กฎกรรมบนตัวหลินสวินดุจดั่งเส้นสายอันเล็กละเอียดแน่นขนัด มีอิทธิพลต่อมรรคาของเขามาตลอดหลายปีนี้โดยไม่รู้ตัว
อย่างประตูสวรรค์ เจดีย์สมบัติไร้อักษร ดาบหัก ธนูวิญญาณไร้แก่นสาร… กระทั่งเพลิงมรรคอัศจรรย์ยังเกี่ยวโยงกับกฎกรรมของแหล่งสถานอัศจรรย์
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกฎกรรมที่มีรูป เมื่อแปดเปื้อน ไม่ว่าจะดีหรือร้ายล้วนก่อให้เกิดอิทธิพลบางอย่าง
และอย่างในหนี้เลือดที่หลินสวินแบกรับไว้ตั้งแต่เด็ก มรรคาที่เสาะแสวงหา รวมถึงรอยเท้าที่หลงเหลือไว้ระหว่างวิถีฝึกปราณ ก็ล้วนมีกฎกรรมตามติดทั้งสิ้น
สิ่งเหล่านี้สามารถมองว่าเป็นกฎกรรมที่ไร้รูปร่าง ขอเพียงฝึกปราณก็ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงอิทธิพลของมันได้เช่นกัน
ไม่ต้องการถูกกฎกรรมผูกมัด ทลายพันธนาการ แม้แต่อริยะยังทำได้ยาก!
เพียงแต่เมื่อเทียบกันแล้ว กฎกรรมที่สะสมอยู่บนตัวหลินสวินทั้งมากเกินไปและหนักหนาเกินไป
ดังนั้นยามเผชิญหน้ากับพิบัติเคราะห์อย่างเคราะห์กฎกรรมนี้ อันตรายที่หลินสวินแบกรับจึงน่ากลัวเหนือธรรมดาไปไกล
ข้ามด่านเคราะห์คราวนี้ก็ทำให้หลินสวินประสบความยากลำบากและอันตราย ฟันฝ่าท่ามกลางความเป็นความตาย เอาชีวิตรอดกลางการดับสูญ หลายครั้งเกือบจะถูกอสนีเคราะห์กำจัด!
แม้แต่พวกนกทมิฬ เจ้าคางคกและอาหลู่ยังไม่อาจสงบใจ หน้าเปลี่ยนสีเพราะเรื่องนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าในโลกนี้จะยังมีเคราะห์กฎกรรมอันน่ากลัว พิสดารและเหนือล้ำสามัญสำนึกเช่นนี้อีก
หลินสวินดิ้นรนอยู่ในอสนีเคราะห์สามวันสามคืนเต็มๆ ถึงข้ามผ่านเคราะห์ที่เจ็ดในมรรคาอมตะนี้!
และเขาที่ผ่านด่านเคราะห์มา ร่างกายถูกทำลายแหลกละเอียดอยู่นานแล้ว พลังจิตเหลือเพียงเสี้ยวความคิดเล็กน้อย เกือบจะวอดวายโดยสมบูรณ์
แต่คุณประโยชน์หลังข้ามด่านเคราะห์ก็น่าตกตะลึงหาใดเทียบ
ในช่วงครึ่งเดือนต่อมา หลินสวินไม่เพียงฟื้นคืนสู่สภาพเดิม มรรควิถีของตนยังยกระดับถึงขีดสุดรอบหนึ่ง ศักยภาพก็แปรสภาพอย่างพลิกฟ้าพลิกดินไปด้วย!
ยามสู้เต็มกำลัง ขนาดอาหลู่กับเจ้าคางคกร่วมกันลงมือยังไม่อาจกำราบหลินสวินได้อยู่หมัด กลับถูกหลินสวินโจมตีเสียยับเยิน โหยหวนไม่ว่างเว้น ร้องเสียงดังว่าวิปริต
ควรรู้ว่าก่อนหลินสวินจะข้ามด่านเคราะห์ อาหลู่กับเจ้าคางคกก็ได้เหยียบย่างเข้าสู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดแล้ว ทว่าต่อให้ร่วมกันลงมือก็ไม่อาจต้านทานหลินสวิน ทำให้ทั้งสองจะไม่ยอมรับก็ไม่ได้
วู้ม!
บนหน้าผา หลินสวินยืดกายตามสบาย สำแดงมรรคและวิชาของตนกลางเมฆหมอก เสื้อผ้ากระพือไหว เงาร่างรางเลือนประหนึ่งเซียนสำแดงยุทธ์
และตอนนี้ พลังมหามรรคที่เขาครอบครองล้วนทะลวงระดับ ‘ระเบียบมรรค’ แล้ว
ระเบียบมรรคก็คือกฎเกณฑ์ หลอมรวมอยู่ในวิถียุทธ์ สามารถใช้พลังกฎเกณฑ์ได้ถึงขีดสุด
กฎเกณฑ์มหามรรคต่างกัน อานุภาพที่มีก็ต่างกัน แต่ไม่ได้แบ่งแยกแข็งแกร่งอ่อนแอ เพียงพิจารณาว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมเท่านั้น
ตอนนี้ที่หลินสวินกำลังทำก็คือ ‘หลอมมรรค’!
นำกฎเกณฑ์มหามรรคต่างๆ ที่ตนครอบครองมาหลอมเข้ากับมรรคดับดารากลืนกิน ทำให้มรรคกับวิชาในตัวผสานกันโดยสมบูรณ์
ขั้นนี้ ยากนัก
ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน อย่างน้อยก่อนบรรลุอริยะ น้อยคนนักที่จะสามารถหลอมมหามรรคที่ครอบครองให้เป็นหนึ่งเดียว เข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
หลินสวินไม่หวังถึงขั้นเข้าใจทะลุปรุโปร่ง เขาเพียงคิดใช้มรรคดับดารากลืนกินเป็นเตาหลอม นำพลังมหามรรคอื่นมาใส่ไว้ในนั้นเพื่อใช้ประโยชน์!
ก็เปรียบเหมือนมรรคดับดารากลืนกินเป็นจอมทัพ ไปชักนำและควบคุมพลังมหามรรคต่างๆ ทำให้พวกมันระเบิดอานุภาพที่แข็งแกร่งที่สุด
ตูม!
กลางชั้นเมฆ เสียงธรรมไหวกระเพื่อม มีเสียงร้องมังกรเจินหลงดังก้องเป็นพักๆ มีดอกบัวน้ำไฟเบ่งบานพลิ้วไหวเป็นช่วงๆ มีมัจฉาหยินหยางกลายสภาพเป็นวัฏจักรยอดเอกอุอยู่เป็นระยะ มีกลิ่นอายไร้มรณะอ้อยอิ่งไม่ขาดสายเป็นครั้งคราว…
ในที่สุดปรากฏการณ์ประหลาดเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นในหุบเหวลึกแห่งหนึ่ง ทำให้เวิ้งฟ้าตรงนั้นเหมือนถูกกลืนกิน หมู่ดาวดับสลายอยู่ภายในนั้น!
ส่วนเงาร่างของหลินสวิน กลับเหมือนผู้เป็นนายเหนือหุบเหวใหญ่ มีความสง่างามหลุดพ้นเหนือมลทินอยู่รางๆ
จนกระทั่งไม่กี่วันผ่านไป
เงาร่างหลินสวินหยุดนิ่งลงอย่างรวดเร็ว ปลดปล่อยกลิ่นอายทั้งกาย เสียงตูมดังขึ้น กลางฟ้าดินเหมือนเกิดสายฟ้าฟาด ห้วงอากาศแปดทิศพังถล่ม ชั้นเมฆทลายลง
แสงสวรรค์สายหนึ่งเทลงมา คลุมรัศมีศักดิ์สิทธิ์ชั้นหนึ่งให้เงาร่างสูงตระหง่านนั้นของหลินสวิน ดุจดั่งเทพในตำนานดึกดำบรรพ์
“พี่ใหญ่ ระวังด้วย!”
เสียงตะคอกดังเสียงหนึ่งดังขึ้น อาหลู่กระโจนขึ้นกลางอากาศ ชูหมัดถล่มลงมา
เจ้าคางคกกับนกทมิฬเห็นดังนี้ ต่างแสดงสีหน้าเวทนา
ดังคาด เพียงครู่เดียวอาหลู่ก็ถูกกำราบ หน้าตามอมแมม จมูกเขียวหน้าบวมเป่ง ปากสูดหายใจเย็น แก้มกระตุกไม่หยุดเพราะเจ็บปวดรุนแรง
เมื่อดูหลินสวินอีกครั้ง กลิ่นอายเรียบง่ายสงบนิ่ง ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดาโดยสิ้นเชิง ท่วงท่ารุ่งโรจน์มลายสิ้น คืนสู่ความสามัญ
“พี่ใหญ่ เจ้าหลอมมรรคสำเร็จแล้วหรือ”
อาหลู่เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
“ไม่ถึงกับหลอมมรรคได้จริงๆ หรอก เพียงแต่พลังมหามรรคที่ข้าครอบครองล้วนสามารถใช้มรรคดับดารากลืนกินควบคุมได้แล้ว”
หลินสวินกล่าวถึงตรงนี้ก็ยิ้มพูดว่า “วันนี้ไม่คุยเรื่องฝึกปราณ ไปกัน ไปดื่มเหล้า”
“ดีเหมือนกัน เอาชนะเจ้าไม่ได้ ดื่มเหล้ายังสู้ไม่ได้ได้หรือ”
อาหลู่ใจกล้าทะลุเมฆา
นกทมิฬกับเจ้าคางคกก็ลูบหมัดเตรียมสู้
……
แดนวาโยอาคเนย์
ในเขาแดนมงคลแห่งหนึ่ง หยวนฝ่าเทียนพลันลืมตาขึ้น สายฟ้าเปล่งประกายหาใดเทียบสายหนึ่งก็สาดพุ่งออกมาจากตาของเขา
เปรี๊ยะ!
ห้วงอากาศล้วนถูกแววตานั้นฉีกออก
‘ก่อนแดนมกุฎปิดฉากเหลือเวลาอีกเพียงครึ่งปีเท่านั้น ตอนนี้ข้าได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์ได้สำเร็จขั้นใหญ่แล้ว ถึงเวลาไปสะสางบุญคุณความแค้นในตอนนั้นแล้ว!’
หยวนฝ่าเทียนหยัดกายลุกขึ้น เลือดลมทั้งตัวพลุ่งพล่าน พุ่งทะลุเมฆาขึ้นไป ทำให้ฟ้าดินต่างเปลี่ยนสี
เงาร่างของเขาผอมบาง สวมชุดขนนกทั้งตัว แต่ยามเยื้องย่างกลับเหมือนภูเขาเทพลูกหนึ่งเคลื่อนที่ ทำให้จักรวาลสั่นสะเทือน ห้วงอากาศครวญครางสั่นไหวปั่นป่วน
สวบ!
ครู่ต่อมาเงาร่างของเขาก็พุ่งกระโจนขึ้นไป บินท่องทะยานในอากาศ แต่มาถึงครึ่งทางจู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในโสตประสาท…
“เจ้าลิง เจ้าไอสังหารพลุ่งพล่านเช่นนี้ จะไปทวงแค้นใครกัน”
แสงทองเจิดจรัสหาใดเทียบสายหนึ่งเคลื่อนออกมาจากเมฆหมอกพร้อมกับเสียง พอพินิจดูก็เป็นพญาเผิงปีกทองตัวหนึ่ง ยามกระพือปีกดุจเมฆที่ไหลรินลงมาจากฟากฟ้า สายอสนีโอบล้อม
“จุ๊ๆ ดูท่าเจ้าคงหลอมโลหิตสมบัติเจินหลงกระปุกหนึ่งที่ได้มาจากรังมังกรเจินหลงไปแล้ว ทำให้พลังร่างกายแปรสภาพอีกครั้ง”
พญาเผิงปีกทองแปลงกายเป็นชายหนุ่มรูปลักษณ์ธรรมดา แต่งกายชุดทองทั้งตัวผู้หนึ่ง ดวงตาทั้งสองราวดวงอาทิตย์โชติช่วง ประเมินหยวนฝ่าเทียนหัวจรดเท้า
“ราชันเผิงปีกทองน้อย ที่แท้ก็เป็นเจ้า”
หยวนฝ่าเทียนสีหน้าผ่อนคลาย เอ่ยว่า “ข้าจะไปแดนอัคคีทักษิณเพื่อหาเทพมารหลิน สะสางความแค้นที่ผูกไว้ในอดีตครั้งหนึ่ง”
“เทพมารหลินหรือ”
ราชันเผิงปีกทองน้อยดวงตาเป็นประกาย “เท่าที่ข้ารู้ ในช่วงครึ่งปีกว่ามานี้เขาจำศีลอยู่บนเขาฝนดาวตกมาโดยตลอด เจ้าไปผูกความแค้นกับเขาได้อย่างไร”
“ตอนนั้นข้าหลับใหลเก็บตัวอยู่ที่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับถูกเจ้าหมอนี่ฝ่าเข้ามาในสถานที่หลับใหล ชิงมรดกวิชาลับสูงสุดของเผ่าข้าไป ความแค้นนี้ข้าจะไม่ไปทวงคืนได้อย่างไร”
ดวงตาหยวนฝ่าเทียนเจือไอสังหาร สีหน้าเหี้ยมเกรียม
“เคล็ดวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์หรือ”
ราชันเผิงปีกทองน้อยไหวหวั่น เขารู้ดีว่าเคล็ดวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์ของเผ่าวานรจมูกเชิดมีที่มายิ่งใหญ่ถึงที่สุด เป็นวิชาลับสูงสุดของสายหลอมกาย
“พูดแบบนี้ เจ้าจะไปสังหารเขาหรือ” ราชันเผิงปีกทองน้อยตาลุกวาว
หยวนฝ่าเทียนนิ่วหน้า ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ท่านปู่หยวนที่ดูแลข้าตอนเก็บตัวมาโดยตลอดเคยพูดว่า ให้ข้าออมมือตอนแก้แค้น ข้าคิดไปคิดมาแล้วยังคงไว้ชีวิตเขาสักครั้งดีกว่า ขอเพียงรับรองว่าไม่ฆ่าเขาตายก็พอ”
ราชันเผิงปีกทองน้อยสีหน้าประหลาด เอ่ยว่า “ไป ข้าก็จะไปกับเจ้าด้วย ตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนข้าก็อยากจะสู้กับเทพมารหลินสักครั้ง”
“ตกลงกันก่อน ให้ข้าลงมือเป็นคนแรก” หยวนฝ่าเทียนพูด
“นี่มันแหงอยู่แล้ว”
ยามราชันเผิงปีกทองน้อยพูดถึงตรงนี้ดวงตาก็ฉายแววบ้าระห่ำ “ก็ไม่รู้ว่าพลังต่อสู้ในตอนนี้ของเทพมารหลินนั่นจะพัฒนาแล้วหรือไม่!”
……
แดนอัคคีทักษิณ หน้าเขาฝนดาวตก
โครม!
เสียงกระแทกสะท้านฟ้าสะเทือนดินเสียงหนึ่งดังขึ้น ก็เห็นว่าเงาร่างหนึ่งเหมือนกระสอบทรายแตก กระเด็นถอยหลังไปอย่างรุนแรง ล้มลงกับพื้นฝุ่นควันตลบอบอวล
อาหลู่ฉีกยิ้ม “ความสามารถแค่นี้ ขนาดด่านของข้าคนนี้ยังผ่านไม่ได้ แล้วยังเพ้อพกจะไปแลกเปลี่ยนความรู้กับพี่ใหญ่อีก ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ”
ไกลออกไปผู้แข็งแกร่งที่ถูกตีพ่ายผู้นั้นลุกขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยโมโหหงุดหงิด จดจ้องอาหลู่อย่างอำมหิตแล้วจากไปด้วยความอายระคนขุ่นเคือง
“ยังมีใครไม่ยอมอีก ยืนขึ้นมาได้ตามสบาย!”
อาหลู่ตะโกนสุดเสียง
ในช่วงใกล้ๆ นี้มีผู้แข็งแกร่งมากมายมาเยือนจากทั่วสารทิศ ล้วนโวยวายว่าต้องการแลกเปลี่ยนวิชากับหลินสวินเพื่อพิสูจน์วิถียุทธ์ เทียบสูงต่ำสักครั้ง
หลินสวินย่อมคร้านจะใส่ใจ แต่เมื่อเขาไม่ปรากฏตัวกลับถูกมองว่าขี้ขลาดตาขาว ทำให้ผู้แข็งแกร่งที่มาท้าสู้เหล่านั้นดูแคลนนัก
นี่กลับยั่วให้พวกอาหลู่กับเจ้าคางคกหงุดหงิด ครึ่งปีนี้พวกเขารั้งอยู่บนเขาฝนดาวตกตลอด กำลังรู้สึกเบื่อพอดี ตรงหน้าก็มีคนมาหาเรื่องถึงที่ จะไม่ขยับไม้ขยับมือได้อย่างไร
“ขนาดด่านของน้องสามข้าคนนี้ยังผ่านไปไม่ได้ อ่อนแอเกินไปแล้วจริงๆ ไม่มีใครสู้ได้สักคนเลยหรือ”
เจ้าคางคกก็เอ็ดตะโรสุดเสียง กลัวแต่ใต้หล้าจะไม่ยุ่งเหยิง
ใกล้ๆ กันผู้แข็งแกร่งบางส่วนมองหน้ากัน
“คนเถื่อนนั่นก็คือเจ้าคนที่ได้ศุภโชคสุสานจักรพรรดิในแดนโบราณหมื่นลักษณ์ไปครองผู้นั้นสินะ พลังต่อสู้น่ากลัวจริง เทียบกับคนทั่วไปไม่ได้เลย”
ไกลออกไปมีคนพูดคุยกันเสียงค่อย
“เด็กหนุ่มชุดเขียวนั่นก็ไม่ธรรมดาถึงที่สุด มีนามว่าจินตู๋อี เป็นลูกหลานเผ่าคางคกทองสามขา เคยได้รับมหาศุภโชค พลังต่อสู้ไม่ด้อยไปกว่าคนเถื่อนที่ชื่อว่าอาหลู่นั่น”
“น่าเสียดายมีสองคนนี้ขวางทางอยู่ ไม่ว่าใครหากต้องการพบเทพมารหลินนั่น เกรงว่าจะต้องผ่านด่านสองคนนี้ไปให้ได้ก่อน”
“ใช่แล้ว ในตอนนี้โลกภายนอกกำลังสันนิษฐานว่าเทพมารหลินกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ศักยภาพของเขาพัฒนาไปอีกหรือไม่ แต่จนตอนนี้ยังไม่มีใครได้เห็นเขาปรากฏตัว”
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ทันใดนั้นเสียงตะคอกเย็นเยียบราวน้ำแข็งเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเหนือเวิ้งฟ้า…
“หลินสวิน ออกมาสู้กันสักตั้ง!”
เสียงดั่งสายฟ้าฟาดสั่นสะเทือนฟ้าดิน เต็มไปด้วยไอสังหารน่าหวาดหวั่น ทำให้ทุกคน ณ ที่นั้นต่างตกตะลึงในใจ พากันเงยหน้าขึ้นไปมอง
ก็เห็นว่าเหนือเวิ้งฟ้าเงาร่างผอมบางร่างหนึ่งทะลุห้วงอากาศมา ดุจดั่งฟ้าคำรน เลือดลมคับฟ้า ยืนอยู่ตามสบายก็แผ่ซ่านอานุภาพอหังการ เหี้ยมเกรียมและดุดัน
ลูกหลานเผ่าวานรจมูกเชิด หยวนฝ่าเทียน!
ในที่นั้นพลันระส่ำระสาย หลายคนแววตาเป็นประกายแล้ว ในที่สุดก็มีคนร้ายกาจไร้เทียมทานมาระบุตัวจะประลองกับหลินสวิน!
“หือ? ไม่ถูก ยังมีราชันเผิงปีกทองน้อย เขาก็มาด้วย!”
ทันใดนั้นมีคนสังเกตเห็นว่าในขณะที่หยวนฝ่าเทียนมาถึง ยังมีเงาร่างอีกร่างหนึ่งปรากฏขึ้น
เขาสวมชุดทองทั้งตัว แววตาดั่งสุริยัน ประกายสีทองไหลวนโชติช่วง รูปลักษณ์ดูเหมือนธรรมดาสามัญ แต่กลับหยิ่งผยองราวโอหังเหนือสรรพสัตว์ เป็นราชันเผิงปีกทองน้อยนี่เอง
เพียงครู่เดียวที่แห่งนั้นยิ่งอึกทึกครึกโครม ไม่ว่าจะเป็นหยวนฝ่าเทียนหรือราชันเผิงปีกทองน้อย ก็เป็นถึงบุคคลชั้นยอดในหมู่สัตว์ประหลาดยุคโบราณ ในการช่วงชิงที่รังมังกรเจินหลง ทั้งสองล้วนสำแดงอานุภาพอัศจรรย์ ดึงดูดให้ผู้คนนับหมื่นจับตามอง พลังต่อสู้น่ากริ่งเกรงไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ
และตอนนี้พวกร้ายกาจชั้นยอดสองคนนี้ ถึงขั้นจับมือกันมาเยือนเขาฝนดาวตกด้วยกัน!
——
Related
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1302 ความแค้นในวันวาน
Posted by ? Views, Released on January 11, 2022
, Battling Records of the Chosen One
Type: Web Novel Author: Xiao Jinyu, 萧瑾瑜
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…
In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history.
In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing.
Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned.
Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?
Recommended Series
Comment
Facebook Comment