ภายใต้สายตาหญิงลึกลับ หลินสวินส่ายหน้า
“ค่อยว่ากันเถอะ”
เขาสีหน้านิ่งสงบ ไร้ซึ่งความรู้สึกไม่จำยอมหรืออื่นๆ
ทางต้องเดินทีละก้าว พอรู้ว่าปริศนาที่มาของตนว่ามีเพียงยามที่ก้าวเข้าสู่ทางเดินโบราณฟ้าดาราเท่านั้นจึงจะมีโอกาสคลี่คลาย หลินสวินก็รู้ว่าจะใจร้อนไม่ได้!
เขายังไม่บรรลุอริยะ ยังไม่ได้เตรียมความพร้อมที่จะมุ่งหน้าไปยังทางเดินโบราณฟ้าดารา ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องไปทำ
และห้องโถงมรรคาสวรรค์นี่ เกี่ยวข้องอย่างที่สุด!
เพราะสมบัตินี้ มารดาของตนลั่วชิงสวินจึงถูกมองว่าเป็นคนทรยศและถูกไล่ฆ่า พเนจรมาถึงโลกนี้ตั้งแต่ก่อนวันคืนอันไร้สิ้นสุด พลังสายเลือดถูกทำลายเพราะเหตุนี้
พูดได้ว่าหากหลินสวินอยากรู้ความจริงในตอนนั้น ห้องโถงมรรคาสวรรค์มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นสมบัติสำคัญ เขาย่อมทนถูกประตูสวรรค์ปฏิเสธไม่ได้!
ตอนนี้เขาไม่มั่นใจว่าตนสามารถผลักประตูนี้ออกได้หรือไม่ เพราะฉะนั้นยอมไม่ลงมือ ต้องให้มั่นใจก่อนว่าจะครอบครองห้องโถงมรรคาสวรรค์ไว้ได้
ขอเพียงแค่ห้องโถงมรรคาสวรรค์ยังอยู่ ต่อไปสักวันก็ต้องมีโอกาสเปิดประตูนี้!
หญิงลึกลับอึ้งไปก่อนเป็นอันดับแรก เดิมทีนางคิดว่าด้วยความกล้าหาญและความมุ่งมั่นของหลินสวิน จะต้องเลือกเปิดประตูอย่างไม่ลังเล แต่เขากลับไม่เปิด
นี่ทำให้ในใจนางอดผิดหวังอยู่บ้างไม่ได้ จากนั้นความผิดหวังเสี้ยวนี้ก็ถูกความชื่นชมแทนที่ พูดว่า “รู้จักหยุดเป็นปัญญาที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง”
หลินสวินพูดเยาะตัวเอง “ผู้อาวุโสชมเกินไป ข้าเพียงรู้สึกว่าการเปิดประตูออกตอนนี้ดูไม่เจียมตัวนัก”
นี่ทำให้ในใจหญิงลึกลับเกิดความรู้สึกแรงกล้าอย่างหนึ่ง ก่อนหน้านี้นางเพียงแค่คิดว่าหลินสวินมีโอกาสที่เปิดประตูนี้ออกได้
แต่ตอนนี้กลับคิดว่าหลินสวินมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะเปิดประตูนี้สำเร็จ!
แม้นี่เป็นเรื่องในอนาคต แต่กลับทำให้หญิงลึกลับเกิดคาดความหวังอย่างควบคุมไม่อยู่
ระดับมกุฎราชันมรรคาอมตะคนหนึ่ง กลับสามารถหยั่งถึงขอบเขต ‘สรรสร้างจากความว่างเปล่า’ ยามทะลวงด่าน ทลายเคราะห์ ‘เคาะใจถามความจริง’ ได้ นี่เป็นปาฏิหาริย์ที่เป็นไปไม่ได้อย่างหนึ่ง นำพาความประหลาดใจมาให้หญิงลึกลับมากเกินไป
นี่จะให้นางไม่รอคอยภาพที่หลินสวินมาเปิดประตูนี้ออกได้อย่างไร
……
ตระกูลหลิน ณ ภูเขาชำระจิต
หลังจากนั้นยี่สิบกว่าวัน หลินสวินก็ออกจากการปิดด่าน
“นายน้อย ในช่วงที่ท่านปิดด่านตระกูลหลินของเรา…”
หลินจงปรากฏตัวทันที หมายจะรายงานสถานการณ์ในช่วงนี้ของตระกูลหลิน กลับถูกหลินสวินยิ้มขัดจังหวะพร้อมพูดว่า “ลุงจง ต่อไปเรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องรายงานข้าแล้ว”
หลินจงอึ้ง
หลินสวินอ้าปากพูดขึ้น “ภายในสิบปีข้าจะต้องจากไป ตระกูลหลินก็ควรเลือกผู้สืบทอดคนหนึ่งได้แล้ว”
หลินจงเพิ่งจะเข้าใจ พูดพร้อมสีหน้าซับซ้อน “นายน้อย ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะดูแลตระกูลหลินเป็นอย่างดี!”
พูดถึงตรงนี้เขานึกถึงเรื่องหนึ่งจึงพูดว่า “จริงสิ ช่วงก่อนแม่นางจิ่งเซวียนเคยมาหา บอกว่าหลังจากท่านออกด่านให้ไปพบที่วัง”
หลินสวินอึ้ง “หรือช่วงนี้จักรวรรดิเจอเรื่องอะไรที่ยากจะรับมืออีกแล้ว”
หลินจงส่ายหน้า “นี่เห็นจะไม่มีขอรับ”
หลินสวินใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วพยักหน้าตอบรับ
……
พระราชวัง ตำหนักเฉียนหยวน
“หลินสวิน ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”
ตอนที่เห็นหลินสวินปรากฏตัว จ้าวจิ่งเซวียนอดลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้มไม่ได้ หลังจากพาเขาเข้าไปนั่งในตำหนักก็รินน้ำชาให้เขาด้วยตัวเอง
ภาพนี้เหล่าทหารองครักษ์และนางกำนัลที่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ล้วนมองเห็น ต่างอดอึ้งไม่ได้ ในข่าวลือต่างรู้ว่าองค์หญิงกับผู้นำตระกูลหลินมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่คิดไม่ถึงว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองกลับสนิทสนมเพียงนี้
หรือทั้งสอง…
นางกำนัลและองครักษ์เหล่านั้นอดคิดเชื่อมโยงไปต่างๆ นานาไม่ได้
“พวกเจ้าถอยไปก่อนเถอะ”
จ้าวจิ่งเซวียนโบกมือไล่นางกำนัลและองครักษ์เหล่านั้น จนกระทั่งในตำหนักเหลือเพียงแค่นางกับหลินสวินสองคนจึงค่อยหยิบม้วนหยกม้วนหนึ่งออกมายื่นให้หลินสวิน “นี่คือเรื่องที่เกี่ยวกับลู่ป๋อหยา ท่านลู่คนนี้ของเจ้าไม่ธรรมดา เจ้าอ่านแล้วจะเข้าใจ”
หลินสวินรับม้วนหยกมาเปิดอ่านอย่างละเอียดทันที
ไม่นานหว่างคิ้วของเขาก็เผยอาการแปลกประหลาดออกมาอย่างอดไม่ได้
ข่าวในม้วนหยกสั้นมาก บันทึกหลายเรื่องราวไว้เพียงสั้นๆ แต่เรื่องเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องใหญ่ที่น่าทึ่งอย่างที่สุด
อย่างเช่นสำนักเซียนช่างฝีมือของจักรวรรดิ เริ่มแรกเป็นลู่ป๋อหยาที่สร้างขึ้น ข้อกำหนดต่างๆ ของเรือรบสลักวิญญาณที่วิจัยในสำนักเซียนช่างฝีมือ ล้วนสร้างจากวิธีสลักวิญญาณที่ลู่ป๋อหยาถ่ายทอดด้วยตัวเอง
พูดสั้นๆ ก็คือ ลู่ป๋อหยาเป็นผู้ก่อตั้งสำนักเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ ตอนนั้นลู่ป๋อหยาถูกเรียกว่าผู้เฒ่า ‘ลู่’
นอกจากนี้ภาคีนักสลักวิญญาณ ลู่ป๋อหยาก็เป็นผู้ริเริ่มเช่นกัน สร้างขึ้นโดยปรมาจารย์สลักวิญญาณกลุ่มหนึ่งที่เลือกจากจักรวรรดิ
การก่อตั้งสำนักศึกษามฤคมรกตก็เกี่ยวข้องกับลู่ป๋อหยาเช่นกัน จักรพรรดิพระองค์ปัจจุบันเป็นผู้ออกคำสั่ง เจ้าสำนักและลู่ป๋อหยาร่วมมือกันสร้างสำนักศึกษาอันดับหนึ่งของจักรวรรดิขึ้น
คำว่า ‘มรกต (ชิง)’ แทนแซ่ของเจ้าสำนัก ส่วนมฤค (ลู่) แทนแซ่ของลู่ป๋อหยา
การใช้วิธีต่างๆ อย่างการทดสอบระดับอำเภอ การทดสอบระดับมณฑล การทดสอบระดับอาณาจักรเพื่อเลือกผู้มีความสามารถให้กับจักรวรรดิ ลู่ป๋อหยาก็เป็นคนกำหนดขึ้น โดยมีจักรพรรดิพระองค์ปัจจุบันดำเนินการและส่งเสริม
ในเวลาเดียวกันการก่อตั้งของตำหนักรัตติกาล ค่ายกระหายเลือด ระบบการทดสอบระดับนักสลักวิญญาณ… ล้วนเกี่ยวข้องกับชื่อลู่ป๋อหยาไม่มากก็น้อย!
ตอนที่อ่านถึงตรงนี้หลินสวินเองยังอึ้ง
เขาพอเดาได้ว่าท่านลู่เคยทิ้งรอยเท้าไว้ในจักรวรรดิ แต่คิดไม่ถึงว่ารอยเท้าที่เขาทิ้งไว้จะมากขนาดนี้ ส่งผลกระทบต่อจักรวรรดิลึกล้ำขนาดนี้!
ไม่ว่าจะเป็นสำนักเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ สำนักศึกษามฤคมรกต หรือภาคีนักสลักวิญญาณ ตำหนักรัตติกาล ค่ายกระหายเลือด ล้วนเป็นอาวุธสำคัญของจักรวรรดิ ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของทั้งจักรวรรดิ
ในนี้ทั้งหมดถึงกับมีสติปัญญาที่มาจากลู่ป๋อหยา ใครจะกล้าเชื่อ
ถึงขั้นที่แม้แต่สมบัติอัศจรรย์อย่างชุดศึกสลักวิญญาณยังถ่ายทอดโดยลู่ป๋อหยา จากนั้นจึงเผยแพร่ในจักรวรรดิ!
อ่านถึงตอนท้ายในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจแล้ว มิน่าโครงสร้างของโลกชั้นล่างจึงไม่เหมือนกับดินแดนรกร้างโบราณ
ดินแดนรกร้างโบราณ สำนักโบราณเรียงราย หมื่นเผ่ายึดครอง
แต่ในดินแดนรกร้างโบราณกลับไม่มีสำนักเซียนช่างฝีมือ ภาคีนักสลักวิญญาณ ไม่มีเรือรบสลักวิญญาณรูปแบบต่างๆ ยิ่งไม่มีชุดศึกสลักวิญญาณเหมือนในจักรวรรดิ…
พูดได้ว่าจักรวรรดิจื่อเย่าอาจจะอยู่โลกชั้นล่าง ไม่สะดุดตาอย่างมาก ไม่สามารถเทียบกับดินแดนรกร้างโบราณได้สักนิด แต่ในจักรวรรดิจื่อเย่ากลับปรากฏรูปแบบการฝึกปราณอีกอย่างหนึ่ง
และไม่ต้องสงสัย ทั้งหมดนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับลู่ป๋อหยาอย่างแน่นอน
เหตุใดลู่ป๋อหยาจึงทำได้ถึงขั้นนี้
นอกจากตัวเขาเป็นบุคคลน่ากลัวระดับกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง ยังเป็นเพราะเขาไม่ใช่คนของโลกชั้นล่าง และไม่ใช่คนของดินแดนรกร้างโบราณ แต่มาจากฟากฝั่งฟ้าดารา!
“ข้อมูลเหล่านี้ถูกปิดผนึกไว้ในคลังสมบัติของจักรวรรดิทั้งหมด กระจัดกระจายอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะเจ้าให้ข้ารวบรวม ข้าเองก็ไม่กล้าเชื่อว่าฝีมือของท่านลู่คนนี้จะสุดยอดถึงเพียงนี้”
จ้าวจิ่งเซวียนนั่งลงข้างๆ น้ำเสียงแฝงความชื่นชม
“สร้างเรื่องใหญ่มากมายขนาดนี้ในจักรวรรดิ กลับเก็บซ่อนผลงานและชื่อเสียง ความองอาจระดับนี้ทำให้ข้าอดชื่นชมไม่ได้จริงๆ”
หลินสวินยิ้มขื่น “อย่าว่าแต่เจ้า แม้แต่ข้ายังไม่รู้เรื่องพวกนี้”
“เพียงแต่ที่มาและข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับเขากลับสืบไม่ได้เลยสักนิด เหมือนว่างเปล่าอย่างไรอย่างนั้น”
จ้าวจิ่งเซวียนขมวดคิ้วพูด “ทำเพื่อจักรวรรดิมากขนาดนี้ แต่กลับให้คนรู้ไม่ได้ นี่ผิดปกติมาก”
หลินสวินพูด “ข้าถูกเขาเลี้ยงดูมาจนโต แต่ตอนนี้เพิ่งรู้เรื่องพวกนี้ ผิดปกติมากจริงๆ แต่ว่า… ข้ารู้เหตุผล”
“เจ้ารู้หรือ” จ้าวจิ่งเซวียนแปลกใจ
หลินสวินถอนหายใจกล่าว “พูดแล้วก็ซับซ้อน พูดสั้นๆ ก็คือในหลายปีมานี้ที่เขาเก็บซ่อนฐานะ ปกปิดเรื่องราวของตัวเอง ก็เพื่อไม่ให้ศัตรูมาเจอก็เท่านั้น”
“ศัตรูหรือ” จ้าวจิ่งเซวียนยิ่งประหลาดใจ
หลินสวินขานรับว่าอืมแล้วพูดว่า “ภายหน้าข้าจะบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้า ตอนนี้แม้แต่ข้าก็ยังไม่รู้ความจริงแน่ชัด มีเพียงการคาดเดา”
จ้าวจิ่งเซวียนพยักหน้า นางเข้าใจหลินสวิน ถึงเวลาที่ควรพูดเขาจะไม่ปิดบังตนเด็ดขาด
จากนั้นนางก็พูดถึงอีกเรื่อง “จริงสิ องค์ชายเก้าและมารดาของเขาถูกข้าขังไว้ในสุสานราชวงศ์ เจ้า… จะจัดการพวกเขาอย่างไร”
นัยน์ตาหลินสวินหดรัดลง มองจ้าวจิ่งเซวียนแล้วกล่าวว่า “พวกเขาคนหนึ่งเป็นน้องชายคนละแม่ของเจ้า อีกคนเป็นสนมของพ่อเจ้า ข้าสอดมือไปยุ่งคงไม่เหมาะ ไม่สู้… รอบิดาเจ้ากลับมา ให้เขาจัดการเถอะ”
ใบหน้างามไร้ที่ติของจ้าวจิ่งเซวียนปรากฏรอยยิ้ม “ข้ารู้เจ้ากังวลว่าข้าจะลำบากใจ ความจริงเจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ขอเพียงแค่เจ้าต้องการ ข้าย่อมทำให้เจ้าได้”
หลินสวินยิ้มพูด “ช่างเถอะ เช่นนี้จะทำให้บิดาเจ้าลำบากใจ”
มุมปากฉ่ำวาวของจ้าวจิ่งเซวียนเหยียดขึ้น แฝงความเย่อหยิ่งอย่างบอกไม่ถูก “นี่เจ้าไม่รู้สินะ เสด็จพ่อรักข้าที่สุด ตอนนี้เขาก็ไม่อยู่ พวกเราจัดการก่อนค่อยรายงานทีหลัง ต่อให้จะลงโทษ เสด็จพ่อจะตัดลูกรักเพื่อคุณธรรมลงจริงๆ หรือ”
หลินสวินอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เฮ้อ ในที่สุดข้าก็เข้าใจว่าอย่างไรเรียกข้อศอกงอออกนอกตัว[1]แล้ว”
จ้าวจิ่งเซวียนขวยเขิน จ้องหลินสวินเขม็งแวบหนึ่ง “ยังไม่ใช่เพื่อเจ้ารึ เจ้าดันกล้ามาหัวเราะเยาะข้า นี่พระราชวังนะ เป็นอาณาเขตของข้า เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะให้คนจับเจ้ามาตอนเป็นขันทีน้อยในวัง”
หลินสวินเหงื่อตกทันที
สุดท้ายหลินสวินก็ไม่ได้ตัดสินใจโดยพลการ เหตุผลง่ายมาก สำหรับเขา องค์ชายเก้าและแม่ของเขาถูกกำหนดให้ไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้อีกแล้ว อาจจะต้องเฝ้าสุสานไปทั้งชีวิต
แต่สิ่งที่มากกว่าคือ ถึงอย่างไรองค์ชายเก้าและแม่ของเขาก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถตัดขาดได้กับจ้าวจิ่งเซวียนและจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน อย่างไรก็ต้องไว้หน้า เรื่องนี้เขาจะเด็ดขาดเกินไปไม่ได้
เพียงแต่สิ่งที่หลินสวินไม่รู้คือ จ้าวจิ่งเซวียนได้แอบสั่งการไปนานแล้วว่าให้ทำลายพลังปราณขององค์ชายเก้าและเหมิงหรงแม่ของเขา ตอนนี้สองแม่ลูกเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ การลงโทษเช่นนี้โหดร้ายกว่าการฆ่าพวกเขาเสียอีก!
“เรื่องไม่อาจชักช้า เจ้าไปเรือนโอบดารานิทราบุหลันกับข้าสักหน่อย”
คุยกับจบจ้าวจิ่งเซวียนก็ลุกขึ้นพูด “ตอนที่พวกเสด็จพ่อข้าจากไปไม่เคยทิ้งเบาะแสใดไว้ แต่ข้ารู้แล้วว่าพวกเขาไปที่สมรภูมิกระหายเลือด และข้าก็รู้แล้วว่าตอนนี้หากจะไปสมรภูมิกระหายเลือด จะต้องไปหาคนชื่อ ‘เฒ่าโดดเดี่ยว’ ที่เรือนโอบดารานิทราบุหลัน”
“เฒ่าโดดเดี่ยวหรือ”
หลินสวินนึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นก่อนที่ตนจะไปสมรภูมิกระหายเลือด ราชันกระหายเลือดจ้าวไท่ไหลก็เคยพาเขาไปเรือนโอบดารานิทราบุหลัน กินอาหารเลิศรสอย่างที่สุดที่นั่น
แน่นอนว่าเคยเจอชายชราที่ถูกเรียกว่า ‘เฒ่าโดดเดี่ยว’ คนนั้น
จนวันนี้หลินสวินยังจำได้ว่า จ้าวไท่ไหลเคยลอบกำชับกับเขาว่า ‘เฒ่าโดดเดี่ยว’ คนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา!
——
[1] ข้อศอกงอออกนอกตัว เป็นสำนวน หมายถึงไม่เข้าข้างคนในบ้านตน แต่เห็นคนนอกดีกว่า