Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1343 มองเหล่าราชันประหนึ่งไร้ตัวตน

หลินสวิน!
สิบปีก่อน ชื่อนี้เป็นที่ร่ำลือทั่วดินแดนรกร้างโบราณ ถือเป็นพวกโดดเด่นสะดุดตาคนหนึ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์
เขาถือกำเนิดในโลกชั้นล่าง ต่อสู้ฟันฝ่าเพียงลำพัง ผงาดขึ้นจากการกวาดล้างสังหาร ถูกคนทั่วหล้าขนานนามให้ว่า ‘เทพมารหลิน’
แม้จะเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ไม่ปรากฏตัวในโลกมานานปีอย่างพวกอูจินหวน ฮวาซิงฉวี่ ก็ยังเคยได้ยินชื่อของคนรุ่นหลังคนนี้ด้วยเช่นกัน
เพียงแต่ในฐานะพวกที่เหยียบย่างระดับอมตะเคราะห์ สิ่งที่พวกเขาสนใจไม่ใช่หลินสวิน แต่เป็นอริยะหญิงลึกลับที่อยู่เบื้องหลังหลินสวินต่างหาก!
สิบปีก่อนเคยมีเรื่องใหญ่สะเทือนใต้หล้าเรื่องหนึ่ง หญิงลึกลับผู้หนึ่งต้อนอริยะเหมือนเดรัจฉาน เหยียบทำลายหกขุมอำนาจใหญ่ที่รวมถึงสำนักกระบี่เทียมฟ้า เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ และแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์
จุดประสงค์ง่ายดายยิ่ง เพื่อออกหน้าแทนหลินสวิน!
และตอนนั้นจากรากฐานของขุมอำนาจใหญ่ทั้งหก กลับได้แต่ก้มหัวอยู่ต่อหน้าหญิงลึกลับคนนั้น ปล่อยให้นางจากไปโดยสวัสดิภาพ
ความครึกโครมของเรื่องนี้สามารถทำให้อริยะคนใดก็ตามในโลกต่างตกตะลึง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพวกอูจินหวน
เพียงแต่พวกเขากลับคิดไม่ถึง ว่าคนรุ่นหลังอย่างหลินสวินจะถึงกับฆ่าลูกหลานทั้งกลุ่มในขุมอำนาจของพวกเขาภายในแดนมกุฎ!
“เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่”
บนใบหน้าผอมแห้งของอูจินหวนเจือกลิ่นอายปะทุดุดัน นางใกล้จะอกแตกอยู่รอมร่อแล้ว
สัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างฮวาซิงฉวี่ ทั่วเฉิงจื่อก็เป็นเช่นนี้ด้วย
ไม่นานพวกเขาก็ล่วงรู้ความจริงของเรื่องราว หนำซ้ำความจริงเหล่านี้ก็ปกปิดไม่ได้แม้แต่น้อย
ภายในแดนเผาเซียน ใครบ้างไม่รู้ว่าในปีแรกที่เทพมารหลินเข้าสู่เมืองเผาเซียน ก็กวาดล้างถิ่นที่พำนักของขุมอำนาจใหญ่อย่างเผ่าอีกาทอง เผ่าวิญญาณสมุทร เขาวิญญาณหมื่นอสูรจนเกลี้ยง
ตอนนั้นเลือดอาบย้อมเมืองเผาเซียน กลิ่นคาวเลือดอบอวลไม่สร่างถึงสิบวัน!
“เจ้าเดรัจฉานแซ่หลินนี่สมควรตายหมื่นหน!”
อูจินหวนส่งเสียงกรีดร้องอย่างโกรธแค้นหาใดเปรียบออกมา
“แค้นนี้ไม่อาจปรานีได้แล้ว!”
ฮวาซิงฉวี่หน้าดำคล้ำเขียว จิตใจช้ำชอก
“แล้วตัวเขาล่ะ”
จากนั้นไอสังหารของพวกเขาพวยพุ่ง สายตาจับจ้องไปยังอุโมงค์อากาศ กลิ่นอายทั่วร่างแต่ละคนระเบิดปะทุ เหมือนรอจับคนมาเขมือบ
ในที่นั้นบรรยากาศเงียบกริบ เหล่าผู้กล้าใจสั่นสะท้าน
มีเพียงเสียงลมพัดหวิวๆ บนสนามรบโบราณ ยิ่งเพิ่มบรรยากาศเงียบสงัดให้ดูวังเวงขึ้นมาอีก
‘เจ้าเฒ่าพวกนี้ดูท่ายังไม่รู้สภาพตัวเองแน่ชัด พวกเขายังคิดว่านี่คือเมื่อสิบปีก่อนอยู่จริงๆ หรือ’
ในที่นั้นมีคนแค่นหัวเราะในใจเช่นกัน
นี่เป็นผู้แข็งแกร่งขอบเขตมกุฎระดับราชันกลุ่มหนึ่ง ทันทีที่ปรากฏตัวก็ได้รับการต้อนรับอย่างเอิกเกริกจากผู้อาวุโสในสำนัก
และมีแต่พวกเขาที่รู้ดี ว่าหลินสวินในตอนนี้น่าสะพรึงปานใด
เพียงแต่พวกเขาไม่ได้เอ่ยเตือน ด้วยไม่เกี่ยวข้องกับตนจึงไม่สนใจ และไม่อยากเข้าไปเอี่ยวในการต่อสู้นี้
ถึงอย่างไรโลกภายนอกสุดท้ายก็ต่างจากแดนมกุฎอยู่ดี
เบื้องหลังสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างพวกอูจินหวนล้วนมีขุมอำนาจใหญ่แต่ละแห่งหนุนอยู่ ไม่อาจไม่ทำให้ผู้คนกริ่งเกรง
ขณะเดียวกันมกุฎราชันเหล่านี้ก็มีบางส่วนไม่ได้มองสถานการณ์ของหลินสวินในแง่ดีเท่าไร
หากให้ขุมอำนาจใหญ่เหล่านั้นรู้เรื่องราวที่เขาก่อขึ้นในแดนมกุฎ เกรงว่าคงโกรธจนอริยะออกโรงโจมตีเอง!
หลินสวินอาจจะแข็งแกร่งอย่างที่สุด ถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นที่หนึ่งแห่งแดนมกุฎ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของอริยะ
“หลินสวินออกมาแล้ว!” มีคนตะโกนดังลั่น
สวบ!
และพร้อมกันนั้นฟากฟ้าเหนือเมืองนำทางนั่น เงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งเดินออกมาจากอุโมงค์อากาศ อาภรณ์โบกพลิ้ว บุคลิกปราศจากมลทิน เป็นหลินสวินนั่นเอง
ชั่วขณะเดียวสายตาทั่วลานต่างมองไป บรรยากาศก็ยิ่งเงียบกริบและกดดันมากขึ้น
อากาศดุจดั่งจะควบแข็ง
“เจ้าก็คือเด็กเหลือขอแซ่หลิน?”
ยามนี้อูจินหวนทนไม่ไหวเป็นคนแรก ส่งเสียงเย็นเยียบออกไป ไอสังหารน่าสะพรึงก็แผ่ออกจากร่างของนางประหนึ่งครอบคลุมฟ้าดินก็ไม่ปาน
สีหน้าหลินสวินราบเรียบ กวาดสายตามองทั่วลาน สุดท้ายก็มองไปที่ร่างสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันอย่างพวกอูจินหวน ฮวาซิงฉวี่ทั้งกลุ่ม
“แค่พวกเจ้าเหล่านี้เองหรือ” เขาขมวดคิ้ว คล้ายแปลกใจอยู่บ้าง
สิ่งนี้พาให้ทั่วลานตะลึงอึ้งค้าง สมกับเป็นเทพมารหลิน ตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงระดับนี้ยังหน้าไม่เปลี่ยนสี อาจหาญเปี่ยมล้น
“เจ้าเดรัจฉานนี่ ยังกล้าปากดีอีก!”
พวกฮวาซิงฉวี่ ทั่วเฉิงจื่อ ซางฮูหยินต่างยบันดาลโทสะแล้ว “คิดจริงๆ หรือว่ามีอริยะหญิงลึกลับคนนั้นคอยหนุนหลังเจ้า แล้วพวกข้าจะไม่กล้าฆ่าเจ้า”
หลินสวินกล่าวเรียบเฉย “พวกเจ้าพูดผิดแล้ว ตอนนี้ข้าเองก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชันคนหนึ่ง ต่อกรกับพวกเจ้า… ข้าคนเดียวก็พอแล้ว”
ประโยคเดียวเผยท่าทางเหยียดหยันเต็มเปี่ยม
บุคคลขอบเขตมกุฎส่วนหนึ่งต่างลอบทอดถอนใจในใจ นี่ก็คือหลินสวิน ต่อให้ตกอยู่ในสถานการณ์แบบใดล้วนอาจหาญเต็มเปี่ยม
แต่สำหรับพวกอูจินหวนแล้ว นี่ก็คือการท้าทายความน่ายำเกรงของพวกเขาอย่างใหญ่หลวง!
คนรุ่นหลังคนหนึ่ง เคี่ยวกรำในแดนมกุฎสิบปีก็กล้ามองข้ามหัวพวกเขาเหล่านี้เสียแล้ว?
และการกระทำในเวลานี้ของหลินสวิน ก็เป็นการมองข้ามพวกเขาจริงๆ!
เขาเพียงทอดสายตามองฟ้าดินทั่วสี่ทิศครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหยียบย่างบนห้วงอากาศ เดินมุ่งหน้าไกลออกไป
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่สนใจเสียงร้องโหวกเหวกของพวกอูจินหวนอีกเลย
ท่าทางเพิกเฉยมองข้ามเช่นนี้ของเขา พริบตาเดียวก็จุดชนวนไอสังหารที่ระงับไม่อยู่ตั้งแต่ต้นของพวกอูจินหวนทันที
“เจ้าเดรัจฉาน! ไปตายซะ!”
อูจินหวนกรีดร้อง ทั่วร่างเปล่งแสงพลางพุ่งกระโจนออกไป ฝ่ามือหนึ่งยื่นคว้ารุนแรง กรงเล็บยักษ์สีทองเจิดจ้าไร้ทัดเทียมสายหนึ่งควบรวม แหวกอากาศตะปบไปทางหลินสวิน
ตูม!
ห้วงอากาศล้วนแตกทลายเป็นเสี่ยงๆ
ผู้แข็งแกร่งละแวกใกล้เคียงไม่มีใครไม่ถอยหลบ ไม่ยินยอมถูกหอบม้วนเข้าไปในการเข่นฆ่านี้
น่าเสียดาย เผชิญหน้ากับการโจมตีน่าสะพรึงยิ่งเช่นนี้ หลินสวินยังคงเพิกเฉยเหมือนไม่รู้สึกรู้สา เพียงแค่มุ่นหัวคิ้วมองไปไกลๆ ในใจไม่เข้าใจยิ่ง
เขาย้อนกลับมาดินแดนรกร้างโบราณครั้งนี้ สิ่งที่ควรค่าให้เขาสนใจก็คืออริยะ ทว่าจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่พบกลิ่นอายของอริยะคนใดเลย
นี่เห็นได้ชัดว่าออกจะผิดปกติ
ปัง!
กรงเล็บยักษ์สีทองนั่นยังไม่ทันเฉียดใกล้หลินสวินก็ถูกพลังไร้รูปสายหนึ่งสลายทิ้ง ละอองแสงระเบิดแตก
สิ่งนี้ทำให้อูจินหวนอึ้งงันสีหน้าเคร่งขรึม พลันตระหนักได้ว่าหลินสวินคงจะไม่ใช่พวกระดับราชันทั่วไป มิน่าถึงได้กล้ามั่นใจไร้กลัวเกรงเช่นนี้
“ฆ่า!”
อีกด้านหนึ่งฮวาซิงฉวี่เองก็อดไม่อยู่ลงมือแล้ว โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง เงามายาสัตว์ปีศาจนับพันหมื่นพุ่งทะยานขึ้นฟ้า เบียดเสียดแน่นขนัด แปรเปลี่ยนเป็นสายน้ำหลากพุ่งใส่หลินสวิน
ตูมโครม!
รอบกายหลินสวินแสงมรรคเคลื่อนโคจร การโจมตีที่ดูเหมือนน่ากลัวอย่างที่สุดนี้ก็แตกสลายท่ามกลางเสียงสนั่นหวั่นไหว มลายหายไปในห้วงอากาศ
ทอดมองจากไกลๆ ทั้งตัวเขาประดุจหมื่นวิชาไม่อาจกล้ำกราย!
สัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างพวกอูจินหวน ฮวาซิงฉวี่ต่างหัวใจสะท้าน ในสมองได้สติขึ้นมาไม่น้อย ตระหนักได้ว่าคู่ต่อสู้ชักเริ่มไม่ชอบมาพากล
แต่จากสายตาของพวกเขาที่มองไป กลับไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายคุกคามใดๆ จากตัวหลินสวินสักนิด ราบเรียบเกินไปแล้ว
นี่มีเพียงความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งคือความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
อีกอย่างก็คือ ปราณของอีกฝ่ายหนาแน่นและน่าสะพรึงเกินไป ทำให้พวกเขามองตื้นลึกไม่ออก!
“ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้ก็ต้องรั้งตัวเจ้าเดรัจฉานนี่ไว้ให้ได้”
ซางฮูหยินออกโจมตีแล้ว เรียกดาบบินสีเขียวมรกตเล่มหนึ่งออกมา เสียงวู้มดังขึ้นหนึ่งคราก็กรีดเฉือนห้วงอากาศประหนึ่งกรีดกระดาษ ฉีกทึ้งห้วงอากาศออกเป็นทางยาวสายหนึ่ง คมกริบจนน่าสยดสยอง
นี่คืออาวุธราชันประจำตัวนาง ถูกฟูมฟักนานถึงพันปี อานุภาพย่อมเหนือธรรมดา
สวบ!
ดาบบินเขียวมรกตบั่นเฉือนลงมา เร็วประหนึ่งสายฟ้าสีเขียว แสบตาจนผู้คนต่างลืมตาไม่ขึ้น
การโจมตีนี้ทำเอาผู้แข็งแกร่งมากมายในที่นั้นต่างหวาดผวา
พลังของราชันระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ด มีหรือจะธรรมดาทั่วไป
ทว่าสิ่งที่ทำให้คนนับไม่ถ้วนปากอ้าตาค้างก็คือ หลินสวินยกมือขึ้นเหมือนเด็ดดอกไม้ คว้าดาบบินเขียวมรกตเล่มนั้นไว้ในมือ
การเคลื่อนไหวสบายๆ เป็นธรรมชาติ เรียบง่ายธรรมดา กลับพาให้ทั่วลานต้องหันมอง สูดหายใจเฮือก
วู้ม!
ดาบบินเขียวมรกตนั่นดิ้นขลุกขลักอย่างรุนแรงอยู่ในฝ่ามือหลินสวิน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหลุดพ้น
ไกลออกไปซางฮูหยินหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่แล้ว
“พวกเจ้า รู้หรือไม่อะไรที่เรียกว่ามกุฎราชัน”
หลินสวินหันตัวไป เอ่ยถามราบเรียบ
พวกอูจินหวนตกใจแกมสงสัย หยั่งเชิงจนถึงตอนนี้ทำให้พวกเขาเยือกเย็นลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว ตระหนักได้ว่าท่าไม่ดีสักเท่าไร
ผู้ที่สามารถฝึกปราณจนถึงระดับพวกเขา ไม่มีใครโง่งมสักคน
โดยเฉพาะตอนที่เห็นหลินสวินคว้ามือสบายๆ หนึ่งครา ก็ควบคุมอาวุธราชันประจำตัวของซางฮูหยินได้อย่างแน่นหนา พวกเขาก็เข้าใจในทันที
หลินสวินในตอนนี้ไม่ใช่คนรุ่นหลังที่พวกเขาจะเหยียดหยันกดข่มได้อีกแล้ว แต่เป็นตัวตนในขอบเขตมกุฎระดับราชันที่แท้จริงคนหนึ่ง!
สิ่งที่ทำให้ในใจพวกเขากลัดกลุ้มที่สุดคือ ถึงแม้ช่วงเวลาฝึกปราณของพวกเขาจะเนิ่นนาน แต่กลับไม่รู้และไม่เคยได้สัมผัสอย่างแท้จริง ว่าอะไรที่เรียกว่าพลังของขอบเขตมกุฎระดับราชัน
และเพราะเป็นเช่นนี้ จึงทำให้ก่อนหน้านี้พวกเขากล้าลงมืออย่างห้าวหาญไร้เกรงกลัว
“หลินสวิน เจ้าฆ่าศิษย์ทั้งหมดในขุมอำนาจพวกข้า ต่อให้เจ้าเป็นคนที่เหยียบย่างระดับมกุฎราชันคนหนึ่ง ก็ยากจะพ้นความตายไปได้!”
ทั่วเฉิงจื่อเอ่ยปากเยียบเย็น “หากตอนนี้เจ้ายอมโดยดี บางทีพวกเราอาจจะให้โอกาสเจ้ากลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่อีกครั้ง”
ถึงแม้น้ำเสียงจะเลือดเย็น แต่ใครต่างก็ฟังออก ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปแล้ว ไม่กล้ายโสโอหังอีก กล้าเพียงแค่พูดจาข่มขู่เช่นนั้น
แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้อง ต่อให้หลินสวินจะเป็นระดับมกุฎราชัน แต่เขาจะเอาอะไรไปสู้กับขุมอำนาจใหญ่พวกนั้น
“ก็จริง พวกเจ้าฝึกปราณจนป่านนี้ยังไม่เคยพบเห็นขอบเขตมกุฎระดับราชันมาก่อน ย่อมไม่รู้ว่าขอบเขตนี้หมายถึงอะไรเป็นธรรมดา ข้าช่างถามเหลวไหลนัก”
หลินสวินหัวเราะหยันตัวเอง
แต่ประโยคนี้พอตกถึงหูพวกอูจินหวน กลับเสมือนกำลังหัวเราะเยาะความเบาปัญญาของพวกเขา ทำให้สีหน้าพวกเขาไม่น่าดูถึงขีดสุด
มีเพียงราชันที่อยู่ในขอบเขตมกุฎเช่นเดียวกันพวกนั้น ถึงจะเข้าใจความรู้สึกของหลินสวินที่สุด ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้
เจ้าเฒ่าพวกนี้เกรงว่ายังไม่ทันตระหนักได้ ว่ายุคสมัยที่พวกเขาเป็นตัวแทนนั้น นับแต่นี้ต่อไปจะกลายเป็นอดีตและถูกพัดเลือนหายไป
ดินแดนรกร้างโบราณในภายภาคหน้า จะต้องมีบุคคลขอบเขตมกุฎมาคอยชี้นำอย่างแน่นอน!
“เจ้าเดรัจฉานน้อย ในอาณาเขตเผ่าอีกาทองของข้ายังกล้าจองหองปานนี้ ข้าว่าเจ้าคร้านจะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ!”
ความมั่นใจของอูจินหวนเปี่ยมล้น เพราะหุบเขาตะวันคล้อยที่เป็นแหล่งพำนักของเผ่าอีกาทองก็อยู่ห่างออกไปแปดพันลี้เท่านั้น
และเป็นเวลานี้ที่หลินสวินลงมือแล้ว
ชิ้ง!
กลางฝ่ามือดาบบินเขียวมรกตเล่มนั้นส่งเสียงหึ่งๆ พุ่งโฉบออกมาโดยพลัน เร็วจนน่าเหลือเชื่อ และดุดันถึงขั้นเกินกว่าจินตนาการ
พรวด!
ต่อมาหัวของหญิงชราอย่างอูจินหวนก็ลอยคว้างขึ้นกลางอากาศ เลือดดั่งน้ำพุสาดกระเซ็น
พริบตานั้น สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดคนหนึ่งก็ถูกสังหารทั้งอย่างนี้!
เรียบง่ายสบายๆ บั่นเฉือนศัตรูในพริบตา ภาพนองเลือดที่เหนือความคาดหมายระดับนี้ซัดสะเทือนทั่วลานโดยพลัน
“เจ้า…”
ฮวาซิงฉวี่จากเขาวิญญาณหมื่นอสูรหน้าเปลี่ยนสีทันควัน เพียงแต่เขาเพิ่งคิดจะพูดอะไรก็รู้สึกเจ็บปวดที่ลำคอ เบื้องหน้าดำมืด สูญเสียสติครองตัวโดยพลัน
และหัวของเขาก็ลอยคว้างขึ้นกลางอากาศ ลากเป็นเส้นโค้งที่งดงามสยดสยองสายหนึ่ง
——
Related

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset