Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1372 ขายชาติ?

 ผิดจากที่คาด จ้าวจิ่งเซวียนส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ไปหรอก ฆ่าราชันเถาวัลย์เพลิงคนหนึ่ง ก็เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่จักรวรรดิเผชิญอยู่ตอนนี้ไม่ได้ ตรงข้ามมีแต่จะแหวกหญ้าให้งูตื่นเพราะเรื่องนี้”

นางสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง นัยน์ตาสุกใสแน่วแน่กล่าวว่า “รอให้กลับสู่นครต้องห้าม ข้าจะทำความเข้าใจข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับหายนะอสูรมารของจักรวรรดิโดยเร็วที่สุด ไม่ลงมือก็ว่าไปอย่าง แต่เมื่อได้ลงมือย่อมต้องใช้วิธีกวาดล้างกำจัดมารเดรัจฉานพวกนี้สิ้นซาก!”

นัยน์ตาหลินสวินฉายแววชื่นชม กล่าวว่า “ข้าสนับสนุนเจ้า”

ในเวลาเช่นนี้จ้าวจิ่งเซวียนยังรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้ มองสถานการณ์โดยรวม ช่างหายากยิ่งจริงๆ

“ไปเถอะ”

จ้าวจิ่งเซวียนรีบร้อนอยากกลับนครต้องห้าม

“ดี”

จากนั้นทั้งคู่ก็ออกเดินทาง

บนเส้นทางหลังจากนั้น พวกเขาก็พบกับอาณาเขตของสัตว์อสูรมารดุร้ายส่วนหนึ่งอย่างต่อเนื่อง เมืองบางแห่งถึงกับถูกทำลายย่อยยับ เหลือเพียงซากปรักหักพังเกลื่อนพื้น

กล่าวว่าสิ่งมีชีวิตจมสู่ห้วงทุกข์ ก็ไม่พ้นเป็นเช่นนี้

เพียงแต่ยิ่งเข้าใกล้พื้นที่จุดศูนย์กลางจักวรรดิ ระหว่างทางก็เริ่มไม่ค่อยปรากฏร่องรอยการปรากฏตัวของสัตว์อสูรมารอีกแล้ว

นี่ก็เพราะในแต่ละเมืองล้วนมีทัพใหญ่ของผู้ฝึกปราณในจักรวรรดิที่เก่งกาจ และขุมอำนาจตระกูลใหญ่ส่วนหนึ่งร่วมมือกัน ทำการต่อต้านและตอบโต้

สิ่งนี้ทำให้หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนต่างลอบถอนหายใจโล่งอก สถานการณ์โดยรวมสำหรับจักรวรรดิแล้วยังไม่ถือว่าเลวร้ายเกินไปนัก

เพียงแต่ทุกสิ่งที่ได้เห็นตามทางยังคงทำให้ทั้งคู่รับรู้ได้ว่า ในเงามืดของความพลุกพล่านจอแจนั้น มีกระแสมืดทึบตึงเครียดและเคร่งขรึมพวยพุ่งอยู่

หายนะของสัตว์อสูรมาร หากไม่กำจัดก็เกรงว่าจักรวรรดิจะไม่มีวันสงบสุข!

หนึ่งวันให้หลัง

ไกลออกไปในสถานที่ตั้งเมืองอันเก่าแก่ใหญ่ตระหง่านแห่งหนึ่ง ไอสีม่วงคละคลุ้งพวยพุ่งอยู่เหนือเมือง ภายใต้แสงอาทิตย์ เมืองทั้งเมืองย้อมด้วยสีม่วงทองที่งดงามและพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ กว้างใหญ่ไพศาล คล้ายกับมีมาตั้งแต่อดีตกาลก็ไม่ปาน

นครต้องห้าม!

เวลาผ่านไปสิบกว่าปี ยามที่ย้อนกลับมาและมองเห็นนครอันดับหนึ่งของจักรวรรดิแห่งนี้อีกครั้ง ในใจหลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนต่างก็อดเลื่อนลอยไม่ได้

“ตอนนี้ข้าเพิ่งสังเกต ว่าเมืองแห่งนี้มีไอม่วงอ่อนเชื่อมสวรรค์ ด้านล่างยึดด้วยโชควาสนาแห่งสี่สุดยอดฮวงจุ้ย ครอบคลุมแปดทิศ เชื่อมต่ออานุภาพสิบทิศ เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ศุภโชคแห่งฟ้าดิน สวรรค์สรรค์สร้าง”

หลินสวินเอามือไพล่หลัง นัยน์ตาดำทอแสงวาววับ ปราณของเขาในยามนี้ต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง มองปราดเดียวก็ดูออก นครต้องห้ามอันกว้างขวางแห่งนี้ ความจริงก็เป็นถ้ำสวรรค์แดนมงคลที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง ซ้ำยังจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ซ่อนแฝงนัยเร้นลับมากมาย ดึงดูดอานุภาพแห่งฟ้าดิน วิเศษสุดประเสริฐ

“นั่นย่อมแน่อยู่แล้ว ที่นี่เป็นถึงเมืองหลวงของจักรวรรดิ หัวใจแห่งทั้งจักวรรดิ ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว”

จ้าวจิ่งเซวียนเม้มปากยิ้มกล่าว

“ไปกันเถอะ”

หลินสวินสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็กลับมาแล้ว ทำให้เขารู้สึกปิติและผ่อนคลายเหมือนได้หวนสู่บ้านเกิดรังนอน

จ้าวจิ่งเซวียนร้องอืมหนึ่งครา พุ่งโฉบเคียงไหล่หลินสวินออกไปยังที่ไกลๆ

ระหว่างทางความคิดหลินสวินดุจลอยล่อง นึกถึงสหายเก่าอย่างพวกหลินจง เสี่ยวเคอ พญาแร้ง จูเหล่าซาน

และนึกถึงเพื่อนรักสมัยเด็กอย่างหนิงเหมิง สืออวี่ เย่เสี่ยวชี

พวกเขา ยามนี้ยังสบายดีกันหรือไม่

และช่วงหลายปีมานี้ บนภูเขาชำระจิตจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง

เมื่อเข้าประตูสูงตระหง่านเก่าแก่ที่สูงร้อยจั้ง สิ่งที่พุ่งสู่สายตาก็คือท้องถนนที่พลุกพล่านดุจสายน้ำนั่น ผู้คนที่เบียดเสียดแน่นขนัด รวมถึงคลื่นเสียงที่เอ็ดอึงเซ็งแซ่

เหมือนเช่นที่ผ่านมา นครต้องห้ามยังคงครึกครื้นและพลุกพล่านเช่นนี้อยู่เสมอ

หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนต่างเก็บงำกลิ่นอาย เดินเคียงบ่ากันบนท้องถนน มองดูภาพที่แสนคุ้นเคยภาพแล้วภาพเล่า ความคิดล่องลอย

“ข้าจะกลับบ้านแล้ว”

ไม่ทันไรจ้าวจิ่งเซวียนก็ชะงักเท้า นัยน์ตาสุกใสทอดมองไปไกลๆ ตรงนั้นคืออาคารเก่าแก่ที่ตั้งเรียงราย กำแพงมุกกระเบื้องทอง แผ่กลิ่นอายอร่ามเจิดจ้าออกมา

ที่นั่นคือวังหลวง

“ไปเถอะ ข้าเองก็ควรกลับไปดูสักหน่อยเช่นกัน มีเรื่องอะไรจำไว้ว่าไปหาข้าที่ภูเขาชำระจิต”

หลินสวินกล่าวยิ้มๆ

“ได้”

จ้าวจิ่งเซวียนพยักหน้า หลังจากนั้นก็ยิ้มพลางโบกมือแล้วหันตัวจากไป

มองส่งจ้าวจิ่งเซวียนจากไป หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ยืนอย่างสันโดษ ก่อนเดินเข้าสู่ท้องถนนที่พลุกพล่านดุจสายน้ำเพียงลำพัง มุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่ตั้งในความทรงจำ

ภูเขาชำระจิตของตระกูลหลิน เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองยอดเขาตระกูลทรงอิทธิพล หนึ่งในแดนมงคลถ้ำสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของนครต้องห้าม

ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่หลินสวินจะจำตำแหน่งผิด

เพียงแต่เพิ่งอยู่ระหว่างทาง ตอนที่ผ่านหอสุราแห่งหนึ่ง ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึงระลอกหนึ่งดึงความสนใจของหลินสวิน

“ตระกูลหลินใกล้จบสิ้นแล้ว โทษขายชาติหากได้รับการยืนยัน ทุกคนทั้งบนล่างในตระกูลเกรงว่าต้องถูกประหารกันหมดแน่!”

“ไม่ขนาดนั้นกระมัง ไม่ใช่แค่ว่าอสูรมารบำเพ็ญตนหนึ่งที่ตระกูลหลินชุบเลี้ยงทรยศหลบหนีไปหรือ จะไปหาว่าทั้งตระกูลหลินขายชาติได้อย่างไร”

“เฮอะๆ นี่เจ้าไม่เข้าใจแล้วล่ะ หากคิดยัดเยียดโทษจะต้องพูดให้มากความไปทำไม”

“เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่”

“ได้ยินว่าเพราะคนใหญ่คนโตที่มีอำนาจล้นฟ้าเพ่งเล็งภูเขาชำระจิตของตระกูลหลิน ฟ้าดินแปรผันฉับพลัน ทำให้ภูเขาแห่งตระกูลทรงอิทธิพลเจ็ดสิบสองแห่งต่างกลายเป็น ‘แดนสมบัติถ้ำสวรรค์’ ที่เลื่องชื่อลือชา ใครจะไม่ตาร้อนกันบ้าง”

“และมีข่าวลือว่า เป็นเพราะก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มผู้นำตระกูลหลินคนนั้นล่วงเกินขุมอำนาจใหญ่มากมายเกินไป”

“ก็ไหนว่าตระกูลหลินได้รับการคุ้มครองจากราชวงศ์ของจักรวรรดิไม่ใช่หรือ”

“นี่เจ้าไม่เข้าใจแล้ว หลายปีมานี้เป็นองค์ชายสามจ้าวจิ่งเหวินดูแลจักรวรรดิ จัดการงานราชกิจ จากที่ข้ารู้มาองค์ชายสามจ้าวจิ่งเหวินน่ะมีความสัมพันธ์ค่อนข้างแน่นแฟ้นกับสองตระกูลจั่วและฉิน หากสองตระกูลนั้นอยากจัดการตระกูลหลิน ราชวงศ์มีหรือจะยังคุ้มครองตระกูลหลินอยู่อีก”

“เฮอะ พวกเจ้าผิดกันหมด หากปีนั้นผู้นำตระกูลหลินที่ได้ฉายาว่า ‘อำนาจทั่วนครหลวง’ คนนั้นยังอยู่ ใครจะกล้ากระตุกหนวดตระกูลหลินกัน”

“น่าเสียดาย ยามนี้ใครบ้างไม่รู้ว่าหลังจากฟ้าดินแปรผันฉับพลัน ผู้นำตระกูลหลินที่มุ่งหน้าไปฝึกปราณยังดินแดนรกร้างโบราณคนนั้น จะไม่สามารถย้อนกลับมาได้อย่างแน่นอน!”

จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ สายตาของหลินสวินก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเยียบเย็นขึ้นมา ความปิติยินดีที่ได้กลับสู่บ้านเกิดพลันหายไปไม่มีเหลือ

ขายชาติ?

โทษสถานหนักยิ่งนัก!

‘ดูเหมือนว่าหลายปีที่ข้าไม่อยู่ ตระกูลหลินเหมือนจะไม่ค่อยสงบสุขสักเท่าไหร่…’

หัวคิ้วหลินสวินขมวดขึ้น

ที่น่าเสียดายคือคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น ไม่สามารถทำให้หลินสวินเข้าใจข้อมูลข่าวสารมากขึ้นเลยสักนิด

เขาสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น มุ่งหน้าเดินไกลออกไป

ไม่ว่าหลายปีมานี้ตระกูลหลินประสบเรื่องราวอะไรมา ในเมื่อตนกลับมาแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สนใจ!

บนท้องถนนเกี้ยวสมบัติหลังหนึ่งขับผ่านข้างลำตัวหลินสวิน จากนั้นเกี้ยวสมบัติพลันหยุดกะทันหัน เสียงคล้ายตกใจสายหนึ่งดังลอยออกมา “ผู้นำตระกูล?”

หลินสวินชะงักเท้า หันหลังกลับไปมองก็เห็นชายหนุ่มชุดหยกคนหนึ่งกระโดดออกมาจากเกี้ยวสมบัติ มองมาทางตนด้วยสีหน้ายากจะเชื่อ

ทันใดนั้นหลินสวินก็จำสถานะของอีกฝ่ายได้ หลินเสวี่ยเฟิง!

คนผู้นี้เดิมทีเป็นบุตรภรรยาเอกของหลินไหวหย่วน หัวหน้าตระกูลหลินแห่งแสงอุดร หลังจากหลินสวินรวมสี่สายรองของตระกูลหลินเป็นหนึ่งเดียว หลินเสวี่ยเฟิงก็อุทิศตนอยู่ที่ภูเขาชำระจิตเรื่อยมา

อีกทั้งหลินเสวี่ยเฟิงก็เป็นหนึ่งในคนตระกูลหลินสายรองกลุ่มแรกที่สวามิภักดิ์ต่อหลินสวินในปีนั้น

“เสวี่ยเฟิง ไม่ได้เจอกันนานเลย”

หลินสวินคลี่ยิ้มบางๆ ทุกครั้งที่เผชิญเรื่องใหญ่ต้องใจเย็น ต่อให้ภายในใจจะเป็นกังวลต่อสถานการณ์และความปลอดภัยของตระกูลหลินยามนี้ แต่หลินสวินก็รู้ว่า ก่อนที่จะรู้สถานการณ์ชัดเจนยังรีบร้อนไม่ได้

“ผู้นำตระกูล เป็นท่านจริงๆ ด้วย!”

หลินเสวี่ยเฟิงตื่นเต้นจนตะโกนลั่น สภาพอารมณ์สูญเสียการควบคุมไปชั่วขณะ

สิบกว่าปีแล้ว เดิมทีเขาคิดว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่ได้เจอผู้นำตระกูลที่ทำให้เขาเลื่อมใสไม่สิ้นคนนี้อีกแล้ว ไหนเลยจะคาดคิดว่าจะได้พบกันอีกครั้งในยามนี้!

สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนฝันไป

หลินสวินตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ กล่าวว่า “ใจเย็นก่อน จากนั้นบอกข้าทีว่าในช่วงหลายปีมานี้ตระกูลหลินเกิดเรื่องอะไรบ้างกันแน่”

หลินเสวี่ยเฟิงพยักหน้า เขาสูดหายใจลึกหลายเฮือก ทำให้อารมณ์มั่นคงอย่างสมบูรณ์ สายตากวาดมองไปบนท้องถนนสี่ทิศรอบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ผู้นำตระกูล ที่นี่ไม่ใช่ที่สนทนากัน”

กล่าวพลางเชิญหลินสวินขึ้นเกี้ยวสมบัติ

พอขึ้นนั่งบนเกี้ยวสมบัติ มองเห็นหว่างคิ้วหลินเสวี่ยเฟิงมีแววกังวลไม่สร่าง ในใจหลินสวินก็มีลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างหนึ่ง

“พูดมาเถอะ ระหว่างทางข้าได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตระกูลหลินมาบ้างแล้ว”

ท่าทางสุขุมเยือกเย็นเช่นนั้นของหลินสวิน พาให้ภายในใจหลินเสวี่ยเฟิงสงบลงไม่น้อย กล่าวว่า “นับตั้งแต่ฟ้าดินแปรผันฉับพลัน สถานการณ์ของพวกเราตระกูลหลินก็เปลี่ยนเป็นไม่ดีเท่าไร…”

ในเสียงเจือแววขมขื่นอย่างบอกไม่ถูก

นัยน์ตาดำของหลินสวินหรี่ลง กล่าวอย่างไม่เข้าใจ “ในจักรวรรดิยังมีคนกล้าราวีตระกูลหลินอยู่อีกหรือ”

ควรรู้ว่าปีนั้นก่อนที่เขาจะออกจากจักรวรรดิ ก็กวาดล้างอุปสรรคทั้งหมดให้ตระกูลหลินตั้งนานแล้ว กำราบจนตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งเจ็ดหวาดหวั่น ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน

สามตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลฮวา ตระกูลซ่ง ตระกูลฉี ยิ่งแก้ปมความเข้าใจผิดส่วนหนึ่งต่อหน้าเจ้าสำนักสำนักศึกษามฤคมรกตกับหลินสวิน หมดสิ้นความอาฆาตแค้น

กอปรกับตอนที่หลินสวินจากไป ราชันกระหายเลือดจ้าวไท่ไหลให้สัญญาว่าจะปกป้องคุ้มครองตระกูลหลิน

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินไม่สามารถจินตนาการได้เลยจริงๆ ว่าในนครต้องห้ามแห่งนี้ ใครยังจะแตะต้องตระกูลหลินได้อีก

“เมื่อก่อนตอนที่ท่านยังอยู่ นครต้องห้ามย่อมไม่มีอยู่แล้ว แต่หลายปีมานี้ข่าวทั้งหมดล้วนแพร่สะพัด ว่าชั่วชีวิตนี้ท่านไม่สามารถกลับมาจากดินแดนรกร้างโบราณได้ ดังนั้น…”

หลินเสวี่ยเฟิงทอดถอนใจ

พูดยังไม่ทันจบแต่หลินสวินก็พอเข้าใจได้เลาๆ แล้ว

นับดูแล้ว เขาออกจากโลกชั้นล่างไปสิบกว่าปีแล้ว ตอนที่มีข่าวว่าตนไม่สามารถหวนกลับมาได้อีก ขุมอำนาจที่แต่เดิมมองตระกูลหลินเป็นศัตรูเหล่านั้น มีหรือจะยอมอยู่เฉย

ก่อนหน้านี้นานมาแล้วหลินสวินก็เข้าใจกระจ่าง หากตนยังอยู่นครต้องห้าม ก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องภูเขาชำระจิตของตระกูลหลิน ต่อให้เป็นตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงพวกนั้นก็ได้แต่บีบจมูกฝืนทน

กอปรกับมีคนใหญ่คนโตแห่งราชวงศ์อย่างราชันกระหายเลือดจ้าวไท่ไหลผู้นี้คอยช่วยเหลือ ไม่ว่าใครคิดจะแตะต้องตระกูลหลิน เกรงว่าคงต้องชั่งน้ำหนักกันเสียหน่อย

แต่หากชั่วชีวิตนี้หลินสวินไม่อาจย้อนกลับมาได้ เช่นนั้นทุกอย่างก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง

คนจากลาน้ำชาเย็นชืด ไมตรีย่อมจืดจาง ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง

“จิ้งจอกเฒ่าอย่างจ้าวไท่ไหลนั่นก็ไม่สนเลยหรือ”

หลินเสวี่ยเฟิงยิ้มขื่น ส่ายหน้ากล่าวว่า “ตอนที่ฟ้าดินแปรผันฉับพลัน ราชันกระหายเลือดจ้าวไท่ไหลรีบเร่งออกจากจักรวรรดิ ก่อนจะไปยังเคยกำชับเป็นพิเศษว่าหากตระกูลหลินประสบปัญหา ก็สามารถไปร้องขอความช่วยเหลือจากองค์ชายสามจ้าวจิ่งเหวินได้”

“จ้าวจิ่งเหวิน?” หลินสวินขมวดคิ้ว

เขาจำคนผู้นี้ได้เลาๆ ปีนั้นตอนที่อยู่สำนักศึกษามฤคมรกต จ้าวจิ่งเหวินดูเหมือนจะเป็นศิษย์ที่โดดเด่นคนหนึ่งในสาขามังกรเร้น

“ใช่ หลายปีมานี้จักรพรรดิองค์ปัจจุบันและจักรพรรดินีต่างก็ไม่ได้ออกหน้าอีก มีแต่ให้องค์ชายสามจ้าวจิ่งเหวินปกครองจักรวรรดิ จัดการงานราชสำนัก”

หลินเสวี่ยเฟิงกล่าวถึงตรงนี้นัยน์ตาก็ฉายแววจนปัญญาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “แต่ต่อมาตอนที่พวกเราไปขอความช่วยเหลือจากองค์ชายสาม กลับถูกปฏิเสธอยู่ร่ำไป ไม่สนใจความเป็นความตายของพวกเราตระกูลหลินเลยสักนิด”

หลินสวินร้องอืมหนึ่งครา และไม่ค่อยรู้สึกโกรธต่อเรื่องนี้เท่าใดนัก หยิบยืมกำลังภายนอกอย่างไรก็ไม่อาจพึ่งพาได้ ร้องขอให้คนช่วย โอกาสที่จะถูกปฏิเสธก็ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้นเลย

จากนั้นเขาก็เอ่ยถาม “ภายนอกลือกันว่าพวกเราตระกูลหลินขายชาติ เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่”

……….

Related

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

BRCO, Tian Jiao Zhan Ji, 天骄战纪
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset