“ตื่น!”
หลินสวินยืนอยู่กลางอากาศ เปล่งเสียงธรรมออกมา สั่นสะเทือนกลางฟ้าดิน
ฮูม!
บนเขาฝนดาวตกที่เดิมรกร้างราวซากปรักหักพัง พลันมีสัญลักษณ์ลายมรรคหนาแน่นดั่งกระแสธารผุดขึ้นมา รวมตัวเป็นกระบวนค่ายกลใหญ่ เชื่อมโยงพลังแห่งฟ้าดิน
มองเห็นว่าพลังวิญญาณอันไพศาลหาใดเทียบราวมังกรตัวใหญ่ตื่นขึ้นจากใต้เขาฝนดาวตก จากนั้นก็พรั่งพรูออกมา!
ไอวิญญาณถาโถมนั้นช่างเหมือนคงคามหานที แปรสภาพเป็นมังกรพยัคฆ์คำรามยาวกลางฟ้าดิน เสียงสะท้านภูผาธาราแถบนี้
ด้านบนเขาฝนดาวตก ต้นไม้ใบหญ้าเติบโตอย่างบ้าคลั่ง โอสถวิญญาณ ดอกไม้อัศจรรย์ พริบตาเดียวก็ผลิบานสุกงอมพลิ้วไหวไปตามลม เปล่งปลั่งเจิดจรัสงดงามสะดุดตา
ไอวิญญาณหลั่งไหลแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตก ไหลออกมาจากหน้าผาเหือดแห้งแตกระแหง ประหนึ่งมังกรขาวตัวหนึ่งเทลงมา
แม้แต่รากต้นไม้แห้งเหี่ยวที่หยั่งรากลึกอยู่กลางเศษซากส่วนหนึ่งยังมีพลังชีวิตเจิดจรัสอีกครั้ง เริ่มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นต้นไม้ใหญ่สูงเทียมฟ้า
เพียงครู่เดียวเท่านั้นบนเขาฝนดาวตกก็พลิกโฉมหน้าไปแล้ว ก็เห็นว่าเมฆมงคลรวมตัวบนเวิ้งฟ้า แสงมงคลไหลวน ไอวิญญาณอบอวลราวนิมิตมายา อาบชโลมเขาฝนดาวตกทั้งลูกเอาไว้
บนภูเขาพลังชีวิตเปี่ยมล้น ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม ดอกไม้อัศจรรย์และโอสถประหลาดแต่งแต้มอยู่บนนั้น ทั้งมีน้ำพุน้ำตกไหลหลั่ง เป็นทิวทัศน์อุดมสมบูรณ์แห่งถ้ำสวรรค์แดนมงคล
เทียบกับภาพเศษซากหักพังและแห้งแล้งเงียบเหงาก่อนหน้านี้ เขาฝนดาวตกในตอนนี้ถึงเรียกได้ว่าเป็นเขาแดนมงคล!
ไกลออกไป เจ้าคางคก นกทมิฬและอาหลู่อึ้งไปแล้ว นี่ก็คือพลังของนักสลักลายมรรคหรือ
ก่อนหน้านี้หลินสวินเสียเวลาหนึ่งวันไปกับการวางกระบวนวิญญาณรอบเขาฝนดาวตก หมายจะฟื้นฟูให้เขาฝนดาวตกคืนสู่สภาพเดิมในอดีต พวกเขายังไม่เชื่ออยู่บ้าง
คิดว่าหากคิดจะหาที่ลงหลักปักฐาน ไปช่วงชิงยึดครองภูเขาแดนมงคลลือชื่อสักลูกหนึ่งก็พอแล้ว ไม่เห็นต้องยุ่งยากวุ่นวายเช่นนี้สักนิด
แต่ตอนนี้ต่างต้องยอมรับว่า พวกเขาตื่นตาไปกับฝีมือที่แทบจะเหนือล้ำธรรมชาติ แปลงสิ่งผุพังเป็นอัศจรรย์นั้นของหลินสวินเสียแล้ว
ซากปรักหักพังแห่งหนึ่งพริบตาเดียวก็ฟื้นคืนชีพ!
“ตั้งแต่วันนี้ไป ที่นี่ก็จะเป็นที่พำนักฝึกปราณของพวกเรา!”
หลินสวินลงมาจากฟ้า เอ่ยปากแช่มช้า
ที่จริงแล้วไม่ใช่เพราะเขามีฝีมือเทียมฟ้า แต่เป็นเพราะใต้เขาฝนดาวตกแห่งนี้เดิมก็มีชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดฝังอยู่ ส่วนเขาเพียงใช้กระบวนรอยสลักวิญญาณลายมรรค ดึงพลังของชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดขึ้นมาใหม่อีกครั้งเท่านั้น
หาไม่แล้วต่อให้เขามีความสามารถมากมายเทียมฟ้า ก็ไม่อาจสรรสร้างถ้ำสวรรค์แดนมงคลที่งดงามเลิศล้ำแห่งหนึ่งขึ้นมากลางความว่างเปล่าได้
แน่นอนว่าหากเขาไม่ได้ครอบครองพลังที่ใกล้เคียงกับนักสลักลายมรรคอยู่ ก็ย่อมทำถึงขนาดนี้ไม่ได้แน่
ก่อนหน้านี้เหตุใดเขาฝนดาวตกถึงรกร้างเช่นนี้ ไม่มีใครเหลียวแล
ง่ายดายนัก ในแดนเก้าบนนี้ อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ก็มีเพียงหลินสวินที่ครอบครองพลังแห่งกระบวนวิญญาณลายมรรคเช่นนี้ ทำให้ภูเขาลูกนี้เปลี่ยนจากผุพังเป็นอัศจรรย์!
“พี่ใหญ่ เจ้าแน่ใจแล้วจริงหรือว่าในช่วงเวลาต่อจากนี้จะฝึกตนที่นี่”
เจ้าคางคกถามอย่างอดไม่ได้
หลังจากช่วยอาหลู่กลับมาจากแดนโบราณหมื่นลักษณ์ได้ พวกเขาก็รีบออกจากแดนอสนีบูรพาเฉกเช่นม้าไม่หยุดฝีเท้า กลับมายังแดนอัคคีทักษิณ
ตามที่หลินสวินว่าไว้ เขาต้องการฝึกตน จำศีลสักพักหนึ่ง นั่งดูสถานการณ์วุ่นวายของโลกภายนอก
“ตอนนี้เหลือเวลาอีกราวหนึ่งปีเท่านั้นแดนมกุฎก็จะปิดฉากลง คาดเดาได้ว่าช่วงเวลาสำคัญสุดท้ายในแดนเก้าบนต้องยิ่งโกลาหล แม้ข้าไม่กลัวแต่ก็ไม่อยากไปข้องเกี่ยวในนั้นด้วย ไหลตามกระแสคลื่นก็ไม่สู้เป็นผู้สังเกตการณ์”
หลินสวินเอ่ย
ตกตะกอน!
ไม่กี่ปีก่อนไม่ว่าจะอยู่ที่เขตต้องห้ามแม่น้ำนรกหรือแดนธรรมสถูป เขาได้ศุภโชคและวาสนาครั้งแล้วครั้งเล่า พลังปราณก็รุดหน้าฉับพลัน เกิดความเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าดินเป็นพักๆ
ความเร็วในการเลื่อนขั้นไม่ถึงกับทำให้โลกตะลึง แต่ก็รวดเร็วมากพอแล้ว
อีกทั้งด้านมรรคาตอนนี้ เขาไม่ได้ขาดวาสนาและไม่ต้องการศุภโชคอะไร ที่ขาดเพียงอย่างเดียวก็คือการตกตะกอนความรุ่งเรืองและร่วงโรยสักครั้ง!
วาสนาก็เหมือนของนอกกาย หากยึดมั่นกับสิ่งนี้ก็จะติดอยู่กับของนอกกาย ไม่ต่างอะไรกับปีนต้นไม้ไปหาปลา ผิดฝาผิดตัว!
ฝึกปราณถึงระดับปัจจุบัน หลินสวินยิ่งเข้าใจหลักการข้อหนึ่ง การฝึกปราณก็คือกระบวนการฝึกจิตใจอย่างหนึ่ง
หากจิตใจถูกวัตถุนอกกายและอารมณ์ภายในก่อกวน แม้เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศหรืออัจฉริยะไร้ใครเทียบ ก็ต้องกลืนหายไปกับมวลมนุษย์!
ใคร่ครวญถึงต้นสายปลายเหตุแล้ว ก็เพราะหลินสวินรู้ดีว่าในมรรคาสิ่งที่ตนต้องการคืออะไร และควรจะละทิ้งอะไรไป
ระหว่างรับเอาและละทิ้ง คือกระบวนการควบคุมใจตน!
“เจ้าเฒ่าดำ เจ้าล่ะ”
เจ้าคางคกเห็นหลินสวินท่าทีแน่วแน่ ก็เอ่ยถามนกทมิฬอย่างอดไม่ได้
นกทมิฬทอดถอนใจ สองปีกไขว้หลังแล้วพูดว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว ล้าแล้ว สำรวจความรุ่งเรืองทางโลกราวภาพฝันนี้จนทะลุปรุโปร่งแล้ว ไม่สู้เมามายในโลกมนุษย์สักครั้งแล้วรีบถอนตัวตอนยังรุ่งโรจน์ เร้นกายในภูเขาลำเนาไพร ร่ำสุราต้มชาถกเรื่องมรรค ไม่ใช่เป็นสุขแล้วหรือ”
เจ้าคางคกกับอาหลู่พากันกลอกตา ถ่มน้ำลายครั้งหนึ่ง เหยียดหยามยิ่งนัก
“อาหลู่ เจ้าว่าไง”
เจ้าคางคกเบือนหน้าถาม
อาหลู่ฉีกยิ้ม “ข้าเพิ่งหลุดพ้นจากสุสานจักรพรรดิที่ทุกคนหมายปองตาร้อนผ่าวมา ยังจะไปหาวาสนากับศุภโชคหาพระแสงอะไร!”
เจ้าคางคกถูกโจมตีอย่างรุนแรงเช่นนี้ก็อัดอั้นจนแทบกระอักเลือด จริงด้วย เขาลืมไปได้อย่างไรว่าเจ้าคนเถื่อนนี่เพิ่งได้มหาศุภโชคอันล้ำเลิศมา
กลับเห็นว่าดวงตานกทมิฬพลันส่องประกาย “ปัดโธ่ พวกเรายังจะยึดติดกับศุภโชคอะไรอีก ตอนนี้ก็ไม่ได้มีมหาศุภโชคชิ้นหนึ่งแล้วหรือ”
สายตามันดูเจ้าเล่ห์ ยามมองอาหลู่ก็เหมือนจดจ้องหญิงงามเหนือโลกาที่กึ่งเปลือยแสร้งปฏิเสธผู้หนึ่ง บนหน้าผากแทบจะเขียนคำว่าสับปลับไว้แล้ว
เจ้าคางคกอึ้งไปก่อน จากนั้นพลันตัวสั่นสะท้านตกตะลึง โอบอาหลู่ไว้อย่างตื่นเต้นดีใจแล้วร้องว่า “น้องสาม ศุภโชคสุสานจักรพรรดิถูกเจ้าชิงเอาไปได้แล้วหรือ”
รอยยิ้มของอาหลู่แข็งทื่อ ในใจรู้สึกไม่สู้ดียิ่ง พอกำลังเตรียมจะปลีกตัวชิ่งหนีก็ถูกนกทมิฬกับเจ้าคางคกหนีบแขนทั้งซ้ายทั้งขวาไว้ ใช้ท่าทาง ‘สนิทชิดเชื้อ’ ที่ไม่อาจปฏิเสธได้โดยง่ายพาเขาขึ้นไปบนเขาฝนดาวตก
“จุ๊ๆๆ สมกับเป็นน้องสามคนดีของข้า เจ้าบอกพี่ชายมาหน่อยสิว่าตกลงในสุสานจักรพรรดิมีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่”
“ใช่ อาหลู่ คราวนี้เพื่อมาช่วยเจ้า พวกเราไม่สนใจแม้แต่ชีวิต ต่อให้ข้าไม่ได้ไขว่คว้าหาสิ่งอื่น แต่ถ้าเจ้ารู้สึกเกรงใจก็เอาวาสนาอะไรมาตอบแทนข้าเสียหน่อย…”
“ถุย! เมื่อกี้นกหัวขโมยอย่างเจ้าไม่ได้แหกปากว่าสำรวจความรุ่งเรืองทางโลกจนทั่วแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ต้องการแล้วหรือไง”
“เจ้าไม่เข้าใจ ข้าเพียงถกมรรคกับสหายอาหลู่เท่านั้นเอง!”
“ถกมรรคบ้านปู่เจ้าสิ!”
…ไกลออกไปเพียงได้ยินเสียงเจ้าคางคกกับนกทมิฬด่าทอกัน ส่วนอาหลู่เหมือนคนนอก สับสนงงงวยไปหมด
หลินสวินเห็นเช่นนี้ก็บื้อใบ้ไปอย่างอดไม่ได้ จากนั้นจึงก้าวย่างขึ้นไป
ตอนนี้แดนเก้าบนสำหรับเขาไม่มีสิ่งใดที่ต้องการแล้ว เหลือเพียงรอโอกาสฆ่าอวิ๋นชิ่งไป๋ครั้งหนึ่งเท่านั้น!
……
พี่น้องได้พานพบ ย่อมต้องร่ำสุรา!
ผ่านไปหลายปีพวกหลินสวิน เจ้าคางคกและอาหลู่ถึงได้มารวมตัวกันอีกครั้ง ในชั่วขณะนี้ก็มีเพียงดื่มกินจนหนำใจถึงจะควรค่ากับช่วงเวลาอันดีงามเช่นนี้ได้
หลังจากดื่มเหล้าจนกรึ่มแล้ว สุดท้ายอาหลู่ก็รับ ‘มิตรจิตรมิตรใจชั้นเลิศ’ ของเจ้าคางคกกับนกทมิฬไม่ไหว เล่าประสบการณ์หลายปีมานี้ออกมาอย่างหมดเปลือก
ที่แท้ตอนอยู่ในแดนเผาเซียน อาหลู่จากไปเพียงลำพัง วิ่งเต้นตลอดทางผ่านไปหลายเขตแดน สุดท้ายถึงได้ข่าวเกี่ยวกับแดนโบราณหมื่นลักษณ์
กระทั่งช่องทางสู่แดนเก้าบนเปิดออก เดิมเขาคิดจะกลับไปรวมตัวกับหลินสวินและเจ้าคางคก แต่เวลาไม่พอแล้ว จึงทำได้เพียงออกเดินทางคนเดียว
หลังจากมาถึงแดนเก้าบนอาหลู่ก็เข้าไปในแดนอสนีบูรพาทันที สำหรับคนนอกแล้ว ผนึกแดนโบราณหมื่นลักษณ์ยังไม่หายไป ไม่มีใครเข้าไปได้
แต่อาหลู่กลับเป็นข้อยกเว้น เพราะ ‘สุสานจักรพรรดิ’ ที่เก็บเงียบอยู่ในแดนโบราณหมื่นลักษณ์ ก็คือสิ่งที่ ‘จักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพ’ หลงเหลือไว้
และ ‘วิชาดาวเหนือสยบโลกา’ ที่อาหลู่ฝึกฝนก็เป็นมรดกของจักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพบรรพกาล
“ให้ตายสิ ไอ้หนูเจ้าโชคดีเย้ยฟ้าจริงเชียว!”
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ เจ้าคางคกก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาตาร้อนไม่ว่างเว้น
“น้อยหน่อยเถอะ มรดกเซียนผลาญตอนนั้นก็ไม่ใช่เจ้าได้ไปหรือ”
อาหลู่แค่นเสียงเย็น พูดถึงตรงนี้สีหน้าของเขาพลันขุ่นเคืองขึ้นอย่างบอกไม่ถูก “ยิ่งกว่านั้นพวกเจ้าไม่รู้เลยว่าหลายปีมานี้ข้าผ่านมาได้อย่างไร!”
ตอนเขาพูดน้ำตาก็จะไหลอยู่รอมร่อ
ในสุสานจักรพรรดิแห่งนั้น มีศุภโชคที่จักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพหลงเหลือไว้จริงๆ แต่กลับเป็นการเคี่ยวกรำและทดสอบที่น่ากลัวถึงที่สุดครั้งหนึ่ง
แต่ละวันอาหลู่ถูกเคี่ยวกรำอย่างเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ แทบจะขาดใจตาย ต้องตรากตรำและทดสอบเพียงเพื่อรีบออกไปจากสถานที่เฮงซวยนั่นเร็วขึ้นหน่อย
แต่ที่ทำให้อาหลู่สิ้นหวังก็คือ พลังปราณของเขาบรรลุไม่หยุดหย่อนในการเคี่ยวกรำอันน่าหวาดหวั่นเช่นนั้นจริงๆ ทั้งพลังต่อสู้ก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่ยามหลุดพ้นการทดสอบแต่ละครั้ง กลับพบกับการเคี่ยวกรำและทดสอบครั้งใหม่อีก…
ก็เพราะเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่เขาเข้าไปในแดนเก้าบนก็ติดอยู่ในสุสานจักรพรรดิแห่งนั้น จนกระทั่งพวกหลินสวินมาช่วยชีวิต เขาถึงเพิ่งหลุดพ้นจากความยากลำบาก
ถึงตรงนี้พวกหลินสวินก็พอจะเข้าใจประสบการณ์หลายปีมานี้ของอาหลู่แล้ว ในใจทอดถอนใจไม่ว่างเว้นอย่างห้ามไม่ได้ ต่างไม่รู้ว่าจะพูดว่าอาหลู่โชคดีหรือโชคร้าย
จะบอกว่าเขาโชคร้าย ในช่วงหลายปีมานี้แม้เขาถูกเคี่ยวกรำอย่างหนัก แต่ก็ได้มหาศุภโชคที่หายากหาใดเทียบชิ้นหนึ่งมาอยู่ดี
ครั้นจะบอกว่าเขาโชคดี แต่หลายปีมานี้เขาก็ติดอยู่ในสุสานจักรพรรดิมาโดยตลอด ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน แต่ละวันที่ผ่านไปก็เจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่…
เจ้าคางคกสีหน้าแปรผันไม่ว่างเว้น “พูดแบบนี้ สุสานจักรพรรดินั่นเป็นสถานที่ตายของจักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพจริงๆ หรือ นี่เป็นถึงจักรพรรดิที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคบรรพกาลคนหนึ่งเลยนะ ทำไม… ทำไมถึงร่วงหล่นลงได้”
นกทมิฬกลับพูดอย่างอดรนทนไม่ไหวว่า “ประสบการณ์อันทุกข์ตรมของเจ้าก็ถูกยกขึ้นมาแล้ว พูดแล้วก็ดีแต่จะทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะ รีบบอกมาดีกว่าว่าคราวนี้เจ้าได้ของดีอะไรมากันแน่ นี่จึงจะเป็นเรื่องที่ทุกคนสนใจ”
เดิมทีอาหลู่เตรียมจะบอกเล่าความน่าสงสาร เจ็บปวดจนน้ำตาแทบไหล เมื่อได้ยินก็พลันถลึงตาโต “พวกเจ้าสองคนช่วยเห็นใจกันหน่อยได้ไหม ข้าน่าอนาถถึงเพียงนั้น พวกเจ้ายังเอาแต่คิดถึงวาสนากับศุภโชคอีกหรือ”
เจ้าคางคกกับนกทมิฬพากันถ่มถุยเหยียดหยามครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ก้าวมาข้างหน้าด้วยกัน เริ่มข่มขู่และหลอกล่ออาหลู่อีกรอบหนึ่ง
ในที่สุดอาหลู่ก็ชูมือขึ้นโบกด้วยสีหน้าขุ่นเคือง เสียงครืดดังขึ้น แผ่นหินมหึมาแผ่นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ กระแทกลงมาบนพื้น
“นี่ก็คือศุภโชคสุสานจักรพรรดิที่พวกเจ้าเฝ้าฝัน!” อาหลู่พูดอย่างอ่อนแรง
แผ่นหินยาวหลายจั้ง ด้านบนมีภาพแน่นขนัดสลักอยู่ กลิ่นอายเก่าแก่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานประทับอยู่บนนั้น มีท่วงทำนองยิ่งใหญ่ที่ผ่านการตกตะกอนของเดือนปี
เพียงแต่เมื่อพวกหลินสวินได้เห็น ทำไมถึงรู้สึกว่าสิ่งนี้เหมือนฝากระดานโลงศพขนาดยักษ์แผ่นหนึ่ง…
——
Related
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1299 ระหว่างรับเอาและละทิ้ง หนทางสู่การสงบจิตใจ
Posted by ? Views, Released on January 11, 2022
, Battling Records of the Chosen One
Type: Web Novel Author: Xiao Jinyu, 萧瑾瑜
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…
In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history.
In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing.
Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned.
Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?
Recommended Series
Comment
Facebook Comment