Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1425 บังเอิญพบเพื่อนเก่า

ยามหลินสวินมาถึงทิวเขาอบอวลด้วยไอวิญญาณแห่งหนึ่งก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างห้ามไม่อยู่ ทิวเขาเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นถ้ำสวรรค์แดนมงคลอันหายากหาใดเทียบแห่งหนึ่งไปแล้ว

แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครยึดครอง

‘ถ้าฝึกบำเพ็ญที่นี่…’

พอคิดถึงตรงนี้หลินสวินก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง

ครืน!

เขาสูดลมหายใจเฮือกนี้เป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาเต็มๆ บริเวณใกล้เคียงทิวเขาแห่งนี้ต่างเกิดพายุรุนแรงกึกก้อง ทำให้เมฆรอบทิศแหลกสลาย ดั่งมังกรเทพดึกดำบรรพ์กลืนกินอากาศ

ไอวิญญาณไหลหลั่งเข้าไปในร่างของหลินสวินจากทุกทิศทาง ทำให้เขาพร่างพราวไปทั้งตัว ผิวหนังและเลือดเนื้อทุกกระเบียดต่างดูดซับไอวิญญาณบริสุทธิ์อันไพศาลหาใดเทียบนั้นอย่างละโมบ

ในที่สุดพลังทั้งหมดก็ถูกหลอมเข้าไปในเลือดเนื้อร่างกาย

แทบจะในชั่วพริบตา หลินสวินก็สัมผัสได้ว่าพลังหลอมกายของตนแกร่งกล้าขึ้นเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด

ต่อให้เพียงนิดเดียวเท่านั้นก็ทำให้หลินสวินหน้าเปลี่ยนสีไม่หยุด

เพียงลมหายใจเดียวเท่านั้นก็ทำให้พลังหลอมกายเพิ่มพูนขึ้นเล็กน้อย แค่คิดก็รู้ว่าหากฝึกฝนที่นี่อย่างเต็มที่ พลังจะพัฒนาได้เร็วขึ้นปานไหน

‘นอกจากนี้ยังมีผลึกกำเนิดเจตะมากมาย โอสถเทพ วัตถุดิบเทพที่หาได้ยาก… หากใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ พลังหลอมกายจะเพิ่มพูนอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นไปอีก…’

ดวงตาดำของหลินสวินเปล่งประกาย

เขามาถึงสมรภูมิกระหายเลือดแล้ว ต่อให้ตอนนี้ไปรวมตัวกับเหล่าคนใหญ่คนโตอย่างจักรพรรดิกับจักรพรรดินีที่ป่าต้นหม่อน ยามพบจุดเปลี่ยนใหญ่ย่อมไม่มีทางได้รับคุณประโยชน์ใดๆ อย่างแน่นอน

เพราะพลังปราณของเขายังไม่เพียงพอที่จะไปจู่โจมระดับอริยะ

และด้วยการชี้แนะของเฒ่าเดียวดาย ทำให้หลินสวินรับรู้ว่าสิ่งที่เขาต้องใคร่ครวญตอนนี้ไม่ใช่การบรรลุมกุฎอริยะ แต่เป็นการฝ่าเคราะห์มรรคตัดขาด!

และหากต้องการทะลวงเคราะห์นี้ ก็ต้องแก้ไขข้อบกพร่องในพลังหลอมกาย

ก่อนหน้านี้หลินสวินยังไม่มีแผนการอะไร ตอนนี้ด้วยการรับรู้และสืบเสาะมาหลายชั่วยาม เขาก็มีแผนในใจแล้ว

สมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ก็คือสถานที่ฝึกฝนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง!

‘แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้นยังต้องสืบดูสถานการณ์ก่อนเป็นดี…’

ยามหลินสวินใคร่ครวญแล้วเดินทางอีกครั้งหนึ่ง

ที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือตลอดทางมานี้เขาเดินลัดเลาะภูผาธารา แต่ไม่ได้พบสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตอยู่สักตัวเสียอย่างนั้น

กลางป่าเขาไม่มีสัตว์ปีศาจดุร้าย ทั้งไม่มีภูตพฤกษา แม้กระทั่งร่องรอยของแมลงยังไม่มี

ควรรู้ว่าไอวิญญาณกับพลังชีวิตในโลกนี้เข้มข้นจนน่าตกตะลึง เป็นที่ที่ให้กำเนิดชีวิตได้ง่ายที่สุด แต่จวบจนตอนนี้หลินสวินยังไม่ได้พบสิ่งมีชีวิตสักตัว

เรื่องนี้ดูประหลาดนัก ผิดปกติมาก และยังทำให้เขาหาข้อมูลบางอย่างที่อยากสืบให้รู้ได้ยาก

กระทั่งผ่านไปสามชั่วยาม จู่ๆ ในขอบเขตที่จิตรับรู้ของหลินสวินปกคลุมก็รับรู้ได้ถึงเสียงกระแทกโครมครามอย่างรุนแรงระลอกหนึ่ง

‘มีกลิ่นอายต่อสู้ทางตะวันออกหนึ่งพันสามร้อยลี้ หืม? ดูท่า… ฝ่ายหนึ่งในนั้นเป็นเผ่ามนุษย์!’

หลินสวินจิตใจสั่นไหว ในที่สุดก็พบคนเป็นๆ แล้ว!

สวบ!

เงาร่างเขาไหวกะพริบ แปรสภาพเป็นแสงเคลื่อนไร้รูปสายหนึ่งทะลุออกไปกลางอากาศ

เพียงไม่กี่อึดใจหลินสวินก็มาถึงจุดที่ห่างออกมาพันลี้ ตอนนี้ไม่ใช้จิตรับรู้ก็เห็นได้ว่าเงาร่างกลุ่มหนึ่งกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด

ในนั้นมีชายหญิงเจ็ดคนเป็นมนุษย์ อยู่ในค่ายค่ายหนึ่ง แต่ละคนต่างมีพลังปราณแข็งแกร่งระดับราชันอมตะเคราะห์

นี่ก็ทำให้หลินสวินหรี่ตาลงอย่างอดไม่ได้

พอมองไปที่คู่ต่อสู้ของพวกเขาอีกครั้ง รูปร่างเป็นมนุษย์เช่นกัน มีทั้งชายและหญิง แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่มนุษย์

พวกเขาแต่ละคนต่างมีผมสีโลหิตทั้งศีรษะ ผิวหนังสีขาวแวววาวพิสดาร เบื้องหลังมีปีสีเงินเจิดจ้าคู่หนึ่ง

เผ่าวิญญาณขนนกหรือ

หลินสวินอึ้งไป

ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณมีชนเผ่าพื้นถิ่นหลายเผ่ากระจายตัวอยู่ โดยมากเป็นลูกหลานของหมื่นเผ่าบรรพกาล มีขุมอำนาจจำนวนมาก

เช่นเผ่าสิงห์โลหิต เผ่าวาฬมังกร เผ่าหงส์หิรัณย์ เผ่าวัวมารทรงพลัง เผ่าเต่าทมิฬ เผ่าโห่วเมฆา เผ่ากาฬพฤกษ์เป็นต้น

ตอนนั้นยามหลินสวินกับจ้าวจิ่งเซวียน รวมทั้งเหล่าศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณไปแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ก็เคยได้ขับเคี่ยวกับบุคคลระดับบุตรเทพในเผ่าเหล่านั้น

อย่างเผ่าวิญญาณขนนก เขาก็เคยพบมาก่อน

แต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่าในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้จะยังได้พบผู้แข็งแกร่งจากเผ่าวิญญาณขนนกด้วย!

พวกเขาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร

ก่อนหน้านี้หลินสวินก็เคยมาสมรภูมิกระหายเลือด ตอนนั้นมีเพียงสองขุมอำนาจใหญ่อย่างค่ายทัพจักรวรรดิกับค่ายทัพพ่อมดเถื่อนเท่านั้น

แต่ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนเดิมแล้ว!

‘ดูท่า สถานการณ์ในสมรภูมิกระหายเลือดจะซับซ้อนกว่าที่ข้าจินตนาการไว้…’

ดวงตาดำหลินสวินวาววับ

หลินสวินไม่ได้ลังเล พุ่งไปหาทันที

…..

“รังแกกันเกินไปแล้ว!”

หญิงสาวผู้แต่งกายด้วยชุดแดงทั้งตัว เงาร่างสง่างามชดช้อยคนหนึ่งส่งเสียงโกรธเคืองท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด ยามพูดจาก็โบกมือเรียกดาบเทพเปลวเพลิงยาวร้อยจั้งเล่มหนึ่งออกมา

แต่กลับถูกผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกคนหนึ่งโจมตีให้สลายไปโดยง่าย ฟันดาบออกมาครั้งเดียวก็ทำให้หญิงสาวชุดแดงคนนั้นสะท้านจนใบหน้างามซีดขาว ถอยโซซัดโซเซ

“แม่นางเย่ สถานการณ์อันตรายนัก ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่ากองหนุนยังไม่ทันมาพวกเราก็คงยันไม่อยู่แล้ว!”

ชายหญิงสองสามคนที่อยู่ทางอื่นร้อนรนหาใดเทียบ สถานการณ์ของพวกเขามีแต่เค้าลางอันตรายทุกแห่งหน หนำซ้ำหลายคนยังได้รับบาดเจ็บไปแล้ว

‘แข็งใจอีกหน่อย เมื่อกี้ข้าขอกำลังเสริมจากท่านพี่แล้ว เชื่อว่าเขาจะรีบมาโดยเร็ว’

หญิงสาวชุดแดงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วสื่อจิตเอ่ย

“เหอะๆ จนตอนนี้พวกเจ้ายังคิดว่าจะมีคนมาช่วยพวกเจ้าอีกหรือ ละเมอเพ้อพก! จะบอกพวกเจ้าให้ เกรงว่าตอนนี้กองหนุนของพวกเจ้าก็คงวอดวายกันหมดแล้ว!”

ชายหนุ่มเผ่าวิญญาณขนนกคนหนึ่งแค่นหัวเราะ

“อะไรนะ”

พวกแม่นางเย่ต่างหน้าเปลี่ยนสี หลายคนเผยสีหน้าสิ้นหวัง สาเหตุที่พวกเขาประคองตัวมาได้ถึงตอนนี้ ก็เป็นเพราะเชื่อมั่นว่าจะมีกองหนุนรุดหน้ามา

แต่ถ้าขนาดกองหนุนยังถูกจู่โจมขัดขวาง…

เช่นนั้นทุกอย่างก็จบสิ้นแล้ว!

ด้านคู่ต่อสู้ของพวกเขาต่างสีหน้าเย็นชาดุดัน มองพวกแม่นางเย่เหมือนคนตาย

“รีบสู้รีบจบ!”

ผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกที่นำหน้าตะคอก

“รีบดูเร็ว!”

แต่ในขณะเดียวกันมีคนร้องตกตะลึง

ก็เห็นเงาร่างเงาหนึ่งเคลื่อนทะลุอากาศมาราวรุ้งเทพมายาสายหนึ่ง เจือด้วยเสียงดังโครมคราม พอรุ้งเทพนั้นหยุดก็ฉายให้เห็นร่างสูงโปร่งร่างหนึ่ง

เห็นเพียงเขาเงื้อมือขึ้นชี้

ปราณกระบี่สายแล้วสายเล่าพลันเคลื่อนออกมา พร่างพราวแสบตา เฉียบคมไร้เทียมทาน ส่องเวิ้งฟ้าให้สว่าง

ชั่วพริบตาผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกสิบกว่าคนแทบไม่ได้ส่งเสียงสักแอะ ร่างกายก็ถูกปราณกระบี่ไร้เทียมทานกรีดเฉือนตัดขาด เลือดเนื้อระเบิดออกกลางอากาศราวควันเพลิง

ชั่วพริบตาปราณกระบี่ออกมาทำลายเหล่าศัตรู ไม่มีผู้ใดฟื้นคืน!

หญิงสาวชุดแดงอึ้งไป ม่านตาเบิกกว้าง

นั่นเป็นถึงเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกที่คนอ่อนแอที่สุดยังมีพลังปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านสาม ก่อนหน้านี้กดดันพวกเขาจนสิ้นหวังกันไปหมด

แต่ตอนนี้กลับถูกเด็ดชีวิตไปอย่างง่ายดายเหมือนต้นหญ้าไร้ค่าแล้ว!

ทุกสิ่งเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ชั่วพริบตาก็ปิดฉากลง แต่ความสั่นสะท้านที่ก่อขึ้นกลับจู่โจมจิตใจพวกหญิงชุดแดงประหนึ่งมหานที

“เย่หงเสวี่ยจากตระกูลเย่ทะเลตะวันออกคารวะผู้อาวุโส ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิต”

หญิงสาวชุดแดงผู้เป็นหัวหน้าได้สติกลับมาคนแรก โค้งกายคำนับ

คนอื่นก็พลันได้สติจากความตื่นตระหนก รีบร้อนก้าวมาทำคาระวะ

ขณะที่พูดพวกเขาต่างเห็นรูปลักษณ์ของหลินสวินชัดเจนแล้ว ล้วนตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ไปครู่หนึ่ง คล้ายคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะอ่อนวัยขนาดนี้

แต่ผู้บรรลุเป็นอาจารย์ ผู้แข็งแกร่งเป็นผู้ศักดิ์สูง เรียกว่าผู้อาวุโสก็เหมาะสม

ผู้ที่มาช่วยชีวิตก็คือหลินสวิน เขาทอดสายตามองดูหญิงสาวชุดแดงนามเย่หงเสวี่ย แล้วเอ่ยถามว่า “ตระกูลเย่แห่งทะเลตะวันออกหรือ ผู้อาวุโสเย่ฉิงเทียนเป็นอะไรกับเจ้า”

เย่หงเสวี่ยกล่าวด้วยเสียงนอบน้อมว่า “เรียนผู้อาวุโส เป็นบิดาข้าเจ้าค่ะ”

“งั้นเจ้าเป็นพี่สาวหรือน้องสาวของเย่เสี่ยวชี” หลินสวินเอ่ย

สมัยฝึกปราณที่ค่ายกระหายเลือด เพื่อนที่หลินสวินผูกมิตรด้วยมีไม่มาก หนึ่งในนั้นก็มีเย่เสี่ยวชี

เย่หงเสวี่ยคล้ายตกตะลึงไปบ้าง แต่ยังเอ่ยตอบว่า “เย่เสี่ยวชีเป็นพี่ชายข้าเจ้าค่ะ”

หลินสวินยิ้มพูด “แบบนี้พวกเราก็ไม่ถือเป็นคนอื่นไกล ข้าชื่อหลินสวิน พี่ชายเจ้าเป็นเพื่อนข้าเอง”

เย่หงเสวี่ยชะงักไป กล่าวอย่างยินดีปรีดาว่า “เช่นนั้นผู้อาวุโสก็คือหลินสวิน ผู้นำแห่งภูเขาชำระจิตที่อำนาจทั่วนครหลวงคนนั้นหรือ”

หลินสวินลูบจมูก ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่บังอาจมีอำนาจทั่วนครหลวงหรอก อีกอย่างอย่าเรียกข้าว่าผู้อาวุโสเลย ข้าไม่ได้แก่อย่างที่เจ้าคิด”

คนอื่นคล้ายได้สติกลับมาเช่นกัน แสดงสีหน้างุนงง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างเคยได้ยินเรื่องราวของหลินสวิน

“เช่นนั้นข้าจะเรียกท่านว่าพี่หลินสวินก็แล้วกัน”

เย่หงเสวี่ยพูดยิ้มระรื่น นางแต่งกายชุดแดงทั้งตัว นิสัยใจคอชัดเจนตรงไปตรงมา

หลินสวินพยักหน้า แล้วเอ่ยว่า “เหตุใดพวกเจ้าถึงปะทะกับเผ่าวิญญาณขนนก”

“เมื่อวันก่อนตอนพวกเราสำรวจทิวเขาแห่งหนึ่ง ค้นพบสายแร่ผลึกกำเนิดเจตะยาวราวร้อยจั้งสายหนึ่งโดยบังเอิญ พอพวกเรากำลังจะขุดสายแร่ ก็ถูกผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกพวกนี้หมายหัวเข้า…”

เย่หงเสวี่ยยังออกจะแค้นเคือง เล่าเรื่องให้ฟัง

พูดง่ายๆ ก็คือพวกเย่หงเสวี่ยถูกผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกฉวยโอกาสปล้นเสียแล้ว

“แย่ล่ะ ตามที่ผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกพูดเมื่อกี้ เป็นไปได้สูงยิ่งที่พี่ชายข้าจะถูกซุ่มโจมตีระหว่างทางมาช่วยเสริมทัพ!”

ทันใดนั้นเย่หงเสวี่ยก็นึกเรื่องหนึ่งออก ใบหน้างามเปลี่ยนสี

“เย่เสี่ยวชีหรือ” หลินสวินถาม

เย่หงเสวี่ยรีบร้อนพยักหน้า

“เจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้เขาอยู่ไหน” หลินสวินเอ่ยถาม

“รู้เจ้าค่ะ”

“เจ้านำทางที ข้าจะไปหาเขา”

หลินสวินพูดอย่างไม่ลังเล

คนอื่นต่างจิตใจสั่นไหว เมื่อกี้พวกเขาได้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของหลินสวินไปแล้ว ถ้ามีเขาช่วยย่อมดียิ่งนัก

ฉับพลันด้วยการนำของเย่หงเสวี่ย พวกเขาก็รีบร้อนเดินทาง

เดิมหลินสวินยังอยากถามสถานการณ์ในสมรภูมิกระหายเลือดบ้าง แต่พอเห็นท่าทางกังวลใจของเย่หงเสวี่ย สุดท้ายจึงยังเก็บกลั้นไว้ รอยามได้พบเย่เสี่ยวชีค่อยถามก็ไม่สาย

ตูม!

ไม่นานนักเสียงปะทะดังลั่นจนหูแทบดับระลอกหนึ่งก็ดังขึ้นไกลๆ

มองออกไปไกลๆ ในสถานที่อันไกลลิบเป็นทุ่งร้างกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ตอนนี้เหนือทุ่งร้างนั้นมีการต่อสู้ดุเดือดกำลังปะทุขึ้น

ผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมโจมตีชายหนุ่มที่แต่งกายด้วยชุดดำ ร่างกายอ้วนท้วนผู้หนึ่ง

อย่ามองว่าร่างของชายหนุ่มผู้นั้นอ้วนกลม ทว่าปราดเปรียวผิดธรรมดา แม้ถูกผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งล้อมโจมตี กลับอาศัยท่าร่างราวปีศาจสลายอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า

แต่ใครก็ดูออกว่าสถานการณ์ของเขาอันตรายนัก!

“เป็นพี่ชายของข้า!” เย่หงเสวี่ยเอ่ยร้อนรน

หลินสวินก็เห็นแล้ว อีกทั้งมองปราดเดียวก็จำเย่เสี่ยวชีได้ ผ่านไปหลายปีเช่นนี้ รูปร่างของเขายังอ้วนกลมเช่นนั้น

แต่หลินสวินก็ดูออกว่าพลังปราณของเย่เสี่ยวชีบรรลุถึงระดับอมตะเคราะห์ด่านหกแล้ว!

‘ดูท่าในช่วงหลายปีที่ข้าจากไปนี้ เจ้าพวกที่เข้ามาในสมรภูมิกระหายเลือดอย่างพวกเย่เสี่ยวชี พลังปราณก็ล้วนเปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกฟ้าดินทั้งนั้น…’

หลินสวินทอดถอนใจในใจครู่หนึ่ง ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดถึงไม่พบเหล่าเพื่อนสมัยเด็กอย่างพวกเย่เสี่ยวชีในจักรวรรดิ

เห็นได้ชัดว่าเป็นไปได้สูงยิ่งที่พวกเขาจะมาที่สมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้แล้ว!

——

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

BRCO, Tian Jiao Zhan Ji, 天骄战纪
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset