Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1329 ผู้ชำนาญการรบ ย่อมไม่ออกแรงโดยใช่เหตุ

ซางเทียนเกอชนะสิบครั้งติด ถอยออกจากสนามประลองชั้นยอดแล้ว
ทันใดนั้นจู่ๆ บรรยากาศในที่นั้นก็ละเอียดอ่อนขึ้นมา ทุกสายตาล้วนมองมาทางหลินสวินโดยมิได้นัดหมาย
อีกเพียงไม่กี่ชั่วยามก็จะสิ้นสุดการแข่งขันรอบแรกแล้ว แต่หลินสวินกลับปรากฏตัว ตอนนี้ใครจะกล้าเข้าสู่สนามประลองโดยพลการ
หากเจอหลินสวินเข้าจะทำอย่างไร
สามวันมานี้บุคคลชั้นนำอย่างพวกองค์ชายเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่ ต่างชนะสิบครั้งติดไปนานแล้ว กำลังหยั่งรู้มรดกอยู่ตรงหน้ารูปปั้นหินโบราณนั่น
นี่ก็หมายความว่า บริเวณรอบๆ สนามประลองชั้นยอดในตอนนี้ ตัวตนของหลินสวินเพียงพอจะกดลมหายใจของทุกคน
“เจ้าไปเข้าร่วมหรือไม่”
หลินสวินมองไปที่จ้าวจิ่งเซวียน
“ข้าไม่ร่วมแล้วล่ะ”
จ้าวจิ่งเซวียนรู้ตัวดี แม้ในหลายปีที่ผ่านมานางจะสั่งสมมรรควิถีที่หนาแน่นไร้ที่เปรียบ แต่ระดับยังคงอยู่ในอมตะเคราะห์ด่านสอง พลังต่อสู้ที่สามารถสำแดงออกมาได้มีจำกัด
แม้ก้าวสู่สนามประลอง ก็แทบไม่มีความหวังที่จะชนะต่อเนื่องสิบครั้ง
“เจ้ารีบไปเถอะ ขืนยื้อเวลาต่อไปก็เท่ากับกำลังทำลายโอกาสของคนอื่น”
จ้าวจิ่งเซวียนเร่ง
หลินสวินขานรับว่าอืม เขาเองก็ดูออกว่าหากตนไม่เข้าสู่สนามประลอง คนอื่นๆ คงไม่มีใครกล้าเข้าไป
พรึ่บ!
ครู่ต่อมาเงาร่างของหลินสวินเคลื่อนมาสู่สนามประลองชั้นยอด กวาดสายตามองเหล่าผู้กล้ารอบๆ พร้อมพูดว่า “สหายยุทธ์ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้ ใครยินดีดวลกับข้าสักตาบ้าง”
เสียงราบเรียบกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน
แต่รอบๆ กลับเงียบสนิท เหล่าผู้กล้ามองหน้ากัน ไม่มีใครตอบรับ ในที่นั้นพลันดูแปลกประหลาดอย่างมาก
ในใจหลายคนต่างอดโอดครวญไม่ได้ ระดับหนายเหนือหัวแห่งยุคที่ตายในมือเทพมารหลินมีไม่รู้เท่าไหร่ อวิ๋นชิ่งไป๋แข็งแกร่งใช่หรือไม่ ราวกับตำนาน แต่ก็ถูกเทพมารหลินสังหารมิใช่หรือ
ตอนนี้ใครจะกล้าเข้าไปดวลกับเจ้า นี่มันหาเรื่องอับอายใส่ตัวมิใช่หรือ
เวลาล่วงเลยไปก็ยังไม่มีคนตอบรับเสียที มีเพียงเงาร่างโดดเดี่ยวของหลินสวินที่ยืนตระหง่านอยู่ในสนาม ดูเหงาอย่างมาก
แม้จ้าวจิ่งเซวียนยังอดตะลึงไม่ได้ อำนาจบารมีของเจ้าหมอนี่ในตอนนี้ แข็งแกร่งจนถึงขั้นไม่ต้องสู้ก็กำราบคนได้แล้วหรือ
“เพียงแค่แลกเปลี่ยนกันเท่านั้น ทุกท่านไม่ต้องกังวลอะไร เข้ามาได้เลย ข้ารับประกันว่าจะไม่ผูกพยาบาทเพราะเรื่องนี้”
หลินสวินรออยู่นานก็จนคำพูดบ้างแล้ว อดพูดด้วยเสียงอบอุ่นไม่ได้ ท่าทางจริงใจอย่างมาก
ทุกคนต่างทำท่าทางเหมือนว่าข้าไม่ตกหลุมพรางเจ้าหรอกนะ ใครไม่รู้บ้างว่าเจ้าเทพมารหลินอาละวาดตามอำเภอใจ มือเปื้อนเลือด
ถูกเจ้าเอาชนะไม่เท่าไหร่ ประเด็นคือหากล่วงเกินเจ้าขึ้นมา จะถูกผูกพยาบาทหรือไม่นั้นพูดยาก
ชั่วขณะหนึ่งในที่นั้นยิ่งแปลกประหลาดและเงียบขรึม
ผู้แข็งแกร่งหลายคนอดนึกถึงเมื่อหลายวันก่อนไม่ได้ ยามที่องค์ชายเซ่าเฮ่าเข้าสู่สนามประลอง ก็เกิด ‘ความเงียบ’ เช่นกัน
แต่สุดท้ายก็ยังมีบุคคลระดับนายเหนือหัวขึ้นไปดวลกับเขา เกิดการต่อสู้อันยอดเยี่ยมที่น่าสนใจอย่างหาที่สุดไม่ได้รอบแล้วรอบเหล่า
แต่สถานการณ์ในตอนนั้นคือ นอกจากองค์ชายเซ่าเฮ่า ที่นี่ยังมีบุคคลระดับนายเหนือหัวแห่งยุคอีกมากมายที่ไม่กลัวที่จะสู้กับเซ่าเฮ่า
แต่ตอนนี้กลับแตกต่าง ในที่นี้นอกจากหลินสวิน แทบไม่มีนายเหนือหัวที่มีพลังระดับเดียวกันเช่นเดียวรอต่อสู้อยู่แล้ว!
“ทุกท่าน เพียงแค่แลกเปลี่ยนฝีมือกันจริงๆ”
หลินสวินพูดอย่างจริงจัง สีหน้าท่าทางจริงใจอย่างที่สุดแล้ว
ผู้แข็งแกร่งหลายคนเริ่มลังเลแล้ว นี่… จะตอบรับเขาดีหรือไม่
“ใต้เท้าหลิน ข้าน้อยไม่มีความสามารถ แต่ชื่นชมและนับถือท่านที่สุด หากวันนี้ได้ดวลกับท่านสักสนาม ข้าก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว!”
ทันใดนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งพุ่งเข้าสนามประลอง นี่เป็นยอดฝีมือเผ่าวิญญาณโลหิตคนหนึ่ง นามว่าเซวี่ยอู๋ซิว แผ่นหลังของเขามีปีกโลหิตคู่หนึ่ง ตลอดร่างเปล่งประกายสีเลือด มือถือกระบองสีทองอร่ามคู่หนึ่ง
ทุกคนผิดคาด ต่างลอบพูดในใจ เจ้าหมอนี่หน้าไม่อายเกินไปแล้ว ยังไม่ทันเริ่มสู้ก็ประจบสอพลอยกใหญ่ ชื่นชมเอาใจหลินสวินอย่างแนบเนียน น่ารังเกียจจริงๆ!
แต่ก็มีคนนับถือ ลอบชมว่าเยี่ยม เช่นนี้เทพมารหลินยังจะทำให้อีกฝ่ายแพ้อย่างย่ำแย่อีกหรือไม่
“เชิญ” หลินสวินอมยิ้ม
เซวี่ยอู๋ซิวสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา พูดเสียงดังทรงพลัง “ใต้เท้าหลิน ดวลกับท่านก็เป็นเกียรติของข้าน้อยเช่นกัน เพื่อแสดงความเคารพ ข้าจะสู้อย่างสุดความสามารถ ขอท่านโปรดชี้แนะให้ข้าด้วย”
การประจบสอพลอนี้ แม้แต่หลินสวินยังกระตุกมุมปากอย่างยากจะสังเกตเห็น
พูดจบเซวี่ยอู๋ซิวส่งเสียงตะโกน ปีกสีแดงเลือดกระพือทะยานขึ้นฟ้า กระบองในมือพาดขวาง แผ่แสงประกายน่ากลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ตูม!
ห้วงอากาศถล่มทลายกะทันหัน ถูกแสงประกายที่รุนแรงสะดุดตาท่วมท้น
ต้องยอมรับว่าเซวี่ยอู๋ซิวคนนี้ก็มีศักยภาพมาก ทันทีที่ลงมือก็เผยฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา
เพียงแต่สำหรับหลินสวินกลับไม่ถึงขั้นเป็นการข่มขวัญอะไร เห็นแก่ว่าความเคารพของอีกฝ่าย หลินสวินไม่ได้ลงมือรุนแรงในทันที เก็บศักยภาพไว้ส่วนหนึ่ง
ทันใดนั้นการต่อสู้ปะทุขึ้นในสนาม ดึงดูดความสนใจของทุกคน
แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ เพิ่งจะไม่กี่สิบกระบวนท่าเท่านั้น เซวี่ยอู๋ซิวก็เก็บมือ ไม่สู้แล้ว
เขาประสานหมัดคำนับอย่างชื่นชมพร้อมเอ่ย “ใต้เท้าหลินมรรควิถีมหัศจรรย์ ข้าน้อยยังไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ แพ้อย่างเลื่อมใสสุดจิตสุดใจ”
ทั้งสนามสีหน้าอึมครึมทันที
ไร้ยางอายเกินไปแล้ว!
เจ้าหมอนี่ไปต่อสู้ซะที่ไหน ไปประจบสอพลอเพื่อเอาใจเทพมารหลินชัดๆ!
บนโลกนี้มีคนที่หน้าด้านและไร้ยางอายเช่นนี้ได้อย่างไร
“เจ้า…”
หลินสวินตั้งตัวไม่ติดนัก กำลังจะพูดอะไรสักหน่อยกลับเห็นเซวี่ยอู๋ซิวโค้งตัวถอยออกจากสนามประลองไปแล้ว
อีกทั้งเขาทำสีหน้าทอดถอนใจ ปากส่งเสียงออกมาว่า “วันนี้ได้ดวลกับใต้เท้าหลินที่ข้าเคารพนับถือที่สุด ไม่ใช่โชคดีหรอกหรือ แม้จะแพ้แต่ก็เป็นเกียรติ!”
ทุกคนจำยอมอย่างสิ้นเชิงแล้ว พูดถึงความไร้ยางอาย เซวี่ยอู๋ซิวคนนี้เป็นบุคคลที่บรรลุจุดสุดยอดอย่างแน่นอน แสดงแก่นพิสุทธิ์ของความไร้ยางอายออกมาอย่างตรงไปตรงมา พูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ ใครจะสู้ได้
หลินสวินเองก็อดทึ่งไม่ได้
เจ้าคนที่หน้าหนาไร้ยางอายเช่นนี้ ถึงกับสามารถเข้าสู่แดนยอดมรดกได้ ช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ
“ทุกท่านยังมีคนอยากสู้อีกหรือไม่”
หลินสวินถาม
ทุกคนต่างลังเลอย่างที่สุด เซวี่ยอู๋ซิวเปิดสนามได้เลวร้ายอย่างที่สุด ต่อให้พวกเขามีใจจะไปดวลกับหลินสวินสักตา แต่ถ้าถูกมองว่าไปประจบสอพลอด้วยจะทำอย่างไร
เงียบ
ความเงียบคือเสียงจากหัวใจของทุกคนในตอนนี้
หลินสวินเองก็จนหนทางอย่างสิ้นเชิงแล้ว หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ในใจเองก็กำลังใคร่ครวญว่า หากไม่มีคนท้าทายจะชนะสิบครั้งติดได้อย่างไร
โหม่ง!
จู่ๆ ตรงส่วนลึกของห้วงฟ้าก็มีเสียงระฆังที่เคร่งขรึมและทรงพลังดังก้องขึ้น
จากนั้นท่ามกลางสายตายากจะเชื่อของทุกคน ในสนามประลองชั้นยอดปรากฏแสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้าไหลเข้าสู่ร่างกายหลินสวิน
และนี่ก็หมายความว่าหลินสวินได้ผ่านการทดสอบรอบแรกแล้ว.ไอลีนโนเวล.
เพียงแต่ทุกคนต่างงงงัน ตกตะลึงอ้าปากค้าง เช่นนี้ก็ได้หรือ ยังไม่ได้ชนะสิบครั้งติดเลยนะ!
พลันเห็นพื้นดินข้างสนามปรากฏพลังกฎระเบียบ แปรเป็นตัวอักษรบรรทัดหนึ่ง…
‘ผู้ชำนาญการรบ ย่อมไม่ออกแรงโดยใช่เหตุ สามารถทำลายกฎระเบียบผ่านด่านได้!’
ทันใดนั้นสีหน้าของผู้แข็งแกร่งทั้งที่นั้นต่างชะงัก
สามวันมานี้พวกเขาเพิ่งจะรู้ว่า ในสนามประลองชั้นยอดยังสามารถทำลายกฎผ่านด่านได้ และเหตุการณ์เช่นนี้ก็ปรากฏขึ้นจริงจากตัวเทพมารหลิน ณ ตอนนี้!
คำว่าผู้ชำนาญการรบ ก็คือแข็งแกร่งจนถึงขั้นไม่มีใครสู้ได้และไม่มีใครกล้าสู้ด้วยแล้ว ในเมื่อไม่มีการต่อสู้ แล้วจะมีผลการรบได้อย่างไร
นี่เรียกว่าผู้ชำนาญการรบ ย่อมไม่ออกแรงโดยใช่เหตุ!
หลินสวินอึ้งไป จากนั้นรับรู้ได้อย่างฉับไวว่าแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลเข้าสู้ร่างกายสายนั้น เกิดการตอบสนองมหัศจรรย์บางอย่างกับรูปปั้นหินโบราณนับพันที่ห่างออกไปนั่นรางๆ
เขารับรู้ได้ว่า การแข่งขันในรอบแรกนี้ตนผ่านด่านแล้วจริงๆ เพียงแต่กระบวนการกลับดูคาดไม่ถึง
เห็นท่าทางมึนงงของหลินสวิน จ้าวจิ่งเซวียนอดหัวเราะไม่ได้ ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่งดงามสะอาดสะอ้านนั่นราวกับดอกตูมที่เบ่งบานท่ามกลางแสงอาทิตย์หลังฝนตก งดงามอย่างมาก
หลินสวินเองก็อดยิ้มไม่ได้ ส่ายหน้าออกจากสนามประลองชั้นยอดไป
แต่พอเห็นภาพนี้ทุกคนในที่นั้นต่างถอนหายใจยาวโดยมิได้นัดหมาย ในที่สุดเทพมารหลินก็ผ่านด่านไปแล้ว ต่อไปก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะเข้าสู่สนามไปแข่งขันแล้ว!
ทันใดนั้นเหล่าผู้กล้าในที่นั้นต่างฮึกเหิมขึ้นมา
“ฮ่าๆๆ ตาข้าแล้ว!”
แต่ตอนนี้เองอาหลู่ส่งเสียงหัวเราะลั่นออกมา ชิงพุ่งเข้าสนามประลองไปก่อนก้าวหนึ่ง พลันทำให้ผู้แข็งแกร่งหลายคนรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาระลอกหนึ่ง
ลืมไปได้อย่างไรว่ายังมีเจ้าคนเถื่อนคนนี้!
เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหลินสวินแล้ว เขาเดินตรงไปยังบริเวณที่รูปปั้นหินโบราณนับพันรูปตั้งอยู่
รูปปั้นหินโบราณตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นราวกับอริยะแต่ละคนที่มองลงมายังฝูงชน แผ่กลิ่นอายที่แตกต่างกัน
มองรูปปั้นหินเหล่านี้ก็เหมือนมองยักษ์เทียมฟ้ามากมายที่เคยคุมอำนาจในสมัยบรรพกาล ทำให้ในใจเกิดความตะลึง
พอเดินเข้าไป หลินสวินเห็นองค์ชายเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่ หยวนฝ่าเทียน ราชันเผิงปีกทองน้อย หวังเสวียนอวี๋ เย่หมัวเฮอ…
และเห็นเจ้าคางคก นกทมิฬ เยี่ยเฉิน เซี่ยวชางเทียน จี้ซิงเหยา…
ทุกคนล้วนนั่งขัดสมาธิอยู่หน้ารูปปั้นหินรูปหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึม แสงมรรคทั่วตัวหมุนเวียน กำลังรับสัมผัสพลังมรดก
‘รูปปั้นหินนับพัน ก็หมายความว่ามีมรดกนับพันอย่างประทับอยู่ภายในมิใช่หรือ’
‘แดนยอดมรดกแห่งนี้ไม่ธรรมดาตามคาด มีความเป็นไปได้สูงมากที่สิ่งที่บุคคลเทียมฟ้านับพันคนร่วมมือกันสร้างขึ้นในตอนนั้น พวกเขาเก็บมรดกของตนไว้ที่นี่ เหมือนทิ้งเพลิงมรรคสายหนึ่งเอาไว้ เพลิงมรรคไม่ดับ มรดกก็ไม่สลาย…’
‘ก็ไม่รู้ว่ามีมรดกประเภทไหนเหมาะกับข้า’
หลินสวินเดินพลางสงบใจสัมผัส
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น
หลินสวินชะงักฝีเท้า ขมวดคิ้ว
รูปปั้นหินโบราณนับพัน พลังมรดกนับพัน นอกจากพวกที่ถูกยึดครองไปแล้ว กลับไม่มีอันไหนเลยที่เกิดการตอบสนองต่อการสัมผัสรับรู้ของหลินสวิน
‘นี่เป็นการไม่ยอมรับในตัวข้าหรือ หรือว่าในพลังมรดกนับพันประเภทนี้ ไม่มีที่เหมาะกับข้าเลยแม้แต่อันเดียว’
หลินสวินใคร่ครวญ
ในเวลาเดียวกันผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยห่างออกไปก็สังเกตเห็นว่า เงาร่างของหลินสวินได้เดินจนทั่วบริเวณรูปปั้นหินแล้ว แต่กลับยังไม่ได้รับมรดกเสียที นี่ทำให้ผู้คนอดหันมอง ฉงนและประหลาดใจไม่ได้
ด้วยรากฐานพลังของเทพมารหลิน จะไม่ได้มรดกแม้อันเดียวเลยหรือ
จ้าวจิ่งเซวียนเองก็ขมวดคิ้วไม่เข้าใจนัก
สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ ไม่นานหลินสวินกลับนั่งหลับตาลงตรงขอบพื้นที่รูปปั้นหินอย่างลวกๆ
เหมือนกำลังพยายามสัมผัสอะไร
ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่มีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นกับตัวเขาเลย แน่นอนว่าก็หมายความว่า ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้สัมผัสถึงมรดกที่เข้ากับตนเลย
ภาพที่ไม่คาดคิดนี้ดึงดูดสายตาจำนวนไม่น้อยทันที
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หรือเทพมารหลินถูกมรดกทั้งหมดปฏิเสธ
สีหน้าของหลายคนแปลกประหลาดขึ้นมาแล้ว
เป็นถึงเทพมารหลิน ด้วยฐานะ ‘ผู้ชำนาญการรบ ย่อมไม่ออกแรงโดยใช่เหตุ’ ทำลายกฎระเบียบผ่านการแข่งขันรอบที่หนึ่ง ใครจะคิดว่าเขาที่ผ่านด่านมา กลับไม่ได้รับมรดกเลยแม้แต่อันเดียว
——

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset