สิบกว่าปีก่อนฟ้าดินแปรผันฉับพลันปะทุขึ้น สมรภูมิกระหายเลือดจึงเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงไปด้วย
ตอนนั้นเหล่าคนใหญ่คนโตอย่างจักรพรรดิ จักรพรรดินี เจ้าสำนักศึกษามฤคมรกต ราชันกระหายเลือดจ้าวไท่ไหล นำเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เข้าสู่สมรภูมิกระหายเลือด
และในตอนนั้นคนใหญ่คนโตของพ่อมดเถื่อนเก้าสายก็พาผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์ที่เก่งกาจที่สุดมาที่นี่เช่นกัน
ครึ่งปีผ่านไปในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ บุคคลน่ากลัวผู้ลึกลับที่ได้รับการยกย่องจากเหล่าเผ่าบรรพกาลมากมายให้เป็น ‘จักรพรรดิเขียว’ ใช้ฝีมือไร้เทียมทานเปิดค่ายกลใหญ่บรรพกาลค่ายหนึ่งที่ผนึกอยู่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ เปิดอุโมงค์ทางเข้าสู่สมรภูมิกระหายเลือด
ตั้งแต่นั้นมาในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ก็กลายเป็นเวทีประชันของสามทัพใหญ่อย่างจักรวรรดิ พ่อมดเถื่อนและพันธมิตรหมื่นเผ่า
……
“พวกเราทัพจักรวรรดิตั้งอยู่ที่ ‘ภูเขาเมฆาคราม’ ห่างไปราวหนึ่งหมื่นสามพันลี้ บัญชาการโดยผู้อาวุโสราชินีกระหายเลือดจ้าวซิงเย่”
“ส่วนทัพพ่อมดเถื่อนยึดครองพื้นที่สุดแดนตะวันตก ห่างจากภูเขาเมฆาครามสองหมื่นกว่าลี้ สั่งการโดยสัตว์ประหลาดเฒ่าที่มาจากสายคนเถื่อนมืดผู้ถูกขนานนามว่า ‘พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬ’”
“พันธมิตรหมื่นเผ่าตั้งอยู่ที่สุดแดนตะวันออก ห่างจากภูเขาเมฆาครามไปหนึ่งหมื่นเก้าพันลี้ สั่งการโดย ‘อริยะ’ เผ่าวัวมารทรงพลังผู้หนึ่ง”
เย่เสี่ยวชีนำพวกหลินสวินเคลื่อนตัวไปทางภูเขาเมฆาคราม
ระหว่างทางเย่เสี่ยวชีเล่าสถานการณ์ในสมรภูมิกระหายเลือดให้หลินสวินฟังคร่าวๆ
หลินสวินฟังอยู่เงียบๆ ในใจก็ตกตะลึงอย่างอดไม่ได้
บุคคลน่ากลัวที่ได้รับการยกย่องจากเหล่าขุมอำนาจบรรพกาลมากมายให้เป็น ‘จักรพรรดิเขียว’ ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณเป็นใคร
ถึงกับสามารถเปิดเส้นทางหนึ่งเข้าสู่สมรภูมิกระหายเลือดได้ ฝีมือเช่นนี้เรียกได้ว่าน่ากลัวจริงๆ
มิน่าเมื่อกี้ถึงได้พบกับผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกในสมรภูมิกระหายเลือด
“พวกจักรพรรดิ จักรพรรดินีและเจ้าสำนักมฤคมรกต ตั้งแต่มาถึงสมรภูมิกระหายเลือดในตอนนั้นก็ออกไปยังสถานที่แห่งหนึ่งชื่อ ‘ป่าต้นหม่อน’ ด้วยกัน”
พอเย่เสี่ยวชีพูดถึงตรงนี้ หลินสวินก็สั่นสะท้านในใจอย่างอดไม่ได้ เอ่ยว่า “ป่าต้นหม่อนหรือ”
“ใช่ ได้ยินว่านั่นเป็น ‘แดนบ่อเกิดแรกกำเนิด’ ที่แท้จริง มีจุดเปลี่ยนใหญ่อันไม่อาจจินตนาการได้ รวมถึงเรื่องราวลี้ลับไม่อาจคาดเดาได้มากมายอยู่”
เย่เสี่ยวชีเอ่ย “น่าเสียดายที่นั่นน่ากลัวเกินไป สำหรับผู้แข็งแกร่งที่มีระดับต่ำกว่าอริยะแล้วก็เหมือนแดนต้องห้าม ไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับไปหาที่ตาย”
หลินสวินพยักหน้า
ปัญหาข้อนี้เฒ่าโดดเดี่ยวเคยบอกเขาก่อนมาสมรภูมิกระหายเลือด
ในป่าต้นหม่อนนั้น อริยะ มหาอริยะ ราชันอริยะ กระทั่งบุคคลผู้น่าครั่นคร้ามที่อยู่ในระดับกึ่งจักรพรรดิล้วนมีได้ทั้งนั้น น่ากลัวเกินไป!
เพียงแต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่าที่แท้ป่าต้นหม่อนนั้นจะเป็น ‘แดนบ่อเกิดแรกกำเนิด’ แห่งหนึ่งด้วย
“นอกจากพวกจักรพรรดิ คนใหญ่คนโตในทัพพ่อมดเถื่อนกับพันธมิตรหมื่นเผ่าต่างก็เข้าไปในป่าต้นหม่อนด้วยกัน”
เย่เสี่ยวชีกล่าวต่อ “หากไม่เป็นเช่นนี้ หลายปีมานี้ผู้แข็งแกร่งระดับราชันในมรรคาอมตะอย่างพวกเรายากนักที่จะมีโอกาสดำรงอยู่ที่นี่”
หลินสวินพูดอย่างเห็นด้วยยิ่งว่า “เป็นเช่นนี้จริงๆ สำหรับผู้ฝึกปราณคนอื่นระดับราชันก็น่ากลัวมากพอแล้ว แต่ในสายตาของอริยะ ระดับราชันก็เป็นเหมือนมด ถ้ามีพวกเขาอยู่ ไม่ว่าจะกระทำการหรือช่วงชิงวาสนาก็ย่อมไม่ใช่เรื่องที่พวกเจ้าทำได้”
“นั่นน่ะสิ”
เย่เสี่ยวชียิ้มเอ่ย “ยังโชคดีที่หลายปีมานี้คนใหญ่คนโตอย่างพวกเขาไม่อยู่ เลยทำให้พวกเราคว้าโอกาสนี้ไว้ ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรฝึกปราณในสมรภูมิกระหายเลือด ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสิบกว่าปีก็มีราชันระดับอมตะเคราะห์กลุ่มใหญ่ปรากฏตัวขึ้นมา”
พูดถึงตรงนี้เย่เสี่ยวชีก็นึกอะไรขึ้นมาได้ นิ่วหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ “ยุ่งยากอยู่เรื่องเดียวก็คือในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ไม่ได้มีแค่พวกเราทัพจักรวรรดิ ยังมีขุมอำนาจกองทัพอื่นอีกสองทัพยึดครองอาณาเขต หลายปีมานี้เพื่อช่วงชิงทรัพยากรฝึกปราณต่างๆ การปะทะและเข่นฆ่ากันจึงปะทุขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
“เฮ้อ ตอนนี้สถานการณ์ของพวกเรายิ่งลำบากเสียแล้ว ไม่เพียงทัพพ่อมดเถื่อนมองเราเป็นศัตรูคู่อาฆาต แม้แต่พันธมิตรหมื่นเผ่ายังมองเราเป็นคู่ต่อสู้”
เย่หงเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ทอดถอนใจ
“กองทัพใหญ่ทั้งสองนี้ร่วมมือกันหรือ” หลินสวินประหลาดใจ
เย่เสี่ยวชีส่ายหน้า “ไม่ได้ร่วมมือกัน ทัพพ่อมดเถื่อนกับพันธมิตรหมื่นเผ่าไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกันมาโดยตลอด”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
หลินสวินคล้ายขบคิด “ในสายตาของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าจักรวรรดิรังแกง่ายก็เท่านั้น ถึงได้กล้าเหิมเกริมไม่หวั่นเกรงแบบนี้”
พอพูดถึงตรงนี้เขาก็สงสัยอย่างห้ามไม่อยู่ “จักรวรรดิไม่ได้เคลื่อนไหวบ้างหรือ”
“พวกคนใหญ่คนโตไปป่าต้นหม่อนกันหมด ก่อนจากไป ตามที่สัญญากันไว้ แต่ละทัพมีอริยะบัญชาการได้แค่คนเดียว”
เย่เสี่ยวชีแจกแจงอย่างใจเย็น “หรือพูดได้ว่าการเทียบพลังระหว่างสามทัพใหญ่ ว่ากันถึงที่สุดแล้วก็คือการขับเคี่ยวกันระหว่างผู้แข็งแกร่งระดับราชันอย่างพวกเรา”
หลินสวินเอ่ยคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ผลสุดท้ายล่ะ ผู้แข็งแกร่งฝั่งจักรวรรดิไม่เก่งกาจเท่าผู้แข็งแกร่งจากทัพใหญ่อีกสองทัพหรือ”
เย่เสี่ยวชีปฏิเสธทันควัน “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้แน่ หลายปีมานี้พวกเราผู้แข็งแกร่งจากจักรวรรดิต้องรับมือผู้แข็งแกร่งจากทั้งทัพพ่อมดเถื่อนและพันธมิตรหมื่นเผ่า ก็ย่อมต้องเสียเปรียบมากอยู่แล้ว!”
“ใช้แล้ว สองหมัดยากต่อกรสี่มือ มิหนำซ้ำช่วงไม่กี่ปีนี้ในศึกถกมรรคเขาพินิจมรรค พวกเราผู้แข็งแกร่งจักรวรรดิก็ถูกอีกสองทัพใหญ่เพ่งเป้าทุกครั้งไป จนถึงกับแพ้ยับเยินต่อเนื่อง สูญเสียคนเก่งไปไม่น้อย เลยทำให้อีกสองทัพใหญ่ยิ่งกำเริบเสิบสาน!”
เย่หงเสวี่ยก็อดไม่ได้เอ่ยปากอย่างขุ่นเคือง
“ศึกถกมรรคเขาพินิจมรรคหรือ”
หลินสวินประหลาดใจ
เย่เสี่ยวชีอธิบายในทันใด
ที่แท้ในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้มีภูเขาเทพอัศจรรย์อยู่ลูกหนึ่ง ที่ราบหน้าผาตรงยอดเขามีกำแพงหินแถบหนึ่ง
ทุกๆ สามปี บนกำแพงหินในที่ราบหน้าผาตรงยอดเขานั้นก็จะปรากฏรอยสลักมหามรรคแน่นขนัดคลุมเครือรอยแล้วรอยเล่า
ร่องรอยสลักมหามรรคเหล่านี้ลึกลับถึงที่สุด ขอเพียงได้หยั่งรู้ที่นี่ ล้วนทำให้พลังปราณของตนแกร่งกล้าเพิ่มพูนยิ่งขึ้น!
อีกทั้งร่องรอยสลักมหามรรคนี้มีประโยชน์อันไม่อาจประมาณค่าได้ต่อการเลื่อนขั้นบรรลุระดับ เรียกได้ว่าอัศจรรย์หาใดเทียบ
ดังนั้นภูเขาลูกนี้จึงถูกขนานนามว่า ‘เขาพินิจมรรค’ ด้วย
แต่ที่ประหลาดก็คือ ในทุกๆ สามปี ร่องรอยสลักมหามรรคเหล่านี้ถึงจะปรากฏขึ้นครั้งหนึ่ง แต่ละครั้งมีเพียงคนเดียวที่จะสามารถขึ้นไปบนที่ราบหน้าผานั้น เพื่อหยั่งถึงร่องรอยมหามรรคที่ปรากฏบนกำแพงหินนั้นได้
แรกเริ่มเดิมทีสามทัพใหญ่อย่างจักรวรรดิ พ่อมดเถื่อนและพันธมิตรหมื่นเผ่า ก่อสงครามนองเลือดอันดุเดือดหาใดเทียบครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อช่วงชิงสิทธิ์ถือครองภูเขานี้
แต่สุดท้ายใครก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ ดังนั้นจึงตั้งกฎว่าทุกสามปีจะมี ‘ศึกถกมรรค’ หน้าเขาพินิจมรรค
กฎของศึกถกมรรคง่ายดายเรียบง่ายถึงที่สุด ต่อสู้!
ในตอนแรกสุดผู้แข็งแกร่งที่ได้รับคัดเลือกจากแต่ละกองทัพใหญ่จะเข้าห้ำหั่นกันหนึ่งต่อหนึ่ง สุดท้ายฝ่ายที่ได้รับชัยชนะจะสามารถขึ้นเขาไปหยั่งรู้ร่องรอยมหามรรคที่อยู่บนกำแพงหินเขาพินิจมรรคได้
และเพื่อความยุติธรรม ฝ่ายที่ได้รับชัยชนะจะเสียคุณสมบัติ ‘ถกมรรค’ ในครั้งต่อไป ผู้ชนะจะมาจากการต่อสู้กันระหว่างผู้แข็งแกร่งอีกสองทัพ
พอได้รู้เรื่องเหล่านี้หลินสวินก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “จากนั้นในศึกถกมรรคฝั่งจักรวรรดิก็ไม่เคยได้เปรียบอะไรมาโดยตลอดหรือ”
เย่เสี่ยวชีพูดอย่างอายๆ อยู่บ้างว่า “ก็เป็นอย่างนี้จริงๆ”
เย่หงเสวี่ยกลับเอ่ยตรงไปตรงมาว่า “ในศึกถกมรรคครั้งแรกเมื่อสิบหกปีก่อน เป็นพันธมิตรหมื่นเผ่าที่ได้รับชัยชนะในท้ายที่สุด สิบสามปีก่อนเป็นทัพพ่อมดเถื่อนคว้าชัย สิบปีก่อนในที่สุดจักรวรรดิของพวกเราก็ชนะครั้งหนึ่ง แต่ตั้งแต่นั้นมา ในศึกถกมรรคเขาพินิจมรรคก็มีแต่พวกเขาสองกองทัพที่ชนะแล้ว…”
หลินสวินงุนงง แทบไม่กล้าทำใจเชื่อ “จักรวรรดิชนะแค่ครั้งเดียวหรือ”
เย่เสี่ยวชีพยักหน้าอย่างเก้อเขินและจนใจอีกครั้ง
“แต่อีกสองปีศึกถกมรรคเขาพินิจมรรคก็จะจัดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้จักรวรรดิพวกเราต้องชนะแน่!”
เย่เสี่ยวชีสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยอย่างหนักแน่น
“ใช่ ต้องชนะแน่นอน หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน ภายในสองปีศิษย์พี่หลี่ตู๋สิงต้องบรรลุอมตะเคราะห์ด่านเก้าได้แน่!”
ดวงตาเย่หงเสวี่ยเจือความกระตือรือร้น เสียงแฝงไปด้วยความชื่นชม
ในสายตาของคนอื่นก็เจือแววเคารพยกย่องไม่มากก็น้อย
หลี่ตู๋สิง!
ในหัวหลินสวินพลันปรากฏร่างเด็กหนุ่มที่แต่งกายชุดดำ ผิวพรรณขาวซีด เงียบขรึมพูดน้อยคนหนึ่ง
สมัยอยู่ในค่ายกระหายเลือด หลี่ตู้สิงเป็นที่จดจำของหลินสวินยิ่งนัก เขามีนิสัยรักสันโดษ ไม่ค่อยพูดจา สีหน้าเหมือนน้ำแข็งที่ไม่ละลายมาพันปี หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ ไม่ทำอย่างอื่นนอกจากฝึกปราณ
แต่หลินสวินรู้ว่าแม้ภายนอกหลี่ตู๋สิงดูเย็นชา แต่ภายในใจกลับมีอารมณ์ความรู้สึก
เพราะเขาเคยดื่มสุรากับหลี่ตู้สิง หลี่ตู้สิงที่เมามายกลับเป็นคนพูดมาก พอฟัดพอเหวี่ยงกับหญิงปากเปราะช่างจำนรรจาได้เลย…
ความลับนี้มีเพียงพวกหลินสวิน สืออวี่และหนิงเหมิงเท่านั้นที่รู้
ถ้าหลินสวินจำไม่ผิด หลังออกจากค่ายกระหายเลือดตอนนั้นหลี่ตู๋สิงก็ไปฝึกปราณที่ตำหนักแสงทมิฬ เพราะเขามีพรสวรรค์ที่พบเห็นได้ยากยิ่งอย่างหนึ่ง บ่อพลังวิญญาณสามารถสำแดงปรากฏการณ์ประหลาดอย่าง ‘กระบี่รัตติกาล’ ออกมาได้
‘หลี่ตู๋สิง… เขาก็อยู่ที่นี่…’ หลินสวินเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง ไม่ได้พบเจ้าคนรักสันโดษนั่นหลายปีแล้ว
เย่เสี่ยวชียิ้มระรื่นเอ่ยว่า “นอกจากหลี่ตู๋สิง พวกสืออวี่ หนิงเหมิง กงหมิงก็อยู่กันหมด ถ้าพวกเขารู้ว่าเจ้ามาแล้วต้องตื่นเต้นจนร้องลั่นแน่”
สมัยอยู่ในจักรวรรดิตอนนั้น เพื่อนที่หลินสวินผูกมิตรด้วยมีไม่น้อย แต่ที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกลับมีเพียงน้อยนิดอย่างสืออวี่ หนิงเหมิง เย่เสี่ยวชีและกงหมิง
พวกเขาต่างออกมาจากค่ายกระหายเลือด ทั้งยังเคยผ่านเรื่องราวมากมายในนครต้องห้ามแห่งจักรวรรดิมาด้วยกัน
ทว่าตั้งแต่หลินสวินไปดินแดนรกร้างโบราณ พวกเขาก็ไม่ได้พบกันมาหลายปีแล้ว
เดิมทีหลินสวินนึกว่าพวกสืออวี่กับหนิงเหมิงก็ไปดินแดนรกร้างโบราณด้วย แต่ตอนนี้เพิ่งรู้ว่าพวกเขาต่างมาที่สมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้
“ดูสิ นั่นก็คือภูเขาเมฆาคราม ทัพของจักรวรรดิพวกเรา!”
ผ่านไปหนึ่งเค่อ เย่เสี่ยวชีก็ชี้ไปข้างหน้า เอ่ยปากเหมือนยกภูเขาออกจากอก ตัวเขาผ่อนคลายขึ้นมาแล้ว
หลินสวินเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าบนเส้นขอบฟ้าไกลลิบมีภูเขาลูกใหญ่ที่อบอวลไปด้วยไอม่วง สูงใหญ่ทรงอำนาจลูกหนึ่งตั้งตระหง่านกลางฟ้าดิน งดงามยิ่งใหญ่ราวกระดูกสันหลังค้ำจุนฟ้า
พอนำทิวเขาอื่นที่อยู่ใกล้เคียงมาเทียบกัน ก็ดูไม่โดดเด่นทันตา
ภูเขาเมฆาคราม!
จากสายตาของหลินสวิน ภูเขาใหญ่ที่ปกคลุมด้วยไอมงคลสีม่วงไปทั้งลูกนั้นช่างเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ อัศจรรย์เหนือธรรมดาแห่งหนึ่ง
ในแดนเก้าบนแห่งแดนมกุฎก็ไม่ขาดเขามงคล แต่เทียบกับภูเขาเมฆาครามนี้ยังด้อยกว่าไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด
สมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ไม่ธรรมดาดังคาด!
หลินสวินรำพึงในใจ
เพียงแต่พอพวกเขามาถึงภูเขาเมฆาคราม ก็ได้ยินข่าวร้ายข่าวหนึ่งทันที…
หลี่ตู๋สิงถูกคนซุ่มโจมตี ได้รับบาดเจ็บสาหัส!
——