Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1301 สั่งสมอานุภาพ

หลินสวินไม่ได้ตัดสินใจออกมาอย่างชัดเจน
เพราะไม่ว่าจะหลอมกายหรือไม่ เกี่ยวกับมรรคาของตนในภายภาคหน้า การชี้ขาดจากความคิดเดียวก็อาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงโชคชะตา เขาต้องรอบคอบ
ทว่าสำหรับนกทมิฬกับเจ้าคางคก ได้ล้มเลิกความคิดที่จะหยั่งรู้แผ่นหินโบราณหมื่นลักษณ์ไปแล้ว เพราะการหลอมกายขัดกับมรรคาที่พวกเขาเสาะหา
ตั้งแต่วันนี้พวกหลินสวินเก็บตัวจำศีลบนเขาฝนดาวตก ไม่สนใจเรื่องราวในโลก ต่างขัดเกลาและฝึกฝนมรรคและวิชาของตน
สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่ขาดแคลนวาสนาแล้วจริงๆ ที่ขาดคือการตกตะกอนหลังจากชะล้างสิ่งสำอางสักครั้ง
ในช่วงเวลาว่างเป็นครั้งคราว พวกเขาจะนั่งลงกับพื้น ต้มสุราคั่วชา ถกเรื่องมรรคกัน แลกเปลี่ยนใจความและการหยั่งรู้ในการฝึกปราณกัน ต่างฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ไปไม่น้อย มรรควิถีของตนก็ยิ่งประณีตลุ่มลึกและแกร่งกล้า
ไม่ว่าจะเป็นหลินสวิน เจ้าคางคก อาหลู่หรือนกทมิฬต่างมีวิชาน่าตกตะลึงหาใดเทียบในมรรคาของตนนานแล้ว อีกทั้งตนเองต่างครอบครองมรดกอันเป็นเอกลักษณ์และสะท้านโลก
การแลกเปลี่ยนระหว่างพวกเขาไม่มีปิดบังเลยสักนิด ต่างพิสูจน์มรรคและวิชาของกันและกัน คุณประโยชน์ที่ได้รับสามารถบรรยายด้วยคำว่าไม่อาจประมาณได้
อย่างนกทมิฬมีความลับและความเข้าใจในมหามรรคมากมายอยู่เต็มหัว เมื่อถกเรื่องมรรคอย่างจริงจัง หลักการของแก่นอัศจรรย์ที่กล่าวออกมานั้นถึงกับทำให้พวกหลินสวินหน้าเปลี่ยนสีไม่ว่างเว้น รู้สึกเกิดปัญญารู้แจ้ง ตื่นรู้เต็มตาอยู่บ่อยๆ
หรืออย่างเจ้าคางคก ตัวเขาฟื้นพลังมรดกพรสวรรค์ของสายเลือดคางคกทองสามขา ทั้งเคยได้รับมรดกชั้นยอดที่เซียนผลาญเฉินหลินคงทิ้งไว้ ความเข้าใจต่อมหามรรคเรียกได้ว่าโดดเด่นมีเอกลักษณ์
และอย่างอาหลู่ เส้นทางที่เดินอยู่ก็คือมรรคากายหยาบบรรลุอริยะ ในด้านการบุกเบิกกายเนื้อที่เก็บวิญญาณ การใช้สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณในตัว ไม่ใช่สิ่งที่พวกหลินสวินจะเทียบได้โดยสิ้นเชิง
ด้านหลินสวิน ตั้งแต่ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ ความรุ่มรวยของประสบการณ์ฝึกปราณที่สั่งสมมาก็ดึงดูดใจพวกเจ้าคางคกอย่างลึกซึ้ง
ตอนนี้พวกเขารวมตัวอยู่ด้วยกัน ร่วมกันฝึกปราณ ร่วมกันแลกเปลี่ยน จิตใจไร้กังวล ทำให้มรรควิถีในตัวได้ตกตะกอนถึงขีดสุดโดยไม่รู้ตัว
สมัยบรรพกาล เมธีในอดีตมองมหามรรคประหนึ่งฟ้า จึงมักจะรวมตัวกันเพื่อ ‘พูดคุย’ แลกเปลี่ยนใจความกัน ด้วยเหตุนี้ถึงรวมจุดแข็งร้อยสำนัก สร้างวิชาฝึกปราณอันเลิศลอยตระการตาเพื่อคนรุ่นหลัง
การถกเรื่องมรรคของพวกหลินสวินก็เหมือนกับ ‘การพูดคุย’ ในระหว่างที่แลกเปลี่ยนได้เข้าใจสิ่งใหม่ ต่อยอดได้มากมาย วิธีฝึกปราณอันเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้กลับสร้างประโยชน์เหลือล้นให้กับทุกคน!
ยามคิดอะไรได้เป็นครั้งคราว ก็จะประลองแลกเปลี่ยนความรู้สักตั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้ รู้สึกพอใจอย่างยิ่ง สำราญใจหาใดเทียบเช่นกัน
บางครั้งเสี่ยวอิ๋นก็เข้าร่วมด้วย แต่หลายครั้งทำเพียงรับฟัง มันเป็นลูกหลานหนอนกินเทพ ว่ากันโดยเคร่งครัดแล้ว เรียกได้ว่าเป็นสายฝึกจิต
แต่ไม่ว่าจะเป็นอาหลู่ เจ้าคางคกหรือนกทมิฬก็ไม่อยากประมือกับเสี่ยวอินตอนแลกเปลี่ยนความรู้วิถียุทธ์
ช่วยไม่ได้ การโจมตีของเสี่ยวอิ๋นพิสดารและดุดันเกินไป จู่โจมเด็ดขาด ทำให้ผู้อื่นตั้งตัวไม่ทัน ปวดหัวหาใดเทียบ
ทว่าเสี่ยวอิ๋นกลับไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ขอเพียงใจมันฉุกคิดก็จะลงมือทันที ไม่มีเค้าลางบอกกล่าวได้ ส่งผลให้พวกเจ้าคางคกตื่นตระหนกจนด่าทอยกใหญ่ ทั้งรู้สึกจนใจทุกครั้งไป
เมื่อใดก็ตามที่เป็นเช่นนี้ หลินสวินก็จะหัวเราะร่าไม่หยุด ยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจกับเสี่ยวอิ๋น
กาลเวลาล่วงเลยไปในระหว่างการฝึกปราณราวตัดขาดจากโลกเช่นนี้
พวกหลินสวินไม่สนใจเรื่องราวในโลก ต้องการตกตะกอนฝึกตนและยกระดับมรรคาของตัวเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ติดตามโลกภายนอก
ไม่นานนักทั้งแดนอัคคีทักษิณต่างรู้ว่าเทพมารหลินพำนักฝึกปราณที่เขาฝนดาวตก ดึงดูดให้ขุมอำนาจมากมายจับตามอง
แทบทุกวันจะมีสายสืบจำนวนมากมาสืบข่าวที่บริเวณใกล้เคียงเขาฝนดาวตกเพื่อสังเกตความเคลื่อนไหว
ถึงอย่างไรหลายปีมานี้ หลินสวินก็ได้อาศัยผลการต่อสู้อันนองเลือดมากมาย บ่มเพาะกิตติศัพท์และชื่อเสียงจนแทบไร้ศัตรูใดเทียบเทียมแล้ว
ตอนนี้คนร้ายกาจผู้มีชื่อสะเทือนแดนเก้าบนเช่นนี้ปลีกวิเวกอยู่บนเขาฝนดาวตก จะไม่ให้ใครจับตามองได้อย่างไร
แต่พร้อมๆ กับการเวลาเคลื่อนคล้อย เมื่อรับรู้ได้ว่าเทพมารหลินคิดจะจำศีลฝึกตนจริงๆ ไม่คิดเกี่ยวข้องกับความวุ่นวายในโลกภายนอก ก็มีทั้งคนผิดหวังและลอบยินดีปรีดา
ใครก็รู้ว่าขอเพียงเป็นเรื่องที่เทพมารหลินยื่นมือเข้าไปยุ่ง ย่อมก่อให้เกิดความโกลาหลใหญ่ยิ่ง มาพร้อมกับฝนเลือดลมคาวโลหิต
และตอนนี้คนร้ายกาจเช่นนี้จู่ๆ กลับเหมือนล้างมือในอ่างทองคำ ไม่สนใจความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในโลกภายนอก ย่อมทำให้ทุกคนงุนงงนัก
“ผนึกรังมังกรเจินหลงสลายแล้ว! ได้ยินว่าบุคคลระดับนายเหนือหัวอย่างเย่หมัวเฮอ หมีเหิงเจินและหวังเสวียนอวี๋ไปกันหมดแล้ว!”
“ศุภโชคเย้ยฟ้าคราวนี้ได้รับความสนใจจากทั่วสารทิศมานานแล้ว คนที่อยู่อันดับต้นๆ ของกระดานทองคำผู้กล้าอย่างเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่ หยวนฝ่าเทียนก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน”
ไม่นานนักข่าวหนึ่งก็กระจายไปทั่วแดนเก้าบน ก่อนให้เกิดแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่
“แล้วเทพมารหลินล่ะ ได้เคลื่อนไหวหรือไม่”
“ไม่ เขาปิดด่านมาตลอด”
ยามได้รู้ว่าแม้จะเผชิญหน้ากับมหาวาสนาหายากอย่างรังมังกรเจินหลงปรากฏ แต่หลินสวินก็ยังไม่ออกจากเขาฝนดาวตกดังเดิม ผู้แข็งแกร่งบางคนยังแทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
แต่ความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ พวกเขาไม่เชื่อก็ไม่ได้!
“หรือเทพมารหลินกลัวเสียแล้ว ไม่กล้าไปช่วงชิงกับพวกร้ายกาจคนอื่นๆ”
หลายคนกังขา คิดว่าการเก็บตัวจำศีลของหลินสวินเป็นการถอยอย่างหนึ่ง ไม่สอดคล้องกับท่าทางแข็งกร้าวของเขาดังแต่ก่อน ผิดธรรมดานัก
“พวกเจ้าผิดแล้ว ถอนตัวตอนรุ่งโรจน์ไหนเลยจะไม่ใช่ความกล้าหาญยิ่งอย่างหนึ่ง เทพมารหลินจำศีลคราวนี้อาจจะพลาดมหาศุภโชคไปบ้าง แต่ผ่านการตกตะกอนคราวนี้ เกรงว่าตัวเขาในภายหน้าจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีก…”
ผู้แข็งแกร่งที่เบียดตัวขึ้นสู่แนวหน้าของกระดานทองคำผู้กล้าคนหนึ่งทอดถอนใจเช่นนี้
“หากในสายตามีแต่วาสนาก็ย่อมถูกวาสนาจูงจมูกไป ถึงขั้นโลภมากลาภหาย ได้ไม่คุ้มเสีย ตามความคิดข้าเกรงว่าหลินสวินจะมีแผนอื่น มองทะลุข้อได้ข้อเสียในช่วงเวลาหนึ่งมานานแล้ว จึงให้ความสำคัญกับการเคี่ยวกรำมรรคาในตัว”
เมื่อหมีเหิงเจินที่มาถึงหน้ารังมังกรเจินหลงได้รู้ข่าวนี้ ก็ไหวหวั่นใจอย่างห้ามไม่ได้
เดิมทีก่อนหน้านี้เขาเคยส่งเซียวชิงเหอไปเขาฝนดาวตกเพื่อเชิญหลินสวิน หมายจะให้มาร่วมกันสำรวจรังมังกรเจินหลง
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ หลินสวินปฏิเสธแล้ว
และตอนนี้ในที่สุดหมีเหิงเจินถึงเข้าใจอยู่รางๆ ว่าเหตุใดหลินสวินถึงปฏิเสธ นี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกชื่นชมขึ้นในใจเล็กน้อย
ละทิ้งและได้มา ได้มานั้นไม่ง่าย แต่ละทิ้งยากยิ่งกว่า!
ระหว่างละทิ้งและได้มา เป็นการเคี่ยวกรำสภาวะจิตอันใหญ่ยิ่งอย่างหนึ่ง!
“เจ้าจะละทิ้งเช่นนี้จริงหรือ”
บนเขาฝนดาวตก จี้ซิงเหยานั่งง่ายๆ อยู่บนหินผาก้อนหนึ่ง อาภรณ์และเส้นผมปลิวไปตามลม รูปลักษณ์ราวภาพเขียน ล้ำเลิศเหนือโลกา
“เจ้าก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ”
หลินสวินยิ้มพลางรินน้ำชาที่ต้มเองกับมือให้จี้ซิงเหยาถ้วยหนึ่ง ท่าทางผ่อนคลาย
เทียบกับก่อนหน้านี้ หลินสวินในตอนนี้มีกลิ่นอายเรียบง่ายไม่ซับซ้อน สายตากระจ่างใส นั่งตามใจอยู่เช่นนั้น ไม่มีคมประกาย
แต่ในสายตาของจี้ซิงเหยา หลินสวินกลับดูยิ่งล้ำลึกสุดหยั่ง กลิ่นอายใกล้เคียงกับมรรค มรรคนั้นไร้รูป และแก่นแท้ของมันก็ไม่อาจบรรยายได้!
ในดวงตานางปรากฏความเคลิ้มลอยเล็กน้อย จากนั้นก็ทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ “ข้ากับเจ้าไม่เหมือนกันเสียหน่อย เจ้ามองรังมังกรเจินหลงเหมือนเมฆลอย ในใจไร้ความปรารถนาจึงไม่ไล่ตาม ส่วนข้ารู้ดีว่าที่นั่นพร้อมจะเกิดการนองเลือดเทียมฟ้า ตัวเองรู้ว่าต่อให้ไปที่นั่นก็จะเคราะห์มากโชคน้อย สุดท้ายอาจจะไม่ได้อะไรเลย ดังนั้นจึงต้องละทิ้ง”
พูดถึงตรงนี้มุมปากจี้ซิงเหยาก็ปรากฏแววจนใจอย่างอดไม่ได้ “นี่ก็คือความแตกต่าง ข้าปรารถนาแต่ทำไม่ได้ ทำได้เพียงมีสติรักษาตัวรอด ถอยออกมาเพื่อความปลอดภัย”
หลินสวินยิ้มให้แล้วพูดว่า “การช่วงชิงมหามรรคไม่ได้ตัดสินได้ในวันเดียวคืนเดียว แม่นางจี้รู้จักแยกแยะว่าจะไปต่อหรือถอยกลับเป็นอย่างดี ภายหลังต้องเดินบนมรรคาได้ยาวนานยิ่งขึ้นแน่”
จี้ซิงเหยายิ้มกว้าง ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม จากนั้นจึงพูดว่า “เหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งปีก่อนแดนมกุฎจะปิดฉากลง ระหว่างนี้ระดับนายเหนือหัวจากพื้นที่ต่างๆ ของแดนเก้าบนล้วนแข่งกับเวลาเพื่อขวนขวายการบรรลุครั้งสุดท้าย ไม่ทราบว่าพี่หลินวางแผนเช่นไร”
หลินสวินคิดดูแล้วเอ่ยว่า “ฆ่าอวิ๋นชิ่งไป๋นับด้วยไหม”
ประโยคเดียวพูดออกมาอย่างราบเรียบ ไม่มีกลิ่นอายแปดเปื้อน แม้แต่อารมณ์ยังไม่หวั่นไหว เป็นไปตามธรรมชาติ
จี้ซิงเหยาอึ้งไป พยักหน้ากล่าวว่า “มิน่าพี่หลินถึงจำศีลที่นี่ ที่แท้ก็ตั้งใจสั่งสมอานุภาพ”
“สั่งสมอานุภาพหรือ”
หลินสวินยิ้มเอ่ย “คงใช่กระมัง”
หลังจากส่งจี้ซิงเหยาที่มาเยี่ยมเยือนจากไปแล้ว หลินสวินก็มาครุ่นคิดถึงคำว่า ‘สั่งสมอานุภาพ’ อดนิ่งอึ้งเหม่อลอยไม่ได้
เมื่อก่อนยามเอ่ยถึงอวิ๋นชิ่งไป๋ ไอสังหารที่เก็บกลั้นไม่อยู่จะผุดขึ้นภายในใจเขา ส่งผลกระทบต่อความผันผวนในจิตใจ
ทว่าตอนนี้ ตัวตนของอวิ๋นชิ่งไป๋คล้ายไม่อาจทำให้เขารู้สึกอยากฆ่าแต่ฆ่าไม่ได้เช่นนั้นอีกแล้ว
เป็นเพราะสภาพจิตใจของตนเปลี่ยนไปแล้วหรือ
ไม่ใช่!
เป็นเพราะตนไม่หวาดกลัวอย่างแท้จริงแล้ว!
คิดถึงตรงนี้ ในดวงตาเรียบเฉยกระจ่างใสของหลินสวินก็ปรากฏแววรู้ชัดแจ่มแจ้ง ยามฮึกเหิมถึงที่สุดก็รวบนิ้ววาดออกไปในอากาศตามใจ
สวบ!
เหนือเขาฝนดาวตก ปราณกระบี่ราวรุ้งสายหนึ่งฉีกทึ้งเวิ้งฟ้าแปดพันลี้ คมประกายบดบังแสงสุริยันจันทรา!
กระบี่นี้มีนามว่าไปไร้หวน
เพียงแต่นัยเร้นลับของมันในตอนนี้ถูกหลินสวินทะลวงถึงขั้นต้นสำเร็จแล้ว
ครึ่งเดือนผ่านไป
ความขัดแย้งจากการปรากฏของรังมังกรเจินหลงปิดฉากลง
ตามสถิติ ผู้แข็งแกร่งที่บาดเจ็บล้มตายในนั้นมีมากกว่าพันคน เลือดไหลเป็นสายธาร และผู้ที่ได้ศุภโชคในนั้นไปในท้ายที่สุดก็มีเพียงไม่กี่คน
ในกลุ่มนั้นเซ่าเฮ่าเปล่งประกายเป็นพิเศษ ตัวคนเดียวต้านทานศึกใหญ่หลายด้าน ชิงศุภโชคชิ้นใหญ่ที่สุดแล้วล่องลอยจากไป
นอกจากนี้สัตว์ประหลาดยุคโบราณบางคนอย่างรั่วอู่ลูกหลานเผ่าวิหคชาด หยวนฝ่าเทียนลูกหลานเผ่าวานรจมูกเชิด ราชันเผิงปีกทองน้อย รวมถึงบุคคลระดับนายเหนือหัวขอบเขตมกุฎยุคปัจจุบันอย่างเย่หมัวเฮอ หมีเหิงเจิน หวังเสวียนอวี๋ ต่างล้วนได้ผลเก็บเกี่ยวกลับไป
ที่ควรค่าแก่การพูดถึงก็คือ ไม่มีร่องรอยของอวิ๋นชิ่งไปโดยตลอดเช่นเดียวกับหลินสวิน
ว่ากันโดยเคร่งครัดแล้ว หลังจากถูกหลินสวินตามฆ่าที่แดนธรรมสถูปเมื่อสองปีก่อน อวิ๋นชิ่งไป๋ก็เหมือนระเหยไปจากโลก จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่มีข่าวของเขากระจายออกมา
แต่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเพิกเฉยผู้ฝึกกระบี่ไร้เทียมทานที่มีความสามารถเทียมฟ้า หาผู้ใดเทียบเช่นนี้ไปได้!
ทุกคนต่างสังหรณ์ว่าเมื่ออวิ๋นชิ่งไป๋ปรากฏตัวในโลกอีกครั้งหนึ่ง คนที่ต้องต่อกรทันทีน่ากลัวว่าจะเป็นหลินสวิน!
เพราะต่างรู้ว่าเขามีความแค้นใหญ่ยิ่งกับหลินสวิน เหล่าผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้ายังเคยถูกหลินสวินฆ่าตาย!
เพียงแต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า ในตอนที่รังมังกรเจินหลงปิดฉากลง เหนือเขาฝนดาวตกหลินสวินที่จำศีลฝึกตนมานานครึ่งปี ได้ต้อนรับมหาเคราะห์ครั้งที่เจ็ดในมรรคาอมตะ…
เคราะห์กฎกรรม!
กฎแห่งกรรม บุญธรรมกรรมแต่ง ไม่อาจกำหนดได้ล่วงหน้า แทบจะเลื่อนลอยเหมือนเป็นภาพลวงตาเหมือนมารในใจและโชคชะตา
แต่เคราะห์กฎกรรมเกี่ยวโยงถึงโซ่ตรวนพันธนาการมากมายในการฝึกมรรคา อานุภาพพิบัติเคราะห์ที่มันสร้างขึ้นก็น่าครั่นคร้ามหาใดเทียบ
สำหรับหลินสวินแล้ว เคราะห์นี้ย่อมเป็นพิบัติเคราะห์ที่อันตรายและน่าหวาดหวั่นที่สุดซึ่งได้ประสบมาตั้งแต่บรรลุมรรคาอมตะ
เพราะกฎกรรมที่พันพัวอยู่บนตัวเขามีมากนัก!
——
Related

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset