของประตูมีรูปปั้นหินสัตว์ปีศาจตัวหนึ่งถูกพันธนาการไว้ด้วยสายโซ่
ภายในประตูสำริดบานนั้นซ่อนอะไรไว้
แล้วรูปปั้นหินสัตว์ปีศาจนั้นถูกกำราบไว้ที่นี่หรือไม่ กำลังเฝ้าประตูสำริดบานนี้อยู่หรือ
ครุ่นคิดครู่หนึ่งหลินสวินก็ตัดสินใจจากไปอย่างไม่ลังเล
ที่นี่อันตรายและพิสดารเกินไปแล้ว ไม่ใช่ที่ที่เขาในตอนนี้จะสำรวจได้เลย หากบุ่มบ่ามเข้าไป กลับมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันถึงแก่ชีวิต
‘คิดไม่ถึงว่าในแดนมกุฎแห่งนี้ยังมีสถานที่อันตรายเช่นนี้ด้วย บางทีเมื่อข้าเหยียบย่างเข้าสู่ระดับราชัน อาจจะเข้าไปสำรวจสักครั้งได้’
หลินสวินพอจะรู้สึกได้รางๆ ว่าเป็นไปได้สูงที่ภายในประตูสำริดบานนั้นจะซ่อนอะไรไว้!
ปักษาทมิฬตัวใหญ่ตัวหนึ่งเข้ามาใกล้อย่างลับๆ ล่อๆ กำกระทะใบหนึ่งไว้ในกรงเล็บ เข้ามาข้างหลังหลินสวินอย่างเงียบเชียบ กระทะเล็งเข้าที่ท้ายทอยของหลินสวินอย่างแม่นยำ จากนั้นก็ยกขึ้นโดยพลัน…
แต่ในตอนนี้เองหลินสวินก็หันกายฉับไว
ฟึ่บ!
กระทะที่ยกขึ้นมากลางอากาศถูกเก็บไปไว้ด้านหลังของปักษาทมิฬตัวใหญ่อย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นมันก็แหงนหน้าขึ้น ไอกระแอมครั้งหนึ่งแล้วพูดอย่างเนิบนาบว่า “ฮ่า พ่อหนุ่ม พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ”
หลินสวินจะยิ้มก็ไม่ใช่ไม่ยิ้มก็ไม่เชิง “ที่แท้ก็เป็นเจ้า ทำไมถึงชอบแบกกระทะไว้เหมือนเมื่อก่อนนะ”
ชอบแบกกระทะ…
ปักษาทมิฬงุนงงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะแหะๆ กวาดสายตามองไปรอบด้านแล้วพูดว่า “พ่อหนุ่ม ข้ายังมีธุระ ไปก่อนล่ะ”
เสียงพูดยังไม่ทันเงียบลง ปีกนกสีดำใหญ่สยายออกแล้วพุ่งเข้าไปในห้วงอากาศ เร็วอย่างน่าเหลือเชื่อประหนึ่งเคลื่อนย้ายมวลสารฉับไว
“ต้าเฮย อย่าเพิ่งไป!”
แทบจะในเวลาเดียวกันหลินสวินทะยานขึ้นไปบนฟ้า โคจรก้าวย่างชือน้ำแข็งถึงขีดสุด เงื้อมือซัดลูกหมัดกระแทกออกไปครั้งหนึ่ง
ปักษาทมิฬตัวนี้ไม่ธรรมดานัก!
ตอนนั้นในอารามโบราณหักพังที่อยู่ใต้วังน้ำวนแม่น้ำพรมแดน มันมีรูปร่างเหมือนหงส์ทมิฬ สองปีกดำขลับราวราตรีนิรันดร์ แสงธรรมแปลกประหลาดสายแล้วสายเล่าตลบอบอวล
มันเคยถูกมองว่าเป็นครรภ์พุทธะ เก็บตัวเงียบจำศีลอยู่ภายในซุ้มธรรมหลังหนึ่ง ภายหลังถูกมู่เจิ้งหนึ่งในสิบแปดศิษย์อารามกษิติครรภ์ใช้วิชาลับปลุกให้ฟื้นตื่นขึ้น
ตามที่มู่เจิ้งพูดไว้ ปักษาทมิฬใหญ่ตัวนี้ก็คือ ‘ครรภ์พุทธะ’ ที่ไม่เคยมีมาก่อนตัวหนึ่ง เป็นไปได้สูงที่จะเป็นสิ่งที่อริยะตู้จี้หลงเหลือไว้!
หลินสวินยังจำได้อย่างแจ่มชัดว่าตอนนั้นปักษาทมิฬใหญ่ถือกระทะ ทุบตีอย่างป่าเถื่อนเรียบง่ายไม่กี่ทีก็ทำให้บุคคลขอบเขตมกุฎแห่งอารามกษิติครรภ์อย่างมู่เจิ้งสลบเหมือด โหดร้ายถึงที่สุด
อีกทั้งเจ้าหมอนี่ยังเจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง สับปลับชั่วช้าหาใดเทียบ ชอบลอบโจมตีที่สุด เมื่อกี้หากเขาไม่สังเกตเห็นก่อน ก็เกือบถูกเจ้าหมอนี่ใช้กระทะทุบเข้าที่ท้ายทอยเสียแล้ว!
ตู้ม!
ไกลออกไปปักษาทมิฬตัวใหญ่สะบัดปีก เพลิงธรรมสีดำพิสดารลุกโชนขึ้นมา ทำให้พลังหมัดของหลินสวินที่อยู่กลางอากาศหลอมละลายไปสิ้น
“ข้าปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยคุณธรรม ปกติไม่ชอบลงมือ แต่หากเจ้ายังลงมืออีกก็อย่าโทษข้าที่ตบเจ้าก็แล้วกัน!”
ปักษาทมิฬตัวใหญ่น้ำเสียงกะล่อน
“ถ้าเจ้ารั้งอยู่ข้าก็ไม่ลงมือ”
หลินสวินยิ้มพูด
ยามสนทนาทั้งสองต่างไม่ได้หยุดมือ คนหนึ่งหนีคนหนึ่งไล่กวด ว่องไวอย่างประหลาดหาใดเทียบ แข่งขันกันเหนือห้วงอากาศ
“ให้ตายสิ ตอนนั้นเจ้าชิงศุภโชคที่ตาแก่ตู้จี้เหลือไว้ให้ไป ข้ายังไม่คิดบัญชีกับเจ้าก็บุญแล้ว เจ้ายังคิดจะทำอะไรอีก”
ปักษาทมิฬพูดอย่างหมดความอดทน
หลินสวินพูดอย่างจริงจังว่า “เพราะแบบนี้ล่ะ ข้าถึงคิดว่าพวกเราต้องคุยกันสักหน่อย ไม่แน่ข้าอาจจะเอาศุภโชคมาคืนเจ้าก็ได้”
ในมือเขายังมีไม้โพธิ์เหี่ยวแห้งท่อนหนึ่ง ในไม้โพธิ์ผนึกพลังสีทองที่น่ากริ่งเกรงสูงส่งถึงที่สุด
จากการสันนิษฐานของหลินสวิน ในอดีตปักษาทมิฬตัวนี้เก็บตัวเงียบเชียบในซุ้มธรรมหยกดำแห่งนั้นโดยตลอด ต้องรู้ความลับที่คนนอกไม่อาจล่วงรู้ได้บางอย่างแน่
“คืนให้ข้าหรือ”
ปักษาทมิฬนิ่งอึ้ง จากนั้นก็หัวเราะบ้าคลั่งขึ้นมาทันที “ศุภโชคนี้เกี่ยวโยงกับมรรคต้องห้าม ข้าไม่ต้องการเสียหน่อย เกิดภายหน้าม้วยไปแบบตาแก่ตู้จี้จะทำอย่างไร”
จากนั้นเขาก็เหมือนมีความสุขที่เห็นคนอื่นลำบากอยู่บ้าง พูดว่า “พ่อหนุ่ม ข้าขอเตือนให้เจ้าระวังหน่อยเถอะ สิบแปดศิษย์อารามกษิติครรภ์กับ ‘กู่ฝอจื่อ’ ที่เก็บตัวเงียบตั้งแต่ยุคบรรพกาลจนกระทั่งตอนนี้เพิ่งปรากฏตัวบนโลก ตอนนี้เข้ามาในแดนมกุฎแล้ว ส่วนเจ้าถูกไอ้โล้นพวกนี้มองว่าเป็น ‘คนนอกรีต’ อย่างที่สุด!”
เสียงพูดเงียบลง ปักษาทมิฬทะยานขึ้นฟ้าไปแล้ว รวดเร็วขึ้นอย่างมาก หายไปอย่างไร้ร่องรอยประหนึ่งเคลื่อนย้ายในพริบตา
หลินสวินหยุดเท้า รู้ว่าตามไม่ทันแล้ว
ผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์หรือ
คนนอกรีตชั้นเลิศหรือ
หลินสวินเลิกคิ้ว ในใจไม่ได้กริ่งเกรง เพียงแต่ออกจะกังขาว่าคำพูดของปักษาทมิฬตัวนี้หมายความว่าอย่างไร
เป็นเพราะตนได้ ‘คัมภีร์มหาครรภ์จุติ’ ที่อริยะตู้จี้กับหงส์ทมิฬหลงเหลือไว้หลังจากสิ้นชีพ ถึงได้ถูกอารามกษิติครรภ์เพ่งเล็งหรือ
แล้ว ‘กู่ฝอจื่อ’ นั่นเป็นใครอีก
——

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset