Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1312 ยอดมรดก อริยะนำพา

ผ่านไปอีกเจ็ดวัน
การฝึกหลอมกายของหลินสวินทะลวงระดับอีกครั้ง บรรลุถึงระดับมหาสมุทรวิญญาณ
ร่างกายเขาหลอมตีกลายเป็นกายศึกยอดพิสุทธิ์ ครองวิชาต่อสู้ ‘หัตถ์ผลาญนภายอดพิสุทธิ์’
และหลังจากนั้นสิบวัน
การฝึกหลอมกายของหลินสวินก็ทะลวงระดับอีกครั้ง บรรลุถึงระดับหยั่งสัจจะ
ร่างกายเขาเคี่ยวกรำเป็นกายศึกวิญญาณพิสุทธิ์ ครองวิชาต่อสู้ ‘แปดภาคีวิญญาณพิสุทธิ์’
…ได้เห็นการเลื่อนขั้นแต่ละครั้งนี้กับตา ไม่ว่าจะเป็นอาหลู่ที่มีระดับความรู้อันลึกซึ้งบนวิถีหลอมกาย หรือนกทมิฬและเจ้าคางคกต่างก็ทำท่าราวกับเห็นผี
ถึงขั้นเริ่มเป็นห่วงว่าความเร็วในการเลื่อนขั้นที่รุดหน้าเช่นนี้ จะทำให้รากฐานบนวิถีหลอมกายของหลินสวินไม่มั่นคงหรือไม่
ถึงอย่างไรถ้าทำเลยเถิดก็ไม่เหมาะควร การเลื่อนระดับเร็วเกินไป หากรากฐานไม่มั่นคงก็เหมือนสร้างวิมานในอากาศ พังทลายได้โดยง่าย!
“พี่ใหญ่ รีบหยุดเร็วเข้า!”
ในที่สุดอาหลู่ก็อดกล่าวเตือนหลินสวินไม่ได้ เผยความกังวลของตนออกมา
หลินสวินชะงักไปค่อยกล่าว “มิสู้พวกเรามาต่อสู้แลกเปลี่ยนความรู้กันสักรอบ ใช้การกระทำมายืนยันพิสูจน์เป็นอย่างไร”
“ก็ดี”
อาหลู่รับคำ เขาสูดหายใจลึก ข่มปราณและพลังของตนลงมาสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณ จากนั้นก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมแล้วกล่าว “พี่ใหญ่ เจ้าต้องระวังตัวแล้ว”
บนวิถีหลอมกายเขามีความเชื่อมั่นและพลังหาใดเปรียบ ถึงขั้นแอบกล่าวเตือนตัวเองว่าต้องเก็บงำพลังไว้บางส่วน ไม่อาจทำให้พี่ใหญ่แพ้จนไม่น่าดูเกินไป ถ้าอีกฝ่ายพาลโกรธขึ้นมา ถึงตอนท้ายคนที่จะโดนลงโทษคงได้เป็นตนแน่…
“อาหลู่ อัดเขาเลย ซัดเขาให้คว่ำ แล้วเจ้าจะได้เป็นลูกพี่!”
“หึๆๆๆ ข้ากลับอยากลองดูว่าหลินสวินจะถูกอัดจนกลายเป็นอย่างไร”
เจ้าคางคกและนกทมิฬกลัวฟ้าดินไม่วุ่นวายพอ มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
ไม่นานการต่อสู้ก็ปะทุขึ้น หลินสวินใช้พลังหลอมกายระดับมหาสมุทรวิญญาณลงมือเช่นกัน
เห็นแค่ร่างกายเขามีแสงสว่างดุจภาพมายาชั้นหนึ่งแผ่ออกมาราวหล่อจากเนื้อหยก เลือดลมภายในร่างพลุ่งพล่านดังฟ้าคำรามครั่นครืนไม่หยุด
ตูม!
ประทับฝ่ามือหนึ่งควบรวมกัน แวววาวเปล่งประกาย สาดแสงราวหินหยกหลากสีกลางอากาศ ส่งเสียงวายุอสนีบาตดังกระหึ่ม
หัตถ์ผลาญนภายอดพิสุทธิ์!
“เริ่มได้ดี!”
อาหลู่ตะโกนลั่น อานุภาพดั่งหมื่นลักษณ์ ห้อทะยานขึ้นไปรับ เลือดลมพวยพุ่งจากร่างกำยำดุจภูผาของเขาประหนึ่งควันไฟ
ทั้งสองปะทะกัน ห้วงอากาศแถบนั้นสั่นสะเทือนไปพักหนึ่ง
ตึงๆๆ!
ภายใต้การจับจ้องด้วยสายตาตื่นตะลึงของเจ้าคางคกและนกทมิฬ ในการโจมตีนี้อาหลู่ไม่ได้เปรียบแม้แต่น้อย กลับถอยหลังไปหลายก้าวเหมือนกับหลินสวิน
“นี่…”
อาหลู่ก็ตกตะลึงเช่นกัน จากนั้นก็สูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่งกล่าว “มาอีก!”
หลินสวินยิ้มน้อยๆ จิตต่อสู้ในนัยน์ตาฮึกเหิม พุ่งทะยานขึ้นไป
ตู้ม!
เพียงพริบตาในห้วงอากาศนั้นก็เหมือนมีภูเขาใหญ่สองลูกปะทะกัน อานุภาพน่าตระหนก
เมื่อมองดูอย่างละเอียดร่างของหลินสวินส่องประกาย ยามผิวหนังขยายออกจะราวกับทำจากหินหยกหลากสีที่เจิดจรัส แผ่พลังเลือดลมชวนประหวั่นออกมา
ส่วนร่างของอาหลู่กลับประหนึ่งเหล็กเทพร้อยหลอม ส่งเสียงอึงอลกึกก้อง ดุดันดั่งหมื่นลักษณ์มาเยือน กล่าวถึงอานุภาพต่างมีจุดเด่นของตัวเอง
สิ่งที่ทำให้เจ้าคางคกและนกทมิฬรับไม่ได้ที่สุดคือ ต่อสู้มาถึงตอนนี้ อาหลู่ผู้คร่ำหวอดในวิถีหลอมกายคนนี้กลับไม่ได้เปรียบแม้แต่น้อย
“อาหลู่ เจ้าห่วงว่าพี่ใหญ่จะคิดบัญชีทีหลังรึ รีบใช้พลังที่แท้จริงของเจ้าเร็วเข้า!”
เจ้าคางคกไม่พอใจยิ่ง คิดว่าอาหลู่จงใจยั้งมือแล้ว
“เป็นลูกผู้ชายก็ใช้พลังที่ตนถนัดที่สุดตอกกลับหลินสวินให้คว่ำซิ!”
นกทมิฬก็ตะโกนโหวกเหวก
สีหน้าอาหลู่พลันปรวนแปรไม่หยุด คับข้องใจหาใดเปรียบ ตอนแรกเขายั้งมือจริงๆ ด้วยห่วงว่าจะซัดหลินสวินจนน่าอักอ่วนเกินไป
แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ยั้งมือแม้แต่น้อย โคจรพลังของระดับมหาสมุทรวิญญาณถึงขีดสุดแล้ว!
ตูม!
หลินสวินยิ่งสู้ยิ่งสะใจ วิธีต่อสู้ของผู้หลอมกายนั้นเรียบง่ายตรงไปตรงมา ทั้งยังเผด็จการหาใดเปรียบ ใช้พลังกำราบทุกชั้นเชิง
ไม่ว่าเจ้าจะมีวิชาอัศจรรย์นับพันมีเวทนับหมื่น ข้าก็สามารถถล่มมันในคราเดียว!
เมื่อสู้ต่อก็ยิ่งทำให้หลินสวินเริ่มชอบความรู้สึกนี้
“ไม่สู้แล้ว!”
อาหลู่กระโดดออกจากการต่อสู้ทันใด กระหืดกระหอบในใจห่อเหี่ยว
บนวิถีหลอมกาย ถึงกับยืดเยื้อกำราบมือใหม่อย่างหลินสวินไม่ได้เสียที นี่ทำให้อาหลู่รู้สึกเหมือนโดนจู่โจมหนัก
“เจ้าคงไม่ได้จงใจต่อให้กระมัง” เจ้าคางคกและนกทมิฬเคลือบแคลงสงสัย
อาหลู่กล่าวไม่สบอารมณ์ “พวกเจ้าจะไปรู้อะไร! หรือตอนนี้ยังดูไม่ออกว่าพี่ใหญ่เป็นอัจฉริยะหลอมกายที่เหนือกว่าหนึ่งในหมื่น นับแต่โบราณมายากจะได้เห็นแล้ว”
เจ้าคางคกและนกทมิฬถ่มน้ำลายใส่อย่างพร้อมเพรียง หน้าด้านเกินไปแล้ว เจ้าคนเถื่อนนี่เพื่อเอาใจหลินสวิน ไม่เพียงเก็บซ่อนพลังยังฉวยโอกาสประจบสอพลอด้วย
หน้าผากอาหลู่พลันมืดทะมึน หมดคำพูดอย่างสมบูรณ์ สาบานต่อฟ้าเลยว่าความในใจทุกประโยคที่เขาพูดไม่โป้ปดแม้แต่น้อย!
เมื่อประมือกับหลินสวินเข้าจริงๆ เขาก็สรุปได้ชัดว่าความเร็วในการเลื่อนขั้นไม่ส่งผลต่อรากฐานหลอมกายของหลินสวินเลย
ถึงขั้นที่กล่าวถึงความแข็งแกร่งของรากฐานหลอมกาย เทียบกับตนที่อยู่ระดับเดียวกันในปีนั้นแล้วก็ไม่ด้อยไปกว่ากันแม้แต่น้อย!
หากนี่ไม่ใช่อัจฉริยะหลอมกายแล้วจะเป็นอะไรได้อีก
น่าเสียดาย เจ้าคางคกและนกทมิฬล้วนไม่เชื่อ ในที่สุดนี่ก็ทำให้อาหลู่เข้าใจประโยคหนึ่ง แมลงฤดูร้อนไม่อาจพูดถึงน้ำแข็ง!

ผ่านไปยี่สิบวัน
การฝึกหลอมกายของหลินสวินทะลวงระดับกระบวนแปรจุติ
ร่างกายเขาเปลี่ยนเป็นกายศึกแรกพิสุทธิ์ ครองวิชาต่อสู้ ‘เก้าพญาแรกพิสุทธิ์’
ถึงตอนนี้แม้แต่เจ้าคางคกและนกทมิฬก็นิ่งอึ้งตะลึงงัน
ตั้งแต่ต้นจนจบเป็นเวลาหนึ่งเดือนกับอีกสิบวัน จากผู้หลอมกายมือใหม่คนหนึ่ง หลินสวินกลับก้าวเข้าสู่ระดับกระบวนแปรจุติได้ในคราเดียว!
หากไม่เห็นด้วยตาตนเอง พวกเขาคงไม่กล้าเชื่อ
ช่างสะเทือนใต้หล้าเกินไปแล้ว ความเร็วในการเลื่อนขั้นเช่นนี้ทำให้ทั้งคู่ต่างตะโกนพร้อมกันว่าปีศาจ
“ข้าสงสัยนักว่าตั้งแต่เริ่มฝึกปราณพี่ใหญ่ก็เลือกสายผิด ด้วยพรสวรรค์ของเขา หากหลอมกายตั้งแต่แรก บนโลกนี้คงมีปีศาจหลอมกายที่น่ากลัวยิ่งเพิ่มอีกคนแน่!”
อาหลู่ตะลึงงัน
เขาก็ยากเข้าใจและตกตะลึงมากเช่นกัน
แต่สำหรับหลินสวินการฝึกหลอมกายหนึ่งเดือนกว่านี้เหมือนประสบการณ์อัศจรรย์อย่างหนึ่ง
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหลังฝึกเคล็ดวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์ พลังกายของตนก็เหมือนได้การยอมรับ ได้รับการชำระล้างและยกระดับอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีการหยุดชะงักหรืออุปสรรคแม้แต่น้อย ผ่านไปได้อย่างราบรื่น ปราศจากกังวลหาใดเปรียบ!
ความรู้สึกนั้นช่างเหมือนว่าตนเหมาะกับการหลอมกายมาแต่กำเนิด
สิ่งที่ทำให้ตัวหลินสวินไหวหวั่นที่สุดคือ ในขั้นตอนหลอมกาย ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดของเขาถึงกับไหลเวียนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แผ่คลื่นประหลาดหลายสายออกมาแทรกซึมเลือดลมทั่วร่างตลอดเวลา
‘หรือการตื่นของชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิด ความจริงแล้วมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับการหลอมกาย’
หลินสวินไม่อาจไม่แคลงใจในจุดนี้
หลังจากชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดเกิดใหม่ก็เคยตื่นขึ้นหลายครั้ง ในการฝึกปราณที่ผ่านมาได้ช่วยหลินสวินไว้มาก
แต่กลับไม่มีสักครั้งที่เปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาและแคล่วคล่องเหมือนการหลอมกายคราวนี้!
การค้นพบที่คาดไม่ถึงนี้ทำให้หลินสวินดีใจยิ่งกว่าเดิม การหลอมกายครั้งนี้คือสิ่งถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้เขามีความเข้าใจในพรสวรรค์ของตนขึ้นไปอีกขั้น
“พี่ใหญ่ เจ้าสามารถใช้ศิลาโบราณหมื่นลักษณ์มาหลอมกายได้แล้ว”
อาหลู่สีหน้าทอดถอนใจ “ในศิลานี้สลักภาพยุทธ์หลอมกายหมื่นลักษณ์ไว้หกสิบสี่ภาพ ซ่อนใจความและประสบการณ์หลอมกายชั่วชีวิตของจักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพ…”
เขาเริ่มการชี้แนะ
หลินสวินตั้งใจฟัง ในที่สุดก็รู้ชัดว่าศิลาโบราณหมื่นลักษณ์นี้ก็เหมือนลานฝึกแห่งหนึ่ง ภายในมีการเคี่ยวกรำและบททดสอบมากมาย
มีเพียงต้องผ่านการทดสอบที่เคี่ยวกรำแต่ละครั้งไปให้ได้ จึงจะได้รับประสบการณ์และใจความที่จักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพเหลือไว้!
นี่ต้องเป็นศุภโชคที่หาได้ยากแน่นอน
ตอนนั้นสาเหตุที่หลินสวินเริ่มพิจารณาเรื่องการหลอมกาย จะมากจะน้อยก็ด้วยใจเต้นกับปริศนาในศิลาโบราณหมื่นลักษณ์อยู่บ้าง
“เริ่มกันเถอะ!”
หลินสวินสูดหายใจลึก เหลือบสายตาไปยังศิลาโบราณหมื่นลักษณ์นั่น

ขณะเดียวกันในแดนเก้าบน ข่าวสะเทือนใต้หล้าหนึ่งแพร่สะพัดออกไปดุจลมกาฬวาต
“ผู้ที่เคยก้าวขึ้นไปอยู่ในกระดานทองคำผู้กล้า ไม่ว่าตอนนี้รายชื่อจะอยู่บนกระดานหรือไม่ ล้วนมีโอกาสเข้าสู่ ‘แดนยอดมรดก’ ก่อนที่แดนมกุฎจะปิดฉากทั้งสิ้น!”
“ในแดนยอดมรดกมี ‘อริยะนำพา’ ที่เกี่ยวข้องกับปริศนาแห่งมกุฎบรรลุอริยะซ่อนอยู่!”
“มีเพียงยอดมกุฎอันดับหนึ่งบนมรรคาอมตะที่จะได้อริยะนำพาไป!”
ทันทีที่ความลับนี้แพร่ออกไป แดนเก้าบนก็ตกอยู่ในความตะลึง ชักนำมาซึ่งความปั่นป่วนโกลาหล บุคคลร้ายกาจไม่รู้เท่าไรพากันจับจ้องไปบนกระดานทองคำผู้กล้า
ตอนนี้ทุกคนถึงได้รู้ว่า การมีอยู่ของกระดานทองคำผู้กล้าไม่ใช่แค่การแก่งแย่งอันดับรายชื่อธรรมดา หากแต่เป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง!
มีเพียงคนที่เคยฝากชื่อไว้บนกระดานจึงจะมีสิทธิ์เข้าไปในแดนยอดมรดกนั่น ไปช่วงชิง ‘อริยะนำพา’ ปริศนาแห่งมกุฎบรรลุอริยะ!
“ตอนนี้ก่อนแดนมกุฎจะปิดฉาก ดูเหมือนจะเหลือเวลาแค่สามเดือนแล้ว หากคาดเดาตามนี้ก็เป็นไปได้มากว่าแดนยอดมรดกจะปรากฏในช่วงนี้”
ผู้แข็งแกร่งมากมายรับรู้ได้ว่าการต่อสู้แห่งยุคที่แท้จริงกำลังจะเปิดฉากแล้ว
เพียงพริบตาหน้าศิลาศึกทุกแห่งในแดนเก้าบนก็เปลี่ยนเป็นคึกคักหาใดเปรียบ ดึงดูดผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนให้มุ่งหน้ามา
บุคคลร้ายกาจบางส่วนที่ไม่เคยก้าวขึ้นไปบนกระดานทองคำผู้กล้า แต่พลังต่อสู้กลับแข็งแกร่งอย่างยิ่งปรากฏตัวในเวลาต่อมา พาให้เกิดเสียงฮือฮาและตกตะลึงไม่น้อย
ใครก็คิดไม่ถึงว่า ในที่ลับยังมีบุคคลร้ายกาจชั้นยอดมากเช่นนี้ที่ไม่เคยก้าวขึ้นไปอยู่ในกระดานทองคำผู้กล้า
แดนวารีอุดร
ในส่วนลึกของมหาสมุทรสีดำแถบหนึ่งมีเกาะร้างอยู่เกาะหนึ่ง
วันนี้ปราณกระบี่จ้าตาหาใดเปรียบสายหนึ่งทะลวงขึ้นเหนือเมฆจากเกาะร้างโดยพลัน ทำให้เวิ้งฟ้าที่นั่นถูกตัดขาด สั่นสะเทือนทั่วสารทิศ
สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนเป็นมืดสลัวหม่นแสงภายใต้ปราณกระบี่สายนี้!
น้ำทะเลในรัศมีพันลี้ต่างพลุ่งพล่านสนั่นหวั่นไหว
สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าเจตกระบี่ไร้รูปที่ราวระลอกคลื่นลอนหนึ่งแผ่กระจายออกมาจากเกาะร้าง บีบกดจนน่านสมุทรพันลี้ม้วนซัดไม่หยุดประหนึ่งก้มหัวยอมสวามิภักดิ์
บนเกาะร้าง อวิ๋นชิ่งไป๋ลืมตาออกจากสมาธิ
พริบตานั้นเสมือนมีน้ำวนลึกล้ำยากหยั่งถึงปรากฏออกมาจากตาเขา แสงกระบี่ที่ราวรัศมีสายฟ้าถักทอพลุ่งพล่านอยู่ภายใน ราวกับสามารถมองทะลุอสสาร แล่เฉือนม้วนกลืนจิตวิญญาณของผู้คน!
และทั่วร่างเขาก็มีเจตกระบี่น่าพรั่นพรึงที่มองไม่เห็นวนเวียนอยู่ ขับเน้นให้เงาร่างดุจเซียนกระบี่ไร้เทียมทานคนหนึ่ง มีคมปลายที่ไม่อาจทัดเทียม
“ผ่านมาหลายปี ในแดนเก้าบนคงลืมการมีอยู่ของข้าอวิ๋นชิ่งไป๋แล้วกระมัง…”
อวิ๋นชิ่งไป๋ลุกขึ้นช้าๆ อานุภาพทั่วร่างซึมซาบหายไปราวกระแสน้ำ ทำให้เงาร่างเขาดูเรียบง่าย ลุ่มลึก ไม่มีกลิ่นอายผลาญเผา
“หลินสวิน ครั้งนี้ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ฟุ่บ!
เวลาต่อมา บนเกาะร้างไม่มีร่องรอยของอวิ๋นชิ่งไป๋แล้ว
วันนี้หลังจากผ่านมาหลายปี อวิ๋นชิ่งไป๋ได้ออกจากแดนจำศีลปรากฏตัวบนโลกอีกครั้ง
…………
Related

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset