หลินสวินใคร่ครวญก่อนกล่าว “ดี เช่นนั้นก็ยึดเวลาครึ่งปี ถึงตอนนั้นหากเจ้ายังไม่มาหาข้าที่นครต้องห้าม ข้าก็จะไปหาเจ้าที่สุสานสมุทรฝังมรรค”
ต่อให้ยามนี้จะมีฐานะเป็นระดับมกุฎราชันอมตะเคราะห์ด่านเจ็ด แต่สำหรับสถานที่แปลกพิสดารอย่าง ‘สุสานสมุทรฝังมรรค’ ก็ยังทำให้หลินสวินรู้สึกมองไม่ค่อยทะลุนัก
ที่นั่นเร้นลับเกินไป มีสิ่งแปลกพิสดารและอัปมงคลมากมายอาศัยอยู่
“วางใจเถิด ข้าโตมาจากสถานที่เฮงซวยนั่นเชียวนะ ไปล่ะ!” เจ้าคางคกหัวเราะร่วนพลางโบกมือ แล้วกระโจนโฉบทะยานพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ชุดสีเขียวโบกสะบัดกลางสายลม ดูอิสระเสรียิ่งยวด
“อวดดี” จ้าวจิ่งเซวียนหัวเราะหยัน
หลินสวินก็อดหัวเราะไม่ได้ เจ้าคางคกนี่ก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอด
“กลับนครต้องห้ามครั้งนี้ เจ้าจะไปเยี่ยมพ่อแม่ข้าหรือไม่”
บนยานสมบัติเหลือเพียงหลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนสองคน จ้าวจิ่งเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยปากออกมา นัยน์ตาสุกใสเจือแววไม่เป็นตัวเองอยู่เสี้ยวหนึ่ง
นางงดงามพิสุทธิ์ดุจภาพวาด โครงหน้าขาวเนียนประณีต เรือนผมยาวสีดำสนิทโบกพลิ้วตามแรงลม ดุจดั่งเทพเซียนบนฟากฟ้า
หลินสวินอึ้งไป กล่าวว่า “นี่ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว ข้ากลับมาครานี้ ยังมีเรื่องบางอย่างอยากขอคำชี้แนะจากท่านลุงจ้าวด้วย”
จ้าวจิ่งเซวียนร้องอืมหนึ่งครา และไม่พูดมากความอีก
จู่ๆ หลินสวินก็ยื่นมือกุมมือปานหยกงามทั้งสองข้างของจ้าวจิ่งเซวียน กล่าวอย่างจริงจังว่า “จิ่งเซวียน ข้าอยากรอให้ซย่าจื้อกลับมาค่อยใคร่ครวญเรื่องของเราสองคน อืม เจ้าเองก็รู้ เด็กคนนี้นิสัยพิเศษมากเสมอมา หาก…”
จ้าวจิ่งเซวียนกล่าว “ไม่ต้องพูดมากความหรอก ข้าเข้าใจ”
ใบหน้างามดุจหยกขาวของนางร้อนผ่าวเล็กน้อย หน้าผากมนก้มต่ำ ไม่กล้าสบสายตากับหลินสวิน สองมือถูกหลินสวินกอบกุมเอาไว้ ร่างอรชรแข็งทื่อ ไม่ทันตั้งตัวอยู่บ้าง
หากนางจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งแรกที่หลินสวินเป็นฝ่ายรุกก่อนเช่นนี้…
หลินสวินสังเกตได้อย่างว่องไวว่าใบหูแวววาวน่ารักของจ้าวจิ่งเซวียนเริ่มแดงเถือกขึ้นมา เหมือนย้อมแสงสีแดงอันงดงาม แพขนตาไหวระริก เห็นได้ชัดว่าประหม่าเล็กน้อย
จู่ๆ ในใจหลินสวินก็เกิดแรงกระตุ้น โน้มตัวเข้าไปจุมพิตบนหน้าผากเกลี้ยงเกลาขาวผ่องของจ้าวจิ่งเซวียนหนึ่งครา
ชั่วพริบตานั้นจ้าวจิ่งเซวียนพลันแข็งทื่อไปทั่วร่าง นัยน์ตาสุกใสเบิกกว้าง ภายในใจประหนึ่งมีกระแสไฟฟ้าสายหนึ่งไหลผ่าน ถึงกับอึ้งงันอยู่ตรงนั้น สับสนงุนงงเหมือนห่านสมองตื้อ
หลินสวินอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวจิ่งเซวียนที่มีมาดผ่าเผยพิสุทธิ์เสมอมา ถึงกับยังมีมุมน่ารักเช่นนี้ด้วย
ปึง!
ทันใดนั้นจ้าวจิ่งเซวียนดึงมือสองข้างออก กำปั้นนวลเนียนทุบลงบนแผ่นอกหลินสวิน กล่าวง้ำงอด “เจ้ายังขำอีก น่าขันมากนักหรือ”
หลินสวินรีบหุบรอยยิ้มทันควัน กล่าวเคร่งขรึมว่า “ไม่น่าขัน ไม่น่าขันสักนิด”
จ้าวจิ่งเซวียนจ้องหลินสวินตาเขียว จากนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ กล่าวค่อนแคะ “เจ้านี่นะ… ที่แท้ก็หน้าไม่อายเช่นนี้นี่เอง!”
กล่าวพลางนางหยัดกายขึ้นเต็มความสูง ใบหน้างามแดงระเรื่อ พุ่งเข้าไปในห้องโดยสารด้วยความเร็วประหนึ่งเหาะเหิน
หลินสวินอดหัวเราะออกมาอีกครั้งไม่ได้ กล่าวในใจว่า ไร้ยางอายหรือ หากข้าไม่เป็นฝ่ายรุกสักหน่อย ยังเป็นผู้ชายอยู่อีกหรือ
…
เวลาหนึ่งก้านธูปต่อมา ในที่สุดหลินสวินก็รับรู้ถึง ‘ความปั่นป่วน’ ภายในเขตชายแดนจักรวรรดิ
ที่นั่นเป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ทว่ากลับมีแต่ร่องรอยหายนะ มีศพตายอนาถให้เห็นอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งคนแก่ เด็กสตรี คนหนุ่มสาว… ล้วนนอนระเนระนาดเกลื่อนพื้น
สภาพการตายของพวกเขาอนาถยิ่ง บ้างก็ถูกแหวกอกคว้านท้อง บ้างก็ถูกฉีกทึ้งร่างกาย บ้างก็ถูกควักหัวใจ บ้างก็ถูกตัดหัวขาด…
แสงอาทิตย์ยามสนธยาสาดส่อง
แร้งหลายตัวพุ่งโฉบลงมาจากฟ้าจิกกินซากศพ บนกิ่งไม้ อีกาสองสามตัวกำลังส่งเสียงร้องระงม
สวบ!
ยานขนส่งอวกาศหยุดตรงห้วงอากาศเหนือหมู่บ้านแห่งนี้ หลินสวินยืนตระหง่านตรงหัวยาน มองจากมุมสูงลงไปด้านล่างพริบตาเดียวก็ระบุได้ทันที ชาวบ้านทั้งหมดภายในหมู่บ้านแห่งนี้ล้วนถูกอสูรมารฆ่า
แม้จะเห็นความเป็นความตายจนชิน แต่เมื่อเห็นคนทั่วไปในโลกปุถุชนที่ไร้ความผิดเหล่านี้ประสบการเข่นฆ่านองเลือดปานนี้ หลินสวินก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ นัยน์ตาฉายแววเยียบเย็นวูบหนึ่ง
ฮู้ม!
หลินสวินโบกแขนเสื้อหนึ่งครา ภายในหมู่บ้านเปลวเพลิงลุกโหมคุโชน ทำให้ซากศพเกลื่อนพื้นล้วนกลายเป็นเถ้าถ่าน หายลับไร้ร่องรอย
ออกจากหมู่บ้านแถบนี้ไม่ทันไร ในระยะไกลเค้าโครงของเมืองแห่งหนึ่งก็ปรากฏชัดแก่สายตา
ทว่าหลินสวินทอดมองออกไปไกลๆ ก็สัมผัสได้ว่าในเมืองแห่งนั้นมีคาวเลือดพวยพุ่งทะยานฟ้า ซ้ำยังปะปนด้วยไออสูรมารที่รุนแรงคับฟ้า
เขานึกถึงคำที่จ่างซุนสยงเคยบอก ‘หลายปีมานี้ พร้อมๆ กับฟ้าดินแปรผันฉับพลัน ภายในชายแดนจักรวรรดิปรากฏอสูรมารมากมายหลากหลาย เข่นฆ่าปล้นชิง ก่อกรรมทำชั่ว กลายเป็นหายนะภายในอย่างหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิ เมืองมากมายล้วนถูกอสูรมารยึดครอง!’
‘ดูเหมือนว่า เรื่องราวจะร้ายแรงกว่าที่คิดไว้อยู่หน่อย…’
หลินสวินขมวดคิ้ว
“ไปดูกัน”
ด้านข้าง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่จ้าวจิ่งเซวียนเดินออกมาจากห้องโดยสาร ใบหน้างามเจือแววเยียบเย็น
“ดี”
หลินสวินตอบรับ เสียงสวบดังขึ้นหนึ่งครา ยานขนส่งอวกาศพุ่งโฉบ หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็มาถึงเบื้องหน้าเมืองแห่งนั้น
กำแพงเมืองทรุดครืนพังพินาศ เปื้อนคราบเลือดสีแดงฉาน
ซากศพนับร้อยพันกองอยู่ใกล้ๆ กับกำแพงเมือง พอจะระบุได้เลาๆ ว่าเป็นซากศพของผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์
ในหัวหลินสวินปรากฏภาพเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ สัตว์อสูรมารนับไม่ถ้วนอาละวาด ซัดโถมดุจกระแสน้ำหลาก พุ่งเข้าสู่เมืองแห่งนี้
ผู้ฝึกปราณในเมืองต้านสุดแรงเกิด แต่กลับไม่เกิดผล ถูกเข่นฆ่าอย่างไร้ปรานี…
หลังจากนั้นเมืองก็ย่อยยับ
ที่หนีก็หนี ที่ตายก็ตาย
“บัดซบ!”
จ้าวจิ่งเซวียนกำสองมือแน่น นัยน์ตาสุกใสฉายไอสังหารขึ้นมา นางเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของจักพรรดิองค์ปัจจุบันแห่งจักรวรรดิจื่อเย่า เมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ แต่คิดก็รู้ว่าภายในใจจะเคืองแค้นปานใด
“ไปกัน เข้าเมืองไปดูเสียหน่อย”
หลินสวินตบไหล่ของนางเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจ
เขาเก็บยานขนส่งอวกาศ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเคียงบ่ากันเข้าไปในเมือง และได้เห็นบนท้องถนนในเมืองที่แต่เดิมคึกคักจอแจ ล้วนเวิ้งว้างวังเวง
ตึกรามที่ตั้งเรียงรายนั่น ส่วนใหญ่เสื่อมทรุดพังครืน ตึกว่างไร้ผู้คน
ตรงปากถนนท้ายซอย ทุกแห่งหนเห็นแต่ซากศพที่นอนคว่ำจมแอ่งเลือด ทั่วทั้งเมืองประหนึ่งแดนนรก มีแต่ภาพนองเลือดแดงฉานฉายให้เห็น
“กองทัพผู้ฝึกปราณของจักรวรรดินั่นไร้น้ำยากันหมดแล้วหรือ ถึงได้มองดูเมืองนี้ถูกทำลายล้างตาปริบๆ”
จ้าวจิ่งเซวียนทนไม่ไหวอีกต่อไป กล่าวด้วยไอสังหารคละคลุ้ง
“พูดได้แค่ว่า หายนะที่สัตว์อสูรมารนี่ก่อขึ้นทั้งหมดน่าจะร้ายแรงกว่าที่พวกเราจินตนาการ”
หลินสวินใคร่ครวญ “บวกกับสถานที่แนวชายแดนของจักรวรรดิยังถูกรุกรานจากกองทัพใหญ่พ่อมดเถื่อนเก้าสาย เรียกได้ว่าประสบภัยทั้งในนอก กองทัพใหญ่จักรวรรดิอยากจะกำราบสถานการณ์เช่นนี้ให้ราบคาบ เกรงว่าคงไม่สามารถทำได้ทันทีทันใด”
จ้าวจิ่งเซวียนก็ยอมรับว่าที่หลินสวินพูดนั้นสมเหตุสมผล แต่นางกลับไม่สามารถควบคุมความเดือดดาลภายในใจได้อยู่บ้าง
จักรวรรดิจื่อเย่าสำหรับนางแล้วก็คือบ้านเกิดเมืองนอน และยามนี้ได้เห็นภาพเหตุการณ์เศร้าสลดในหมู่ผู้คนเช่นนี้ มีหรือในใจจะไม่โกรธแค้น
“ไป ไประบายกันสักหน่อย”
หลินสวินเองก็สัมผัสได้ว่าจ้าวจิ่งเซวียนอารมณ์ไม่ดี กล่าวพลางคว้ามือของนางเอาไว้ เงาร่างขยับไหว พุ่งโฉบเข้าไปภายในเมือง
…
คฤหาสน์ที่กินพื้นที่พันหมู่แห่งหนึ่งตั้งอยู่ทางพื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง ที่นี่น่าจะเป็นอาณาเขตของตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง ภายในคฤหาสน์มีหอเก๋ง ศาลาริมทะเลสาบ ทิวทัศน์ดุจภาพวาด
นอกจากนี้ยังมีสวนโอสถ ไร่วิญญาณ น้ำพุวิญญาณบ่อหนึ่งไหลริน สาดกระเซ็นรดต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ใกล้เคียง
เพียงแต่ตอนนี้คฤหาสน์ที่เรียกได้ว่าหรูหราฟุ้งเฟ้อแห่งนี้พังทลายไปนานแล้ว ทุกแห่งหนเห็นแต่ร่องรอยที่หลงเหลือจากการเข่นฆ่าผลาญเผา
ครึ่กๆ!
หนูยักษ์ขนทองฝูงหนึ่งกำลังแทะกินซากศพส่วนหนึ่ง เขี้ยวฟันแหลมคมเปื้อนเลือด เห็นได้ชัดว่าดุร้ายหาใดเปรียบ
อีกด้านหนึ่งพวกอสูรมารน้อยที่กลายร่างเป็นคนกำลังขนย้ายทรัพย์สิน มีเตาหลอมโอสถ มีเครื่องประดับตกแต่งที่ราคาน่าทึ่ง
“เร็วเข้า ก่อนอาทิตย์ตกพวกเราต้องกลับเขา อะไรที่ขนไปได้ก็ขนไปให้หมด!”
ชายหนุ่มผอมแห้งที่สวมชุดคลุมยาวหรูหราหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่ง ยืนออกคำสั่งเสียงดังอยู่บริเวณไม่ไกลนัก
“ฮี่ๆ ยังมีเด็กสาวอายุสิบกว่าปีเนื้อหนังละอ่อนที่สุด ถ้าได้กินก็คงจะถูกปากที่สุดเหมือนกัน”
สัตว์อสูรมารที่คล้ายเม่นตัวหนึ่งนอนอยู่ด้านข้าง กอดแขนขาวเนียนดุจรากบัวท่อนหนึ่งและแทะเล็มทีละนิด เลือดค่อยๆ ไหลเอ่อออกมาจากมุมปากของมัน
“ผิดแล้ว อย่างไรเด็กทารกก็อร่อยที่สุด เนื้อสัมผัสสะอาดสะอ้าน เป็นอาหารเลิศรสสุดประเสริฐชัดๆ”
ด้านข้างอสูรมารน้อยที่มีหัวเสือดาวประเมินอย่างจริงจัง
ตอนที่หลินสวินพาจ้าวจิ่งเซวียนมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ก็เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว
แม้จะเห็นเรื่องราวความเป็นตายและโหดเหี้ยมอำมหิตจนชิน แต่เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ ภายในใจหลินสวินก็อดผุดไอสังหารขึ้นมาไม่ได้
ส่วนจ้าวจิ่งเซวียนคล้ายไม่ค่อยอยากจะเชื่อ สีหน้าปกคลุมด้วยหมอกทึบทะมึนทันควัน เนตรดาราเย็นเยียบ
“เห มีคนมา!”
ทันใดนั้นอสูรมารน้อยหัวเสือดาวนั่นก็ตะโกนลั่นขึ้นมา ฉับพลันสายตามากมายล้วนมองมาทางหลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนที่พรวดพราดเข้ามา
“เป็นผู้ฝึกปราณ!”
ชายหนุ่มผอมแห้งที่สวมชุดคลุมยาวหรูหรานัยน์ตาหดรัด คล้ายประหลาดใจอยู่บ้าง เพราะเมืองแห่งนี้ถูกล้างบางเกลี้ยงตั้งแต่หลายวันก่อนนู่นแล้ว ถูกอสูรมารอย่างพวกเขายึดครอง
กลับคิดไม่ถึงว่าในวันนี้ ถึงกับยังมีคนกล้าปรากฏตัวที่นี่อีก!
“แม่นางน้อยผู้งดงาม ก็ไม่รู้ว่ากินเข้าไปแล้วรสชาติจะ…”
อสูรมารที่ดูหิวโหยตัวนั้นเบิกตากว้างจ้องมองจ้าวจิ่งเซวียน น้ำลายเกือบไหลออกมา
พูดยังไม่ทันจบจ้าวจิ่งเซวียนก็ลงมือแล้ว!
เพลิงโทสะในใจของนางพริบตานี้ถูกจุดอย่างสิ้นเชิง ทั้งตัวแผ่กลิ่นอายน่าสะพรึงออกมา แผ่กว้างครอบคลุมทั่วทั้งคฤหาสน์ประหนึ่งปิดครอบฟ้าดินก็ไม่ปาน
“พวกเดรัจฉาน สมควรตายให้หมด!”
สีหน้าจ้าวจิ่งเซวียนดุจน้ำค้างแข็ง พูดเน้นทีละคำ เสียงตึงดังหนึ่งครา แสงอสนีระฟ้าร่วงหล่นมาจากนภา ถูกนางบังคับควบคุม โหมฆ่าไปทางอสูรมารพวกนั้น
บทสรุปไม่มีสิ่งใดให้ต้องเป็นกังวล
ด้วยพลังระดับมกุฎราชันอมตะเคราะห์ด่านสองของจ้าวจิ่งเซวียน ลำพังแค่อานุภาพที่แผ่ซ่านรอบกาย ก็กดข่มจนจิตใจอสูรมารทั้งหมดในลานแตกสลาย ตัวสั่นระริก
อย่าว่าแต่หนีเลย แม้แต่กำลังต่อต้านยังงัดออกมาไม่ได้
ท้ายที่สุดนอกจากชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมยาวหรูหราคนนั้น สัตว์อสูรมารทั้งหมดล้วนถูกฆ่าด้วยวิธีการเลือดเย็นเป็นที่สุด แม้แต่เศษซากก็ยังไม่มีเหลือ
แต่จ้าวจิ่งเซวียนดูเหมือนยังไม่หายแค้น สีหน้าเย็นเยียบอย่างยิ่ง
“บอกมา ผู้นำของพวกเจ้าเป็นใคร”
หลินสวินเอ่ยถาม ชายหนุ่มที่สวมชุดหรูหราข้างๆ เขาทรุดตัวคุกเข่าลง สีหน้าซีดเผือด ถูกทำให้ตกใจจนมึนงงอย่างสมบูรณ์ ขนาดพูดยังพูดไม่ออก
‘นายท่าน ให้ข้าจัดการ’
เสี่ยวอิ๋นพุ่งออกมาดังสวบ เจาะเข้าไปในสมองของชายหนุ่มคนนี้
ให้หลังเสี่ยวอิ๋นก็โฉบออกมากล่าวว่า “พวชั่วกลุ่มนี้เป็นสมุนของคนที่ตั้งตัวเป็น ‘ราชันเถาวัลย์เพลิง’ พำนักอยู่ในส่วนลึกของภูเขาใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปสามพันลี้จากเมืองนี้ ในมือควบคุมกลุ่มอสูรมารจำนวนสามหมื่น ครองภูผาเป็นราชัน…”
ไม่นานเสี่ยวอิ๋นก็บอกเล่าข้อมูลเกี่ยวกับ ‘ราชันเถาวัลย์เพลิง’ ทีละข้อ
พรวด!
หลินสวินฆ่าชายหนุ่มชุดหรูหราคนนั้นโดยไม่ลังเล ฝ่ายหลังเผยร่างเดิมออกมา ถึงกับเป็นจิ้งจอกเทาหน้าลายตัวหนึ่ง
“อยากจะไปพบราชันเถาวัลย์เพลิงนี่สักหน่อยหรือไม่”
สายตาหลินสวินมองไปทางจ้าวจิ่งเซวียน
……………….
Related