เพียงแต่… เมื่อฝ่ามือนี้กดออกไป ราชันไก่ฟ้าโลหิตกลับรู้สึกร่างแข็งทื่อ ถูกอานุภาพน่าสะพรึงไร้ขอบเขตกดทับบนร่าง
พลานุภาพของฝ่ามือนี้ก็พลอยลดฮวบลงทันควัน
ฉึบ!
และยามนี้ ชีชานแทงทวนเล่มนั้นเข้ามา ทำลายพลังฝ่ามือสายนี้ลงอย่างง่ายดาย ทวนแหลมคมดั่งสายฟ้า ไหล่ซ้ายของราชันไก่ฟ้าโลหิตถูกแทงเป็นรูในบัดดล
“เจ้า…”
ราชันไก่ฟ้าโลหิตโกรธจนตัวสั่นทันที แต่ที่มีมากกว่าคือตระหนกหวาดกลัว อานุภาพกดดันน่าสะพรึงนั้นกดทับบนภูเขาอยู่ตลอดราวกับภูเขาเทพ ทำให้เขาไม่อาจต้านทานได้
และเพราะเหตุนี้ ทำให้พลังต่อสู้ของเขาถูกยับยั้งอย่างสมบูรณ์ หาไม่มีหรือจะถูกแทงบาดเจ็บได้
ฉัวะ!
เงาทวนสะบัดโบกราวกับอสนีประกายเขียวคดเคี้ยว ห้วงอากาศถูกฉีกทึ้งเป็นริ้วราวกับผืนภาพ ชีชานเดือดดาลก็เหมือนกับบ้าคลั่ง ท่าทางน่าหวาดหวั่น
ฉึบๆๆ!
เพียงพริบตาสั้นๆ บนร่างราชันไก่ฟ้าโลหิตก็ถูกแทงจ้วงเป็นรูมากมาย แต่ละรอยมีขนาดเท่าปากชาม เลือดสดสาดกระเซ็นไหลนอง
เขาส่งเสียงร้องโหยหวน แม้แต่ตะเกียกตะกายเบี่ยงหลบยังทำไม่ได้
‘สมควรตาย อาศัยแค่พลังกดดันก็ทำให้ข้าดิ้นไม่หลุด ไร้กำลังสำแดงพลังต่อสู้ ความแข็งแกร่งของเจ้าหมอนั่นน่าสะพรึงปานใดกันแน่’
ราชันไก่ฟ้าโลหิตตระหนักถึงความไม่เข้าที ทั่วร่างสั่นเทิ้ม
เขาไม่ได้หวาดกลัวชีชาน แต่หวาดกลัวหลินสวินที่ยืนกลางอากาศไกลๆ ต่างหาก
‘หนี! ต้องหนี!’
ราชันไก่ฟ้าโลหิตดิ้นรนสุดแรงเกิด แสงอสูรมารไหลเวียนทั่วร่าง กลิ่นอายกู่ก้อง บ้าคลั่งอย่างสิ้นเชิงแล้ว
แต่นี่ย่อมเปลืองแรงเปล่า
ไม่ว่าเขาจะสู้สุดแรงอย่างไร อานุภาพกดดันน่าสะพรึงนั่นก็เหมือนภูเขาเทพที่ไม่ขยับเขยื้อน กดดันจนเขาจวนจะหายใจไม่ออก
ข้างหลังหลินสวิน ศิษย์ค่ายกระหายเลือดพวกนั้นต่างตะลึงงัน ถูกเขย่าขวัญจนคำพูด
พวกเขายืนอยู่เหนือห้วงอากาศ เรื่องที่เกิดขึ้นกลางหุบเขาถูกพวกเขาเห็นทั้งหมด แต่พวกเขากลับไม่กล้าจินตนาการ ราชันไก่ฟ้าโลหิตที่กร้าวแกร่งน่าสะพรึงไร้ที่สิ้นสุดในข่าวลือ เหตุใดถึงอ่อนแออย่างเห็นได้ชัดเช่นนี้ อยู่ต่อหน้าครูฝึกก็แทบไม่มีแรงสู้กลับเลยสักนิด!
พร้อมกันนั้นพวกเขาก็สังเกตเห็นว่าสัตว์อสูรมารในพื้นที่ต่างๆ ของหุบเขานี้ ยามนี้ไม่มีหน้าไหนไม่หมอบราบลงกับพื้น ตัวสั่นงันงก อย่าว่าแต่ช่วยราชันไก่ฟ้าโลหิตเลย แม้แต่แรงยันร่างขึ้นมายังไม่มี
‘ต้องเป็นผู้อาวุโสหลินลงมือแล้วแน่ๆ!’
ชายหญิงเหล่านี้คาดเดาออกมาเช่นเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย ซ้ำยังแน่ใจไร้กังขาต่อเรื่องนี้อย่างยิ่งยวด
เพราะวิธีการน่าเหลือเชื่อระดับนี้ ก็มีแต่คุณชายหลินที่อำนาจทั่วนครหลวงในตำนานเท่านั้นจึงจะทำได้
ฟุ่บ!
สุดท้ายราชันไก่ฟ้าโลหิตก็นอนคว่ำราบพื้น สีหน้าฉายแววไม่ยินยอม เดือดดาล และหมดอาลัยตายอยาก
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็เหมือนแมลงที่ติดแหง็กในใยแมงมุม ไร้แรงขัดขืน ไร้แรงต่อต้าน ไร้แรงหนีเอาตัวรอด
การตายเช่นนี้ ช่างน่าอัดอั้นเกินไปแล้วชัดๆ!
ฮู่! ฮู่!
ชีชานพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ แต่สีหน้ากลับไร้แววดีใจที่แค้นใหญ่ได้รับการชำระ
ศัตรูตายแล้วก็จริง แต่ญาติมิตรเหล่านั้นของเขากลับไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้อีก เมื่อเป็นเช่นนี้ ยังมีความดีใจอะไรให้พูดถึงอีกหรือ
“ขอบคุณยิ่งนัก!”
ชีชานทอดมองหลินสวินที่อยู่ไกลๆ ด้วยสายตาเจือแววซาบซึ้ง
เขารู้ หากไม่มีแรงกดดันจากหลินสวิน แค่พลังของเขาย่อมไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของราชันไก่ฟ้าโลหิตได้แน่นอน
“ไปกันเถอะ”
หลินสวินระบายยิ้ม
คนทั้งขบวนหมุนตัวเดินออกจากหุบเขาแห่งนี้
และหลังจากพวกเขาออกไป สัตว์อสูรมารพวกนั้นที่แต่เดิมหมอบราบกับพื้นต่างก็ตายอนาถไปอย่างเงียบๆ กลายเป็นซากศพเย็นเยียบเกลื่อนพื้น เป็นภาพที่ทำให้ผู้คนสั่นเทิ้มทั้งที่ไม่ใช่หน้าหนาว
“หากเจ้ารู้สึกไม่เบิกบาน ไม่สู้เดินทางไปเทือกเขาผีเผ่นพร้อมกับข้าเสียเลยล่ะ”
เหนือห้วงอากาศหลินสวินเอ่ยถาม
ชีชานกล่าวตกใจ “เจ้าจะไปสังหารราชันค้างคาวดำหรือ”
หลินสวินกล่าวยิ้มๆ “ไม่ได้ตรงไหน”
สี่คำสั้นๆ ราบเรียบสบายๆ แต่เมื่อเข้าหูชีชานและชายหญิงเหล่านั้น กลับเผยกลิ่นอายผงาดกร้าวไร้สิ้นสุด!
ในจักรวรรดิอันกว้างใหญ่แห่งนี้ ใครจะกล้ามองราชันอสูรมารพวกนั้นราวกับไร้ตัวตนเหมือนอย่างหลินสวินบ้าง
ชีชานรู้สึกเพียงว่าเลือดลมสูบฉีดทั่วร่าง กล่าวโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด “ยินดีอย่างยิ่ง ขอเพียงเจ้าไม่รู้สึกว่าเป็นตัวถ่วงก็พอ”
คำตอบของหลินสวินมีเพียงคำเดียว
“ไป”
……
เขาผีเผ่น
“เร็วเข้า เริ่มเคลื่อนไหวกันได้!”
บนยอดเขา ราชันค้างคาวดำเอามือไพล่หลัง ร้องออกคำสั่ง
ก็เห็นพื้นที่แถวนั้นสัตว์อสูรมารกำลังเดินพล่านราวกับกระแสน้ำเชี่ยว บนไหล่ของสัตว์อสูรมารแต่ละตนต่างมีธงรบสีเลือดปักอยู่หนึ่งอัน
ธงรบสีเลือดแน่นขนัดถูกเสียบเข้าไปในพื้นที่ต่างๆ มีจำนวนมากถึงหลายแสน ปกคลุมแม่น้ำภูเขาละแวกพันลี้เอาไว้ภายใน
“พวกเจ้าคอยดู เมื่อค่ายกลนี้ถูกวาง พื้นที่พันลี้แถบนี้ก็จะกลายเป็นคุกยักษ์สีเลือดแห่งหนึ่ง ตัดขาดกับใต้หล้า มีอานุภาพทำลายล้างภูตผีเทพเซียน พวกอยู่ต่ำกว่าระดับอริยะเข้ามา จะต้องตายสถานเดียว!”
ราชันค้างคาวดำสีหน้าเปี่ยมแววลำพอง
เขารูปร่างผอมสูง ปลายคางแหลม นัยน์ตาแดงก่ำยาวเฉี่ยว ใบหูผึ่งกาง ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ทั่วร่างแผ่ซ่านกลิ่นอายดุดันกร้าวแกร่งสะท้านฟ้า
ด้านหลังราชันค้างคาวดำ มีกลุ่มราชันอสูรมารยืนอยู่ ล้วนเป็นลูกน้องคนสำคัญที่ทรงพลังที่สุดใต้บัญชาเขา
เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีเลือด ดวงหน้างดงามหวานละมุนปานหญิงสาวหนึ่งในนั้นก็กล่าวพลางยิ้มน้อยๆว่า “จอมราชัน ค่ายกลนี้น่าสนใจอย่างไรหรือ”
ราชันค้างคาวดำระเบิดหัวเราะลั่น “รู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าคงไม่เข้าใจ เห็นหรือไม่ ธงรบสีเลือดแต่ละอันล้วนใช้เลือดพิสุทธ์ของผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์หลอมขึ้น ธงรบแต่ละอันต่างสูบพลังเลือดพิสุทธิ์ของผู้ฝึกปราณสิบกว่าคน”
“สวรรค์! จำนวนธงรบสีเลือดนี้อย่างน้อยก็มีหลายหมื่นแล้วกระมัง หากคำนวณตามนี้ นั่นไม่ใช่ว่ามีผู้ฝึกปราณจำนวนเกือบแสนถูกฆ่าเลยหรือ!”
ชายหนุ่มชุดเลือดกล่าวอย่างตกใจ
ราชันค้างคาวดำพูดเรียบๆ “หากไม่ทำเช่นนี้มีหรือจะวาง ‘ค่ายกลคุกโลหิตกลืนมาร’ นี่ขึ้นมาได้ นี่เป็นถึงกระบวนค่ายกลที่ใต้เท้าบรรพจารย์อสูรมารถ่ายทอดให้ จากที่ใต้เท้าบรรพจารย์อสูรมารว่ามา หากสามารถใช้เลือดพิสุทธิ์ของอริยะหลอมประทับธงกระบวนได้ ยามที่วางกระบวนค่ายกลนี้ก็สามารถฆ่าราชันอริยะคนหนึ่งให้ตายได้!”
ราชันอสูรมารแถวนั้นต่างพากันสะท้านสะเทือนในใจ สูดหายใจเฮือก
“แต่เหตุใดจอมราชันต้องวางค่ายกลเวลานี้ด้วย หลินสวินนั่นน่ากลัวขนาดนั้นจริงๆ หรือ”
ราชันอสูรมารคนหนึ่งไม่เข้าใจ รู้สึกว่าการที่ราชันค้างคาวดำเปลืองสมองวางค่ายกลนี้เป็นการทุ่มทุนแต่ได้ผลน้อยนิดอย่างสิ้นเชิง
“ราชันเกราะทองตายแล้ว ถูกเจ้าเด็กแซ่หลินนั่นปลิดชีพในคราเดียว ตามที่ใต้เท้าบรรพจารย์อสูรมารว่ามา เด็กนั่นอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีพลังต่อสู้ระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ด น่ากลัวถึงขีดสุด”
ราชันค้างคาวดำกล่าวเสียงเข้ม “พวกเจ้าเองก็รู้ มณฑลซีหนานอยู่ใกล้พวกเรามากที่สุด หากเจ้าเด็กนั่นอยากแก้แค้น เป็นไปได้สูงว่าอาจบุกมาที่เขาผีเผ่น”
ราชันอสูรมารคนอื่นๆ ต่างใจหล่นวูบ
นัยน์ตาแดงฉานของราชันค้างคาวดำพลุ่งพล่านด้วยไอสังหารเย็นเยียบ ทอดมองออกไปไกลๆ กล่าวว่า “ที่ข้าทำเช่นนี้ ก็แค่ซ่อมหลังคาก่อนเข้าหน้าฝน เตรียมการให้พร้อมล่วงหน้า หากหลินสวินนั่นไม่มาก็แล้วไป แต่ขอแค่โผล่หัวมา ข้าจะทำให้ต้องเขาตายไร้ที่ฝังร่างแน่!”
“ฮ่าๆ ท่านหัวหน้าพูดเช่นนี้ ข้าชักทนไม่ไหวอยากให้เด็กนั่นมาเสียแล้ว ได้ยินว่าตอนนี้เขาเป็นถึงบุคคลหมายเลขหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในจักรวรรดิ เป็นที่เคารพเลื่อมใสและยึดเหนี่ยวจิตใจของเผ่ามนุษย์พวกนั้น ถ้าหากฆ่าเขาได้ พวกเผ่ามนุษย์ในจักรวรรดิเกรงว่าคงจะรับการโจมตีไม่ไหวเป็นแน่”
“ใช่แล้วๆ ข้าเองก็อยากเห็นนัก”
ราชันอสูรมารคนอื่นๆ ต่างพากันหัวเราะขึ้นมา
“จอมราชัน ธงกระบวนเตรียมพร้อมแล้วขอรับ!”
ไกลออกไปอสูรมารน้อยเข้ามารายงาน
“สั่งการลงไป ให้พวกเด็กๆ ถอยกลับไปที่เขาผีเผ่นให้หมด”
ราชันค้างคาวดำกระปรี้กระเปร่า เอ่ยสั่งการลงไป
ทันใดนั้นในพื้นที่แถวนั้น สัตว์อสูรมารนับพันนับหมื่นต่างพากันถอยกลับไปราวกับกระแสน้ำ
แลมองเห็นว่ายามนี้ราชันค้างคาวดำล้วงจานหยกสีเลือดทรงกลมอันหนึ่งออกมา ก่อนชูมือขว้างออกไป
วู้ม!
จานหยกสีเลือดพลันขยายใหญ่ขึ้นไม่รู้กี่เท่า ลอยเด่นใต้เวิ้งฟ้าราวกับจันทร์เพ็ญสีเลือด รุ้งเทพสีเลือดโรยร่วงลงมาเป็นสายๆ
ทันใดนั้นกลางฟ้าดินเปี่ยมด้วยแสงเลือดหนาทึบไร้ใดเปรียบ แผ่ครอบธงรบสีเลือดหลายหมื่นอันที่เสียบในพื้นที่ต่างๆ ละแวกพันลี้เอาไว้ข้างใน
ครืน!
เสียงอึงอลราวกับอสูรมารบรรพกาลคำรามเริ่มแผ่กระจายออกไปจากแสงเลือดที่เดือดพล่าน กลิ่นคาวเลือดไร้สิ้นสุดย้อมห้วงอากาศให้กลายเป็นสีแดงฉานบาดตา
เห็นภาพเหตุการณ์เบื้องหน้านี้ ราชันอสูรมารพวกนั้นต่างหวาดผวาในใจ สั่นเทิ้มทั่วร่าง ความดุดันของกลิ่นอายค่ายกลใหญ่นี้ทำให้พวกเขาต่างใจสั่น
ตูม!
ไม่ทันไรลักษณ์ประหลาดทั้งหมดนี้พลันอันตรธานหายลับไป
มีเพียงจันทร์เพ็ญสีเลือดดวงนั้นที่ลอยเหนือเวิ้งฟ้าอย่างเงียบเชียบ เห็นได้ชัดว่าแปลกประหลาดหาใดเปรียบ
“สำเร็จแล้ว!”
ราชันค้างคาวดำสีหน้ากระเหี้ยนกระหือรือ กล่าวพึมพำ “มีค่ายกลนี่อยู่ ขอเพียงอริยะไม่โผล่มา ทั่วทั้งจักรวรรดิแห่งนี้ใครจะทำอะไรข้าได้”
ราชันอสูรมารตนอื่นๆ พากันส่งเสียงแซ่ซ้องยินดี
ราชันค้างคาวดำหัวเราะขึ้นมา จากนั้นก็เหมือนนึกเอะใจอะไรขึ้นมา กล่าวว่า “ไก่ฟ้าโลหิตล่ะ เหตุใดจนป่านนี้ยังไม่กลับมาอีก”
“หลายวันก่อนเจ้าหมอนั่นเพิ่งล้างบางเมืองแห่งหนึ่ง เกรงว่าตอนนี้กำลังเพลิดเพลินกับทรัพย์หลังศึกอยู่”
มีคนกล่าวกลั้วหัวเราะ
แต่ในเวลานี้เองจู่ๆ ก็มีนกปีศาจตัวหนึ่งบินโฉบลงมาจากเวิ้งฟ้า ร้องเรียกลนลาน “จอมราชัน แย่แล้วขอรับ ราชันไก่ฟ้าโลหิตและข้ารับใช้ของเขาตายกันหมดแล้ว!”
ประโยคเดียวทำให้รอยยิ้มของพวกราชันค้างคาวดำชะงักค้างทันควัน
“ฝีมือใคร”
ราชันอสูรมารตนหนึ่งสายตาเย็นเยียบ
“นี่ยังต้องถามอีกหรือ”
ราชันค้างคาวดำแค่นเสียงเย็น “ตอนนี้ในจักรวรรดินอกจากหลินสวินที่ใจกล้าคับฟ้านั่นแล้ว ใครจะกล้าวิ่งมาอาละวาดถึงถิ่นข้าอย่างอุกอาจเช่นนี้”
“อะไรนะ นี่เขากล้ามาจริงๆ หรือ”
ราชันอสูรมารเหล่านั้นตกใจยกใหญ่
“กลัวอะไร มีค่ายกลคุกโลหิตกลืนมารอยู่ หากหลินสวินนั่นกล้ามา ข้าจะหลอมมันให้กลายเป็นกองเลือดอย่างแน่นอน!”
ราชันค้างคาวดำไม่ค่อยพอใจกับปฏิกิริยาตอบสนองของพวกราชันอสูรมารนัก กวาดมองพวกเขาอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง
ทันใดนั้นราชันอสูรมารเหล่านั้นก็พากันกลับสู่ความสงบ ยิ้มเจือแววประดักประเดิดน้อยๆ
“ใช่ ถ้าเด็กนั่นโผล่มา จะต้องตายอย่างไม่น่าพิสมัยแน่!”
พวกเขาแต่ละตนเผยความดุดัน แววตาดุกร้าว
ตูม!
และยามนี้เอง เสียงดังกระหึ่มสะเทือนฟ้าดินสายหนึ่งก็ดังลอยมาจากที่ไกลๆ จนทำให้ฟ้าดินแถบนี้โยกโคลงวูบหนึ่ง
พวกราชันค้างคาวดำต่างแหงนหน้ามองไป
ก็เห็นว่าเหนือเวิ้งฟ้าที่อยู่ไกลๆ ไม่รู้ว่ามียานสมบัติเพิ่มขึ้นมาลำหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ บนยานสมบัติมีเงาร่างกลุ่มหนึ่งยืนอยู่
ผู้นำนัยน์ตาดำผมดำ เสื้อผ้าพลิ้วไหว ดูพ้นโลกีย์ราวกับเทพเซียน
เป็นหลินสวินนั่นเอง
เสียงก้องกระหึ่มเมื่อครู่ก็เกิดจากการที่เขาซัดการโจมตีส่งๆ ใส่ ‘คุกโลหิตกลืนมาร’
หลินสวินกวาดสายตามองเขาผีเผ่น และมองออกในปราดเดียวว่าภูเขาแม่น้ำละแวกพันลี้นี้ถูกครอบด้วยกระบวนผนึกขนาดยักษ์ กลิ่นอายโหดเหี้ยมสยดสยอง คาวเลือดน่าสะพรึง
‘ไออาฆาตคาวเลือดรุนแรงนัก นี่ต้องฆ่าคนเท่าไหร่ถึงจะวางค่ายกลใหญ่ที่หฤโหดเช่นนี้ได้’
หัวคิ้วเขาขมวดมุ่น นัยน์ตาดำวาบประกายเย็นเยียบ มองราชันค้างคาวดำที่ยืนอยู่ไกลออกไปแล้วกล่าวว่า “เจ้าก็คือราชันค้างคาวดำ?”
“ไม่ผิด เจ้าคือหลินสวินกระมัง จากที่ข้าดูก็ไม่เท่าไร”
ราชันค้างคาวดำเอามือไพล่หลัง เจือกลิ่นอายลำพองตน “วันนี้ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ก็อย่าคิดหนีอีกเชียว!”
“ถ้าเดรัจฉานชั่วอย่างพวกเจ้าไม่ตายเรียบ แน่นนอนว่าข้าจะไม่ไปไหนเด็ดขาด”
หลินสวินกล่าวเรียบๆ
พร้อมกันนั้นเขาสื่อจิตไปหาพวกชีชาน ‘พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ คอยดูข้าทลายกระบวนค่ายกลนี่ และเหยียบเขาลูกนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง!’
ขณะพูดเขาก้าวย่างกลางอากาศ อาภรณ์พลิ้วไหวๆ มุ่งหน้าไปทางเขาผีเผ่นแล้ว
——
Related