Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1309 ว่าด้วยการต่อสู้แห่งเก้าดินแดน

“ทั้งสองท่าน ในเมื่อมาแล้วไม่สู้มาดื่มเหล้าด้วยกันสักจอกเล่า”
หลินสวินหันหน้าไป สายตามองไปยังหยวนฝ่าเทียนกับราชันเผิงปีกทองน้อยที่อยู่ไกลออกไป
ราชันเผิงปีกทองน้อยอึ้งไป ลังเลอยู่บ้าง
“ไปสิ ทำไมจะไม่ไปล่ะ ข้าไม่กลัวว่าเขาหลินสวินจะล่อลวงอะไรหรอก!”
หยวนฝ่าเทียนส่งเสียงหึหยัน
“ก็ดี ไม่ว่าจะเป็นหลินสวินหรือเซ่าเฮ่าก็เป็นคนที่ข้าอยากพบเสียหน่อย”
ราชันเผิงปีกทองน้อยพยักหน้า
การทะเลาะวิวาทครั้งหนึ่งก็ปิดฉากลงเท่านี้
เหล่าคนที่ดูการต่อสู้อยู่ไกลออกไปต่างรับรู้ได้ว่า หลังจากศึกนี้ นามของเทพมารหลินจะต้องสะเทือนเลื่อนลั่นในแดนเก้าบนอีกแน่
และการ ‘ขอขมา’ ของเซ่าเฮ่า ก็ต้องเป็นเรื่องราวดีๆ เรื่องหนึ่งที่ทุกคนพูดคุยกันอย่างแข็งขัน
……
บนเขาฝนดาวตก มิตรสหายแขกเหรื่อเต็มโต๊ะ
หลินสวิน อาหลู่ เจ้าคางคก นกทมิฬ รวมถึงเซ่าเฮ่า หยวนฝ่าเทียน และราชันเผิงปีกทองน้อยต่างนั่งอยู่กับพื้น ร่ำสุราพูดคุย บรรยากาศกลมเกลียว
มีเพียงพวกหวั่นอิน ไป๋เฉียน เหยาหลี อวี๋ซีที่ต่างเงียบเชียบไม่พูดจา ก้มหน้าก้มตาดื่มเหล้า
การชุมนุมครั้งนี้มีความพ่ายแพ้อย่างน่าอดสูของพวกเขาเป็นเบื้องหลัง แต่ตอนนี้กลับนั่งอยู่ในที่เดียวกันกับคู่ต่อสู้อย่างหลินสวิน พวกเขาย่อมรู้สึกอึดอัดและเศร้าซึมผิดธรรมดา
“อีกไม่กี่เดือนศึกแดนมกุฎก็จะปิดฉากลง แต่มหายุคยังไม่จบลงเช่นนี้”
เซ่าเฮ่าวางจอกเหล้าลง เอ่ยทอดถอนใจว่า “ในช่วงหลายปีมานี้ไม่รู้ว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใดในดินแดนรกร้างโบราณ ตอนพวกเรากลับไปสถานการณ์ในใต้หล้าก็ไม่รู้จะนำโดยใคร”
ชั่วขณะนั้นทุกคนก็รู้สึกสะท้อนใจ
พอคำนวณเวลาดู พวกเขาได้เข้าสู่แดนมกุฎมาแปดปีกว่าแล้ว
ก่อนมาถึงพวกเขาต่างเป็นเพียงผู้ฝึกปราณที่มีพลังปราณในห้าระดับใหญ่ แต่ตอนนี้มองไปรอบด้าน ทุกที่นั่งล้วนเป็นมกุฎราชันผู้บรรลุระดับอมตะเคราะห์!
นี่ก็คือความเปลี่ยนแปลง!
หากไม่ได้เข้ามาในแดนมกุฎ พวกเขาย่อมไม่อาจมีการเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจในมรรคาเช่นนี้ภายในเวลาไม่กี่ปีสั้นๆ ได้
“มหายุคไม่เคยมีมาก่อน เจิดจรัสถึงที่สุด แต่การเปลี่ยนแปลงแห่งฟ้าดินเมื่อรุ่งเรืองถึงขีดสุดก็ย่อมเสื่อมถอย ใครก็ไม่อาจรับรองได้ว่าตอนมหายุคครั้งนี้ปิดฉากลง ใต้หล้าแห่งนี้จะเปลี่ยนไปเป็นเช่นไร”
ราชันเผิงปีกทองน้อยเอ่ยราบเรียบ “ผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเราไม่อาจควบคุมการแปรผันของฟ้าดินได้ ทำได้เพียงฝ่าอุปสรรคขึ้นไป เสาะแสวงการบรรลุที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก”
“ใช่แล้ว”
เซ่าเฮ่าเห็นด้วยอย่างยิ่ง จากนั้นเขาก็ลังเลเล็กน้อยแล้วพลันพูดขึ้นว่า “แต่ถ้าข้าคาดการณ์ไม่ผิด เมื่อพวกเราออกจากแดนมกุฎไป จะต้องประสบกับปัญหาร้ายแรงข้อหนึ่ง”
“นี่หมายความว่าอย่างไร”
ทุกคนต่างใจสั่นระรัว
“การต่อสู้แห่งเก้าดินแดน!”
ประโยคออกมาจากปากเซ่าเฮ่าเบาๆ
ชั่วขณะหนึ่งหลายคนหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ต่างเข้าใจได้กลายๆ แล้ว
ในยุคบรรพกาลก็เคยมีศัตรูแปดดินแดนมาเยือน หมายจะบุกรุกยึดครองดินแดนรกร้างโบราณ ทำลายสำนักในดินแดนรกร้างโบราณจนสิ้น
เรื่องนี้ถูกมองว่าเป็น ‘การต่อสู้แห่งเก้าดินแดน’!
ในอดีตกาลเคยมีการต่อสู้ยิ่งใหญ่ปะทุขึ้นหลายครั้งเพราะเหตุนี้ ภายใต้เคราะห์สังหารเช่นนั้น อริยะก็เหมือนต้นหญ้า สรรพสัตว์ทำได้เพียงไหลตามน้ำ!
อย่างดินแดนรกร้างโบราณ เดิมทีเป็นโลกที่เป็นปึกแผ่นสมบูรณ์แห่งหนึ่ง แต่เพราะมหาเคราะห์อย่างการบุกรุกของแปดดินแดนครั้งหนึ่ง จึงถูกตีให้แยกออกเป็นแดนวิภูทั้งสี่คือชัยบูรพา ฐิติประจิม กาฬทักษิณและดาราอุดร
แม่น้ำพรมแดนที่กระจายอยู่ระหว่างสี่แดนวิภูนั้น ก็คือรอยแผลที่ดินแดนรกร้างโบราณเหลือทิ้งไว้ระหว่างสงคราม!
“ตอนนี้ดินแดนรกร้างโบราณเกิดมหายุคพอดี ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งโลกมีเพียงที่เดียว ผู้แข็งแกร่งจากแปดดินแดนอื่นย่อมไม่อาจมองดูดินแดนรกร้างโบราณผงาดขึ้นเช่นนี้แน่”
เซ่าเฮ่าแววตาลุ่มลึก “นี่เป็นแค้นเลือดระหว่างดินแดนใหญ่ด้วยกัน ผูกแค้นมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล หากไม่ใช่ในสมัยปฐมกาลมีเหล่าเมธีสละเลือดเนื้อต้านทานอย่างเต็มที่ ตีศัตรูภายนอกจากแปดดินแดนให้แตกพ่ายไป เกรงว่าดินแดนรกร้างโบราณในตอนนี้คงตกเป็นเชลย ถูกแปดดินแดนอื่นปกครองไปนานแล้ว”
ชั่วขณะนั้นทุกคนต่างรู้สึกอึมครึม
เรื่องเหล่านี้พวกเขาต่างรู้มาไม่มากก็น้อย แม้ไม่เคยประสบด้วยตัวเอง แต่ขอเพียงคิดดูก็จะรู้ว่าหากเกิดสงครามทำนองนี้ขึ้นจริง ดินแดนรกร้างโบราณต้องตกอยู่ในความโกลาหลใหญ่ยิ่งแน่!
“ใต้แม่น้ำพรมแดนมีศพของศัตรูฝังไว้อยู่ และยังฝังวิญญาณวีรชนของเมธีนับไม่ถ้วนแห่งดินแดนรกร้างโบราณของข้าด้วย!”
“ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ยักษ์ใหญ่เทียมฟ้า ผู้กล้าเหนือโลกาไม่รู้เท่าไร มาสิ้นชีพกลางฟ้าดินเพื่อต้านทานศัตรูภายนอก”
“และตอนนี้เรื่องทำนองนี้อาจจะเกิดขึ้นอีก สำหรับดินแดนรกร้างโบราณและสิ่งมีชีวิตในใต้หล้าแล้ว จะต้องมาพร้อมกับมหาพิบัตินองเลือดครั้งหนึ่งแน่”
“ภายใต้มหาพิบัติ จะมีคนปลอดภัยไม่บุบสลายได้หรือ”
“ทุกท่าน เรื่องที่ข้าพูดวันนี้อย่าตีตนไปก่อนไข้เด็ดขาด เพียงแค่อยากจะเตือนทุกท่านว่าการชิงชัยในแดนมกุฎสุดท้ายก็เป็นเรื่องระหว่างคนรุ่นเรา แต่เรื่องที่เกี่ยวโยงกับมหาพิบัติของการต่อสู้แห่งเก้าดินแดน ใครก็ไม่อาจรักษาตัวรอดตามลำพังได้!”
เซ่าเฮ่าพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็เจือจิตพิฆาตกึกก้องอย่างห้ามไม่อยู่ “ความปรารถนาเดียวของข้าก็คือยึดกุมมหามรรคของข้าฝ่าขึ้นไปเก้าชั้นฟ้า ฟาดฟันศัตรูภายนอกให้สิ้นซาก!”
พลานุภาพน่าหวาดหวั่นตลบอบอวลออกมาจากเงาร่างสง่าผ่าเผยนั้นของเซ่าเฮ่า ทำให้สภาพอากาศแปรผัน ทุกคนในที่นั้นต่างตกตะลึง
เซ่าเฮ่าในตอนนี้จึงจะสำแดงความสง่างามของผู้ได้อันดับหนึ่งบนกระดานทองคำผู้กล้า ทำให้หลินสวินอดหวั่นใจไม่ได้
“ให้ทุกท่านเห็นเรื่องน่าขันเสียแล้ว”
เซ่าเฮ่าคล้ายรับรู้ได้ว่าเสียอาการ พลันเก็บงำกลิ่นอายทั้งร่างกายแล้วเอ่ยว่า “พูดอย่างไม่ปิดบัง สมัยบรรพกาลผู้แข็งแกร่งเผ่าจักรพรรดิเร้นดาราของข้าก็พินาศลงด้วยน้ำมือของศัตรูจากแปดดินแดนอื่น”
“ยังมีไป๋เฉียน อวี๋ซี สองพี่น้องเหยียนซานและเหยียนไห่ เผ่าที่พวกเขาแต่ละคนอยู่ก็ถูกโจมตีจนแทบพังพินาศระหว่างการต่อสู้ป้องกันศัตรูภายนอก”
“พวกเขาก็เหมือนกับข้า ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งจะต้องทวงแค้นนี้ และสลายความชิงชังนี้ให้ได้!”
เมื่อพูดคำนี้ออกมา พวกไป๋เฉียนต่างแสดงสีหน้าเจ็บปวด ความรู้สึกในใจปั่นป่วน
ส่วนพวกหลินสวินก็เข้าใจในที่สุด ว่าเหตุใดพวกไป๋เฉียนถึงรวมตัวอยู่ข้างกายเซ่าเฮ่า
เพราะพวกเขามีเป้าหมายร่วมกัน ศัตรูคู่แค้นเดียวกัน!
“ถ้ามีวันนั้นเข้าจริง พี่หลินคิดจะทำเช่นไร”
เซ่าเฮ่าพลันเอ่ยถาม สายตามองมายังหลินสวิน
“ข้าย่อมไม่นั่งรอความตายแน่”
หลินสวินเปรย ยิ่งมีความสามารถมากเท่าไร ก็ยิ่งทำเรื่องยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น
ตอนนี้เขายังไม่มีความสามารถไปคิดถึงใต้หล้า ช่วยเหลือสรรพชีวิต ย่อมไม่อาจพูดเกินจริงไปได้
พูดถึงตรงนี้หลินสวินก็นึกถึงปัญหาหนึ่งออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ “เหตุใดถึงเป็นแปดดินแดนมาบุกรุกตลอด แต่กลับไม่เคยมีผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณออกตัวจู่โจมก่อนล่ะ”
มุมปากเซ่าเฮ่าปรากฏแววจนใจ เอ่ยว่า “เหตุผลก็ง่ายนัก ในบรรดาเก้าดินแดนใหญ่ ดินแดนรกร้างโบราณยากจนและตกต่ำที่สุด ดูเหมือนมีสำนักมากมายนับไม่ถ้วน แต่ความจริงแล้วรากฐานด้อยกว่าดินแดนอื่นในแปดดินแดนไปไกล”
นี่ก็คือความเป็นจริง!
หากอ่อนแอก็จะถูกเล่นงาน
ตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน มีหรือที่ยักษ์ใหญ่เมธีนับไม่ถ้วนจะไม่เคยคิดไปโจมตีแปดดินแดนอื่นเพื่อแก้แค้นล้างอาย
สาเหตุที่ไม่เคยสำเร็จก็เพราะ ยากเกินไป!
“เคยได้ยินว่าในแปดดินแดนอื่นไม่ได้มีพันธนาการของพลังฟ้าดินใดๆ คิดจะบรรลุขอบเขตมกุฎในมรรคาเดิมก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญในการฝึกปราณ แต่สำหรับพวกเราดินแดนรกร้างโบราณแล้ว กลับทำให้เป็นจริงได้ในมหายุคตอนนี้เท่านั้น”
ราชันเผิงปีกทองน้อยก็ทอดถอนใจ
ประโยคเดียวทำให้พวกหลินสวินหน้าเปลี่ยนสี แทบไม่กล้าเชื่อ
ขอบเขตมกุฎยากเข็ญปานไหน พวกเขารู้ดีกว่าใคร!
แต่ตอนนี้ดันบอกว่าในอีกแปดดินแดน การสำเร็จขอบเขตมกุฎเป็นเพียงเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง นี่จะไม่ทำให้ใครตกใจได้อย่างไร
“ดินแดนรกร้างโบราณถูกขนานนามว่า ‘ดินแดนมรรคทอดทิ้ง’ ย่อมมีเหตุผล”
เซ่าเฮ่าเอ่ยปาก พูดเรื่องในอดีตออกมา
“ตามที่ร่ำลือกัน ในเก้าดินแดนยุคต้นบรรพกาล ดินแดนที่แข็งแกร่งที่สุดเดิมทีคือดินแดนรกร้างโบราณ แต่ภายหลังเพราะการต่อสู้มหามรรคที่แผ่ขยายไปในเก้าดินแดนครั้งหนึ่ง ทำให้ดินแดนรกร้างโบราณสูญเสียบ่อเกิดแรกกำเนิด ตั้งแต่นั้นมาระเบียบฟ้าดินบกพร่อง โชควาสนาชะตาฟ้าดินของดินแดนรกร้างโบราณก็ค่อยๆ อ่อนแอลงไปด้วย…”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ หลินสวินก็นึกขึ้นได้ว่าหญิงสาวลึกลับที่อยู่ในประตูสวรรค์ผู้นั้นก็เคยกล่าวไว้ว่า ในยุคปฐมกาลดินแดนรกร้างโบราณเคยงดงามเจิดจรัสหาใดเทียบมาก่อน มีตำแหน่งสูงสุดในเก้าดินแดน ผงาดผยองเหนือเทพธรรมบาล มีช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ถึงขีดสุดช่วงหนึ่ง!
เพียงแต่ดินแดนรกร้างโบราณตกต่ำลงอย่างไรกันแน่นั้น กลับเป็นปริศนาราวกับสิ่งต้องห้ามชิ้นหนึ่ง จวบจนตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้
“ทุกท่าน หลายปีมานี้คิดว่าคงล้วนได้รับศุภโชคกับมรดกมาไม่น้อย แต่ทุกท่านสังเกตหรือไม่ว่าสถานที่ที่มีศุภโชคและมรดกเหล่านั้น ล้วนเป็นที่ที่บุคคลเทียมฟ้าผู้โดดเด่นสะดุดตาถึงที่สุดในยุคบรรพกาลบางส่วนเหลือไว้ให้”
เมื่อเซ่าเฮ่าพูดเช่นนี้ออกมา ทุกคนก็เห็นด้วยในทันใด
หลินสวินก็สังเกตมานานแล้วว่า ตั้งแต่เซียนผลาญเฉินหลินคง มาจนจักรพรรดิสงครามอู๋ยางแห่งเขตต้องห้ามแม่น้ำนรก และยังอริยพุทธซิงเจียที่อยู่ในแดนธรรมสถูป ต่างเรียกได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่แห่งยุคสมัยหนึ่ง เป็นยักษ์ใหญ่ผู้มีอำนาจเทียมฟ้า!
“เมธีเหล่านี้ร่วมมือกันสร้างแดนมกุฎแห่งนี้ขึ้น หลังจากทิ้งมรดกสืบทอดไว้ก็ไปยังสถานที่เดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย”
“นั่นก็คือทางเดินโบราณฟ้าดารา!”
เซ่าเฮ่าพูดความลับสะท้านโลกอย่างหนึ่งออกมา “เพราะเมธีเหล่านี้คิดว่า ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นสู่จุดสูงสุดของมหามรรคหรือเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของดินแดนรกร้างโบราณในเก้าดินแดน มีเพียงในทางเดินโบราณฟ้าดาราจึงจะสามารถเสาะหาวิธีแก้ไขได้!”
ชั่วขณะเดียวทุกคนทั้งที่นั้นต่างตื่นตะลึง
ความลับนี้ พวกเขาล้วนเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
“แน่นอนว่าตอนนี้เรื่องเหล่านี้ล้วนไกลตัวพวกเราอยู่บ้าง ต่อให้การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนปะทุขึ้นเต็มรูปแบบ อย่างน้อยก็ต้องเกิดขึ้นในอีกหลายปีหลังจากนี้ คนรุ่นเรา สิ่งที่ต้องทำก็คือมุมานะขัดเกลา เสาะแสวงหาระดับที่สูงยิ่งขึ้นในเส้นทางมหามรรค”
เซ่าเฮ่าเอ่ย “มีเพียงทำเช่นนี้ถึงมีความสามารถต่อต้านและคลี่คลายยามมหาพิบัติมาเยือน”
หลินสวินเอ่ยถาม “เช่นนั้นตามที่พี่เซ่าเฮ่าคิด การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนจะปะทุขึ้นเมื่อไร”
“อย่างมากก็ไม่เกินร้อยปี”
เซ่าเฮ่าเอ่ยพึมพำ “ถึงขั้นว่าจะปะทุขึ้นก่อน ความจริงแล้วคิดจะระบุเวลาการมาเยือนของเรื่องนี้ง่ายดายมาก ยาม ‘สมรภูมิเก้าดินแดน’ เปิดขึ้นอีกครั้ง ก็เป็นเค้าลางอย่างหนึ่ง”
จู่ๆ หลินสวินก็นึกขึ้นได้ ตอนเข้าแข่งขัน ‘กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์’ ที่เขาไร้มรณะ ‘ข้ารับใช้วิญญาณ’ ที่พิทักษ์เขาไร้มรณะก็เคยพูดไว้ว่า บนเขาไร้มรณะแห่งนั้นก็มีทางผ่านไปยัง ‘สมรภูมิเก้าดินแดน’ สายหนึ่ง!
ชั่วขณะนั้นความคิดของหลินสวินก็โลดแล่นไป
การต่อสู้แห่งเก้าดินแดน!
คำถามข้อนี้ภายหลังต้องใส่ใจอย่างจริงจังแล้ว ภายใต้มหันตภัยเช่นนี้จะมีคนปลอดภัยไม่บุบสลายได้หรือ ใครจะกล้าละเลย
“พี่หลิน ขอบคุณที่ดูแลอย่างดี”
หลังจากงานเลี้ยงจบลง เซ่าเฮ่าก็ลุกขึ้นพาพวกหวั่นอิน ไป๋เฉียนบอกลาจากไป
หลินสวินมองส่งพวกเขาจากไป ในใจทอดถอนใจอย่างห้ามไม่อยู่ เซ่าเฮ่าคนนี้ไม่เหมือนบุคคลขอบเขตมกุฎคนอื่นจริงๆ
สิ่งที่คนผู้นี้เสาะหา ไม่ใช่การชิงชัยในช่วงเวลาหนึ่งนานแล้ว แต่จับจ้องไปยังสงครามเก้าดินแดนที่จะต้องเกิดขึ้นในภายภาคหน้า!
ไม่นานนักหลินสวินก็เก็บงำความรู้สึก หันกายกลับไป
เขายังมีเรื่องหนึ่งต้องทำ
——
Related

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset