Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1199 วสันต์สารทชั่วพริบตา

จี้ซิงเหยากล่าว “เช่นนั้นก็ดี หลังจากนี้สิบวันพวกเราจะออกเดินทาง”
สามารถเดินทางร่วมกับหลินสวินก็เท่ากับได้เพื่อนร่วมทางที่แข็งแกร่งมาอีกคน ยามมุ่งหน้าสู่เขตต้องห้ามแม่น้ำนรกก็จะได้การคุ้มครองมาอีกอย่าง
“หลังจากนี้สิบวันรึ” หลินสวินมุ่นคิ้ว
จี้ซิงเหยาชะงัก ตอนนี้ถึงได้ตระหนักว่าหลินสวินไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกเลย
นางกล่าวอธิบาย “ทุกสิบวันจึงจะมีโอกาสเข้าไปในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกครั้งหนึ่ง ช่วงเวลาอื่นเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกจะถูกพลังประหลาดชั้นหนึ่งปกคลุม ทันทีที่เข้าใกล้จะประสบเคราะห์อัปมงคล ตายสถานเดียว”
นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัด มีเรื่องเช่นนี้ด้วย?
ตอนนั้นเขาเคยเดินทางอยู่ในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกหนึ่งวันหนึ่งคืน ผ่านความอันตรายถึงชีวิตไม่รู้เท่าไหร่
แต่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เคยรู้สึกว่ามีพลังประหลาดและอัปมงคลอะไรเกินไป
‘ดูท่าภายในนั้นยังมีความเร้นลับและสิ่งต้องห้ามมากมายที่ข้าไม่เข้าใจ’
ใจหลินสวินพลันหนักอึ้ง
เขตต้องห้ามแม่น้ำนรกยิ่งอันตรายและแปลกประหลาด ความเป็นไปได้ที่เจ้าคางคกจะประสบอันตรายก็ยิ่งมาก
แต่ต่อให้หลินสวินร้อนใจไปก็เปล่าประโยชน์ ต้องรออีกสิบวันค่อยออกเดินทาง
‘เจ้าหมอนี่เป็นคนโชคดีฟ้าคุ้มครอง ทั้งได้รับมรดกของเซียนผลาญเฉินหลินคงแล้ว น่าจะไม่ตายง่ายๆ’
หลินสวินได้แต่ปลอบใจตัวเองเช่นนี้
จี้ซิงเหยาไม่รั้งอยู่นาน นัดเวลาและสถานที่พบเจอกับหลินสวินดีแล้วก็จากไป
อันที่จริงการที่นางมาบอกเรื่องเจ้าคางคกประสบภัยด้วยตนเองครั้งนี้ ก็ทำให้หลินสวินรู้ว่านางมองข้าม ‘เรื่องเข้าใจผิด’ ในปีนั้นไปแล้วจริงๆ ไม่ขุ่นเคืองเขาอีก
ไม่อย่างนั้นนางไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย
สำหรับเรื่องนี้หลินสวินยินดีที่ได้พบอย่างยิ่ง

เขตต้องห้ามแม่น้ำนรกคือ ‘แดนหายนะ’ ที่ผู้คนในแดนอัคคีทักษิณต่างรู้จัก
รอบนอกเป็นผืนป่าดึกดำบรรพ์กว้างขวาง ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าบดบังนภาคลุมตะวัน ถูกปกคลุมอยู่ในความมืดมิดมานานปี
หลินสวินมาแล้วยืนอยู่ตรงป่าเขารอบนอก
จิตรับรู้ของเขาแผ่ขยายออก เมื่อรุกเข้าไปในป่าดึกดำบรรพ์กว้างใหญ่นั่นก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายทะมึนไหลบ่ากดดันมาทันที ทำให้ลมหายใจเขาหยุดชะงักเพราะมัน
แต่นี่ไม่ได้มีผลกระทบต่อหลินสวิน
หลังโคจรเคล็ดเวทบริกรรม จิตรับรู้ที่ยิ่งใหญ่มหาศาลนั้นของเขาก็แผ่ไปยังส่วนลึกของป่าเขาราวกระแสน้ำ ยืดขยายออกไปไม่หยุด…
ในขั้นตอนนี้กลิ่นอายกดดันและอึมครึมนั่นยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ นานเข้าก็ยิ่งแปลกประหลาด
นี่ทำให้แรงกดดันในใจหลินสวินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกร็งไปทั้งตัวราวสายธนูที่ง้างไว้ พลังขับเคลื่อนทั่วร่างโคจรอย่างไร้สุ้มเสียงถึงได้จึงสามารถต้านทานไว้ได้
ตูม!
มองจากไกลๆ ผมดำของหลินสวินแผ่สยาย แสงมรรคไหลวนไปทั่วร่าง จิตต่อสู้อันดุดันทะลวงแหวกห้วงอากาศดั่งรุ้งเทพ ทำให้เมฆทั่วทิศสลายตัว น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบ
เหมือนกำลังห้ำหั่นกับศัตรูที่ทรงพลังที่สุด
หากถูกมกุฎราชันคนอื่นเห็นเข้า จะต้องถูกอานุภาพพลังที่หลินสวินแผ่ออกมาทำให้หวาดหวั่นแน่ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ประหนึ่งเทพมารค้ำจุนฟ้าดิน!
พร้อมกันนี้ในจิตวิญญาณหลินสวินกำลังสั่นคลอนรุนแรง เหมือนมีเสียงเทพผีร่ำไห้ อริยะครวญคร่ำดังกระหึ่ม
ในห้วงนิมิตเต็มไปด้วยภาพชวนประหวั่นอย่างกระดูกขาวราวภูเขา ศพมากมายดุจห้วงสมุทร ฟ้าดินพังทลาย สรรพสิ่งดับสลาย
ทุกอย่างล้วนกำลังสั่นคลอนจิตใจ โจมตีเจตจำนงของเขา!
กระทั่งต่อมาในห้วงนิมิตเต็มไปด้วยเสียงคำรามอลหม่าน ภาพวาดเลือดหลั่งชโลม คล้ายจะม้วนกลืนจิตวิญญาณเขาให้จมดิ่งลงไปในนั้น
‘นี่คือ!?’
ทันใดนั้นห้วงนิมิตหลินสวินก็ปรากฏแม่น้ำสายหนึ่ง เลือดไหลบ่า ภายในมีซากศพประหลาดและอัปมงคลมากมายผลุบโผล่อยู่รางๆ
บ้างเป็นภิกษุที่ละกิเลส หว่างคิ้วถูกทะลวงเป็นรูโหว่รูหนึ่ง เผยสีหน้าโกรธแค้น
บ้างรูปร่างคล้ายมังกรฟ้าที่ถูกสะบั้นทุกอณู มองเห็นเป็นระยะๆ อยู่ในธารโลหิต คดเคี้ยวประมาณหลายหมื่นจั้ง
บ้างเป็นอริยะสวมเสื้อขนนกประดับเกี้ยวสูง…
บ้างเป็นสัตว์ปีศาจแปลกประหลาดที่ตรงหน้าผากแฝงลายมรรคแต่กำเนิด…
ทั้งหมดล้วนสิ้นชีพโดยไม่มีข้อยกเว้น!
ผลุบโผล่อยู่ในธารโลหิตราวจุดหมายแห่งความตาย
ตูม!
ไม่รอให้หลินสวินได้เห็นชัด ห้วงนิมิตก็พลันเจ็บปวดสาหัส ถูกพลังเยียบเย็นน่าหวาดกลัวสายหนึ่งโจมตี ทำให้เขาร้องเสียงอึดอัด เก็บจิตรับรู้คืนโดยไม่ลังเล
จากนั้นปรากฏการณ์ประหลาดที่เห็นก่อนหน้านี้จึงถดถอยหายไปราวกระแสน้ำ
และตอนนี้ทั่วร่างหลินสวินก็ชุ่มเหงื่อ สีหน้าค่อนข้างซีดเผือด ในดวงตาล้ำลึกฉายแววตระหนก
ธารโลหิตสายนั้น… ก็คือ ‘แม่น้ำนรก’ หรือ
ถึงตอนนี้หลินสวินจึงได้เข้าใจว่าที่จี้ซิงเหยากล่าวมาทั้งหมดล้วนไม่ผิด เวลานี้หากเข้าไปในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกนั่นจะต้องเจอเรื่องไม่คาดฝันแน่
พลังที่ครอบคลุมอยู่ภายในแปลกประหลาดและอัปมงคลเกินไป ทำให้เขาไร้แรงต้านทาน!
ฟู่…
ผ่านไปครู่ใหญ่หลินสวินจึงผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เก็บพลังทั่วร่างลงไป
เขาใคร่ครวญครู่หนึ่ง เงาร่างก็พริบไหวหายเข้าไปในป่าดึกดำบรรพ์นั่น
ป่าเขาแถบนี้เป็นเพียงรอบนอกของเขตต้องห้ามแม่น้ำนรก แม้มีอันตรายมากมายกระจายอยู่ทั่ว แต่สำหรับหลินสวินแล้วยังไม่อาจสร้างภัยคุกคามมากนัก
‘นับจากวันนี้ไปก็ฝึกปราณอยู่ที่นี่แล้วกัน…’
หลินสวินตัดสินใจเด็ดขาด
เวลาสิบวัน หากใช้อย่างคุ้มค่าก็เพียงพอให้ตนยกระดับพลังต่อสู้ขึ้นอีกขั้น
ในป่าดึกดำบรรพ์นี้อันตรายซ่อนอยู่รอบทิศ แต่สำหรับหลินสวินแล้วกลับเป็นสถานที่ชั้นยอดในการเคี่ยวกรำวิถียุทธ์ หยั่งรู้วิชามรรคแห่งหนึ่ง

ระดับราชันแบ่งเป็นขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลายสามขั้น
เมื่อถึงระดับราชันขั้นสมบูรณ์ เมล็ดพันธุ์แห่งมรรคภายในร่างก็จะใกล้สมบูรณ์ตามไปด้วย ยามนั้นจะต้องเผชิญหน้ากับการทดสอบของอมตะเคราะห์
ก้าวผ่านไปได้ก็จะเรียกว่าระดับอมตะเคราะห์ขั้นหนึ่ง เมล็ดพันธุ์แห่งมรรคภายในร่างก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ก่อเกิดเป็น ‘รากฐานมรรค’ !
รากฐานมรรค ถูกมองเป็นรากฐานแห่งฟ้าดิน เกี่ยวพันกับหนทางอมตะ เหมือนการก้าวสู่ระดับใหม่ทั้งหมดบนอมตะมรรคา
ก้าวไม่พ้น หากไม่ใช่พลังปราณหยุดอยู่กับที่ หมดหวังจะเลื่อนระดับอีก
ก็ร่างแหลกมรรคสลาย!
นี่ก็คือความเสี่ยงและบททดสอบที่ต้องแบกรับในการบำเพ็ญ ‘อมตะ’
ถึงแม้ระดับราชันจะหยั่งรู้ความเป็นตาย ไม่หวาดกลัวการกัดกร่อนของเวลา จิตวิญญาณไม่ดับสลาย ชีวิตไม่ดับสิ้น แต่หากข้ามเคราะห์ไม่พ้นก็ป่วยการ
ตอนนี้ปราณของหลินสวินบรรลุถึงขั้นต้นสมบูรณ์แล้ว สามารถก้าวสู่ขั้นกลางได้ทุกเมื่อ
เพียงแต่ระดับมกุฎราชันไม่ใช่สิ่งที่สามารถอาศัยปราณมาวัดความสูงต่ำของพลังต่อสู้ได้
หรือพูดได้ว่าความสูงต่ำของพลังต่อสู้ในระดับมกุฎราชัน จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครสามารถกำหนดมาตรฐานแบ่งแยกโดยละเอียดได้
ด้วยขอบเขตระดับนี้ไม่เคยมีมาก่อน อริยะก็ไม่กล้าให้คำนิยาม!
ผ่านไปสามวัน
ในป่าเขาหลินสวินนั่งขัดสมาธิ พลังทั่วร่างดุจเตาหลอม เลื่อนสู่ขั้นสูงกว่าในชั่วพริบตา พลังที่แผ่ออกมาทั้งมวลทำให้ผืนป่าแถบนี้สั่นสะเทือนดังสวบสาบ
มรรคราชันขั้นกลาง!
การทะลวงปราณครั้งนี้ไม่ถึงกับยากลำบาก สุกงอมตามครรลอง เดิมก็อยู่ในการคาดเดาของหลินสวิน
หึ่งๆๆ
ในความมืดมิดรอบๆ ป่าเขา เสียงหึ่งๆ กึกก้องดังขึ้น
ทันใดนั้นยุงโลหิตที่มีหกปีกแต่กำเนิด ขนาดเท่ากำปั้น สีแดงชาดตลอดตัวฝูงหนึ่งก็แห่ออกมา กลิ่นอายอำมหิตเหี้ยมเกรียมพุ่งมาทางหลินสวิน
ยุงโลหิตหกปีก!
หลินสวินลืมตาขึ้น ไม่ตระหนกวิตก
นี่คือสิ่งมีชีวิตน่ากลัวซึ่งกระจายอยู่รอบป่าเขาดึกดำบรรพ์นี่ เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหวเพียงเสี้ยวก็จะดึงดูดความสนใจของพวกมัน รับมือได้ยากยิ่ง
ตอนที่เขาเข้าสู่แดนอัคคีทักษิณครั้งแรกก็เคยถูกยุงโลหิตหกปีกตามล่าไล่บี้ไม่ปล่อย บนตัวไม่เพียงแต่ถูกเจาะเกิดรูโหว่ชุ่มเลือดมากมาย ยังถูกพิษร้ายแรงแทรกซึม น่าอเนจอนาถเป็นอย่างยิ่ง
เพียงแต่ครั้งนี้ต่างไปจากเดิมแล้ว
ร่างหลินสวินที่นั่งขัดสมาธิกับพื้นไม่ขยับ ยื่นนิ้วชี้ข้างขวาออกไปวาดวงโคจรบางเบาเร้นลับวงหนึ่งกลางอากาศ
พร้อมกันนี้พลังอันแข็งแกร่งทั่วร่างเขาก็เคลื่อนตามไปด้วย ใช้วิธีประหลาดทำการโคจรมารวมกันที่ปลายนิ้วเสียงเลื่อนลั่น
จากนั้นก็ดีดนิ้วเบาๆ
ต้นไม้เก่าแก่สูงเสียดฟ้าที่อยู่ใกล้ๆ เถาวัลย์ที่ใหญ่โตราวงูเหลือม ดอกไม้ใบหญ้าที่สูงเท่าตัวคน… ล้วนกำลังเติบโตอย่างบ้าคลั่ง เต็มไปด้วยพลังชีวิตดั่งอยู่ในกาลเวลาหมื่นสมัย
ชั่วขณะที่หลินสวินชี้นิ้วออกไป ต้นไม้เก่าแก่ เถาวัลย์ ดอกไม้ใบหญ้าเหล่านี้ก็แห้งเหี่ยวหมด กลายเป็นเถ้าละอองลอยละล่อง
พริบตานั้นฤดูกาลหมุนเวียนล้มล้างสรรพสิ่ง ราวกับประวัติศาสตร์หมื่นสมัยปรากฏรวมอยู่ในดรรชนีเดียว เป็นภาพที่ทำให้ผู้คนตกตะลึง
ยุงโลหิตหกปีกที่พุ่งเข้ามาใกล้พลังชีวิตพลันแห้งเหือด ร่างเหี่ยวแห้งราวถูกสูบพลังชีวิตไปจนหมด จากนั้นก็ร่วงกราวลงไปกองกับพื้น
เมื่อมองไปอีกครั้ง ในรัศมีพันจั้งไม่มีต้นหญ้าเจริญเติบโต สรรพสิ่งกลายเป็นว่างเปล่าเตียนโล่งเหมือนถูกลบล้างไป
ภาพนี้ทำให้ในดวงตาหลินสวินฉายแววอัศจรรย์
กระบวนท่าแรกของดรรชนีมหาอุดมสลายมายา วสันต์สารทชั่วพริบตา!
หนึ่งดรรชนีหมุนเปลี่ยนฤดูกาล ช่วงชิงศุภโชค ตัดสินเป็นตาย
การโจมตีนี้เหมือนหลอมรวมความยิ่งใหญ่แห่งฤดูกาลหมื่นสมัยไว้ในหนึ่งดรรชนี สามารถล้มล้างฟ้าดิน ย้อนพลิกความรุ่งโรจน์และโรยร่วง อาศัยพลานุภาพยิ่งใหญ่กดข่มสรรพสิ่ง!
หลินสวินเพิ่งทำการหยั่งรู้ ยึดกุมได้เพียงขนผิวเศษเสี้ยวของกระบวนท่านี้ แต่ความแข็งแกร่งของอานุภาพที่สำแดงออกมากลับเหนือการคาดเดาของหลินสวินสิ้นเชิง!
ไม่เพียงแค่แข็งแกร่ง แต่พลิกฟ้าจริงๆ!
วิชามรรคนี้คือมรดกที่ได้มาจาก ‘ภาพตกปลาบนฟ้าดารา’ รวมแล้วมีสามกระบวนท่า
แต่ละกระบวนท่าล้วนครอบจักรวาลลึกลับไร้สิ้นสุด เป็นวิชามรรคอมตะที่สามารถสะเทือนอดีตจวบจนปัจจุบัน
หึ่งๆ
ในจุดที่ห่างออกไปยุงโลหิตหกปีกพุ่งเข้ามาอีกครั้ง สาเหตุที่สิ่งมีชีวิตพวกนี้รับมือยากก็ด้วยพวกมันแกล้วกล้าไม่กลัวตาย เกาะกลุ่มเป็นขบวนฆ่าอย่างไรก็ไม่หมด ทำให้คนปวดกบาลยิ่งนัก
เห็นดังนี้หลินสวินพลันตวัดนิ้วอีกครั้ง
ต่างจากครั้งก่อน พลังของดรรชนีนี้เผยอานุภาพยิ่งใหญ่ประดุจไม่มีสิ่งใดทำลายไม่ได้ ทรงพลานุภาพไร้จำกัด พลังทำลายล้างรุนแรงยิ่งใหญ่ไพศาล
เหล่ายุงโลหิตหกปีกที่พุ่งมานั้นล้วนถูกกำจัดไม่ผิดจากที่คาด
‘ครั้งก่อนใช้กฎเกณฑ์ธาตุไฟ คราวนี้ใช้กฎเกณฑ์ธาตุน้ำ แม้ลักษณะพลังจะแตกต่าง แต่อานุภาพกลับไม่ได้ต่างกันอย่างชัดเจน…’
‘เพียงแต่ดรรชนีมหาอุดมสลายมายานี้ล้ำลึกสุดหยั่ง ข้าเพิ่งหยั่งรู้เพียงผิวเผิน หลังจากนี้เมื่อหยั่งรู้เพิ่มเติมอานุภาพก็น่าจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ’
‘ทว่าจะกินพลังกันเกินไปแล้ว’
หลินสวินพลันจนปัญญา แค่สองดรรชนีถึงกับผลาญพลังของเขาไปหนึ่งในสามส่วน!
แม้วิชามรรคนี้จะทรงอานุภาพหาใดเปรียบ แต่การผลาญพลังก็น่าตะลึงเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าไม่อาจใช้ในการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ
‘บางทีคงได้แค่รอพลังปราณข้าเลื่อนขั้นถึงจุดไหนสักแห่ง จึงจะสามารถโคจรวิชามรรคนี้อย่างง่ายดาย สำแดงอานุภาพของมันออกมาถึงขีดสุด’
หลินสวินขบคิด
สามวัน พลังปราณเลื่อนขั้นสู่มรรคราชันขั้นกลาง ทั้งหยั่งรู้นัยเร้นลับเสี้ยวหนึ่งของวสันต์สารทชั่วพริบตา ทำให้พลังต่อสู้ของหลินสวินพัฒนาไปก้าวหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย
เพียงแต่การผลาญพลังก็ค่อนข้างน่าตกตะลึง เวลาสามวันแค่โอสถราชันที่ใช้หลอมปราณก็มีมากถึงห้าต้น!
นี่ก็คือระดับมกุฎราชัน พลังต่อสู้เหนือโลกหล้า แต่ทรัพยากรที่ต้องใช้ฝึกปราณก็เหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันอยู่โข
และมกุฎมรรคาของหลินสวินก็เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนระดับมกุฎราชันคนอื่น ทรัพยากรที่ใช้ฝึกปราณยิ่งต้องมากกว่า
ยังดีที่ก่อนหน้านี้เขากวาดล้างอาณาเขตของขุมอำนาจใหญ่อย่างเผ่าอีกาทอง เก็บเกี่ยวทรัพย์หลังศึกมามาก ปัจจุบันจึงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้
ผ่านไปเจ็ดวัน
หลินสวินทะลวงขั้นอีกครั้ง!
………………………

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset