Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1439 ศึกถกมรรคเริ่มขึ้น

ตามที่หญิงลึกลับกล่าว สมรภูมิกระหายเลือดในยามราตรีอันมืดมิดนั้น นำไปสู่อีกโลกหนึ่งจริงๆ

โลกแห่งนี้สร้างขึ้นจากร่างที่เปื่อยสลายของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง!

และภายในร่างกายของเขา ทุกจุดทุกทวารล้วนกลายเป็นโลกใบหนึ่ง ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าถูกแบ่งเป็นโลกนับไม่ถ้วนที่มีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน

ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิคนนี้เป็นใคร และเปื่อยสลายไปนานเท่าไรแล้ว ไม่มีทางรู้ได้อีกแล้ว

แต่สิ่งที่สามารถถมั่นใจได้คือ นี่เป็นระดับจักรพรรดิที่แข็งแกร่งสะท้านโลกถึงที่สุดคนหนึ่ง บุคคลชั้นยอดที่ทำให้หญิงลึกลับยังต้องเอ่ยปากชื่นชมเขา

และเวลานี้เอง หลินสวินเพิ่งรู้ว่า ‘ณ กายาแลดวงจิต ล้วนแปรเปลี่ยนเป็นจักรวาล ’ ก็คือสัญลักษณ์ที่คัดแยกบุคคลระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง!

ลองนึกภาพดูว่าผู้ฝึกปราณคนหนึ่ง แต่ภายในกายกลับเหมือนจักรวาลเวิ้งว้าง จุดชีพจร อวัยวะตันห้ากลวงหก แขนขา กระดูกทั้งปวง… ถึงกับแปรสภาพเป็นโลกใบหนึ่งได้ นี่มันน่าสะพรึงปานใดกัน

นี่ก็คือระดับจักรพรรดิ!

เมื่อนึกถึงสถานที่ที่ตนเหยียบอยู่ ถึงกับเป็นโลกที่เปลี่ยนสภาพจากจุดชีพจรเล็กๆ ไม่สะดุดตาของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง ก็ทำให้จิตใจหลินสวินสั่นสะท้านวูบหนึ่ง

และเมื่อคิดว่าคู่ต่อสู้ที่ตนต่อสู้เข่นฆ่ามานานกว่าครึ่งปี คือไอสังหารเสี้ยวหนึ่งที่ระดับจักรพรรดิเหลือทิ้งไว้ตอนที่เปื่อยสลาย ซ้ำยังถูกอานุภาพกาลเวลากัดเซาะจนไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ในใจหลินสวินก็ยิ่งไม่อาจสงบได้มากขึ้นเรื่อยๆ

บุคคลระดับจักรพรรดิที่ยังมีชีวิตอยู่ จะน่าสะพรึงปานใดกันแน่

หลินสวินนึกถึงบุคคลชั้นยอดในยุคดึกดำบรรพ์อย่างจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียน จักรพรรดิสงครามอู๋ยาง อริยพุทธซิงเจีย และนึกถึงจักรพรรดิสงครามดับดาราที่เป็นไปได้สูงว่าอาจเป็นลุงของตน…

ทันใดนั้นเขาก็ตวัดสายตามองหญิงลึกลับโดยพลัน สีหน้าฉายแววประหลาด กล่าวว่า “ผู้อาวุโส หรือว่าท่านเองก็มี…”

หญิงลึกลับดูคล้ายจะเดาได้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าหลินสวินจะถามอะไร จึงกล่าวตัดบท “เมื่อก่อนใช่ ตอนนี้… ตัวข้าเองก็ไม่อาจแบ่งแยกได้แล้ว…”

น้ำเสียงเจือแววเศร้าสลดอย่างบอกไม่ถูก

ปัญหาข้อนี้นางคิดมานานเหลือเกิน!

นับตั้งแต่ตอนที่นางกลายเป็น ‘ผู้เฝ้าประตู’ ห้องโถงมรรคาสวรรค์เป็นต้นมา นางก็ระบุไม่ได้ว่าตนเป็นใคร และมีปราณระดับใดกันแน่

ก็เหมือนกับในหัวสมองของนางสูญเสียความทรงจำที่สำคัญสูงสุดส่วนหนึ่งไป

นางเคยพยายามไปเสาะหาเบาะแส แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่พบสิ่งใด

หนำซ้ำในกาลเวลาเนิ่นนานไร้สิ้นสุดหลังจากที่กลายเป็น ‘ผู้เฝ้าประตู’ นางก็ไม่เคยลืมเลือนเรื่องราวใดๆ อีกเลย

แต่หญิงลึกลับรู้ดีว่าความทรงจำช่วงหนึ่งที่สำคัญที่สุดของตนนั้น เลือนหายไปแล้ว…

นางรู้ดียิ่งว่าหากฟื้นความทรงจำคืนมาได้ บางทีนางอาจจะเข้าใจว่าเหตุใดถึงกลายเป็นผู้เฝ้าประตูโถงมรรคาสวรรค์แห่งนี้ ทั้งยังเฝ้าอยู่มายาวนานในกาลเวลาไม่รู้จบ

หลินสวินเองก็อึ้งไปเช่นเดียวกัน คนผู้หนึ่ง ถึงขนาดว่าตนมีปราณระดับไหนก็ยังไม่รู้เชียวหรือ

เห็นได้ชัดว่านี่ช่างเหลวไหลสิ้นดี

แต่สัญชาตญาณได้บอกหลินสวินว่า หญิงลึกลับที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ได้พูดปดแม้แต่น้อย เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด

“ในไม่ช้าที่นี่จะกลายเป็นพลังต้นกำเนิดและหายไปอย่างสิ้นเชิง โลกรัตติกาลอันมืดมิดของสมรภูมิกระหายเลือดก็จะไม่มีเหลืออยู่ด้วย ทั้งหมดนี้ก็เพียงเพราะจุดเปลี่ยนสำคัญกำลังจะมาเยือนเร็วๆ นี้”

หญิงลึกลับพูดพลางพาหลินสวินจากไป

……

ภูเขาเมฆาคราม

เมื่อกลับมาที่เรือนหินของตน หลินสวินยังรู้สึกเหมือนฝันไปอยู่พักหนึ่ง

การเคี่ยวกรำเที่ยวหนึ่งกินเวลาต่อเนื่องแปดเดือนกว่าๆ ท่ามกลางความมืดมิด เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในการเคี่ยวกรำ หว่างคิ้วหลินสวินก็อดเจือแววเลื่อนลอยวูบหนึ่งไม่ได้

ใครจะกล้าคิดฝันว่าโลกยามราตรีที่ถูกมองเป็นเหมือนนรก ถึงกับแปรสภาพมาจากซากศพของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง

พักใหญ่กว่าหลินสวินจะค่อยๆ กลับสู่ความเยือกเย็นได้

เขาไม่สนใจเรื่องอื่น อย่างน้อยการเคี่ยวกรำในช่วงเวลานี้ก็ทำให้พลังหลอมกายของเขาเกิดการพัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดด

หนำซ้ำ มรรคาแห่งตนก็ปราศจากข้อบกพร่องอีกต่อไป!

“พลังหลอมปราณและหลอมวิญญาณอยู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านแปดแล้ว ตอนนี้พลังหลอมกายก็ทะยานถึงระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ด ระยะห่างที่เคราะห์มรรคตัดขาดจะมาเยือนก็ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เช่นกัน…”

นัยน์ตาดำของหลินสวินส่องประกาย

ก่อนจะบรรลุเป็นอริยะ เคราะห์มรรคตัดขาดก็เหมือนกำแพงธรรมชาติแห่งหนึ่ง กดข่มจิตใจหลินสวิน เมื่อนึกถึงเคราะห์ด่านนี้ หลินสวินก็รู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก

เขามีลางสังหรณ์อยู่เนืองๆ ว่าเมื่อพลังหลอมกาย หลอมปราณ และหลอมจิตของตนทะลวงถึงระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้า มหาเคราะห์ครั้งนี้ต้องมาเยือนอย่างแน่นอน!

‘รอหลังจากเข้าร่วมศึกถกมรรคเขาพินิจมรรคแล้ว ต้องออกเดินทางไปป่าต้นหม่อน บางทีคงมีแต่ที่นั่นเท่านั้นจึงจะมีจุดเปลี่ยนที่ทำให้ข้าทำลายเคราะห์มรรคตัดขาดนี้ได้…’

หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ทำการตัดสินใจในใจ

……

“เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งเดือนดีก่อนศึกถกมรรคเขาพินิจมรรค หลินสวินยังไม่เคยออกด่านเลยหรือ”

เมื่อเร็วๆ นี้การวิพากษ์วิจารณ์ทำนองนี้เริ่มมีมากขึ้นในค่ายจักรวรรดิ

เพราะศึกถกมรรคเขาพินิจมรรคกำลังจะเปิดม่านในอีกครึ่งเดือนให้หลัง ครั้งนี้ระหว่างค่ายจักรวรรดิและพันธมิตรหมื่นเผ่าจะตัดสินแพ้ชนะ

ในท้ายที่สุดจะมีผู้ชนะเพียงคนเดียวที่เหยียบย่างเขาพินิจมรรค และสำรวจร่องรอยมหามรรค!

“รายชื่อกำหนดออกมาแล้ว หลินสวินจะต้องร่วมศึกแน่ คราวนี้จักรวรรดิของเราอาจจะล้างอายคราวก่อน กำชัยในศึกถกมรรคครั้งนี้ได้!”

มีคนตั้งตาคอย

“เฮ้อ… อย่าคิดแง่ดีเกินไป ถึงแม้ฝ่ายพวกเราจะมีผู้แข็งแกร่งอย่างหลินสวิน หลี่ตู๋สิง แต่ฝ่ายพันธมิตรหมื่นเผ่าก็มีพวกโหดเหี้ยมสะท้านโลกที่ติดสิบอันดับแรกในกระดานพลังต่อสู้หมื่นเผ่าเหมือนกัน”

“ถ้าลำพังวัดกันแค่จำนวนพวกคนชั้นยอด พวกเราก็ยังอยู่ในสภาพเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัดอยู่ดี”

มีคนขมวดคิ้ว หวั่นวิตกไม่หาย

และเวลานี้เองจ้าวซิงเย่มาพบกับหลินสวิน กล่าวว่า “เตรียมพร้อมเรียบร้อยดีหรือไม่”

หลินสวินกล่าวยิ้มๆ “เดินทางได้ทุกเมื่อ”

จ้าวซิงเย่เห็นสีหน้าหลินสวินสงบแน่วแน่ หนักแน่นมั่นใจก็อดกล่าวกลั้วหัวเราะไม่ได้ “ข้ารอให้เจ้านำข่าวดีมาให้ข้าอยู่นะ”

หลินสวินขบคิด สุดท้ายก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้ “ตอนนี้ข้าห่วงแค่เรื่องเดียว”

หัวใจจ้าวซิงเย่บีบแน่น นี่มันเวลาไหนแล้ว หรือว่าเจ้าหมอนี่ยังไม่แน่ใจว่าจะชนะ นางอดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้ “ห่วงเรื่องอะไร เจ้าแค่พูดออกมา สิ่งที่ข้าจัดการได้ จะทำตามคำขอเจ้าอย่างครบถ้วน”

หลินสวินรีบกล่าว “เอ่อ ผู้อาวุโสเข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่ห่วงว่าคู่ต่อสู้จะไม่ได้เรื่อง…”

จ้าวซิงเย่อึ้งงัน จากนั้นบนใบหน้างามประหนึ่งล่มเมืองนั้นก็ปราฏรอยยิ้มขึ้นมา ถึงตอนท้ายก็อดระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “นี่คือประโยคที่บ้าที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินมาในช่วงหลายปีนี้ แน่นอน มันทำให้ข้ารู้สึกมีความสุขมากที่สุดด้วยเช่นกัน”

บ้าหรือ

หลินสวินยิ้ม ไม่ได้อธิบายอะไร

เขาพูดได้หรือว่าตั้งแต่เข้าสู่สมรภูมิกระหายเลือด เป้าหมายเดียวของเขาคือมุ่งหน้าไปป่าต้นหม่อนเท่านั้น

นั่นเป็นถึงสถานที่โกลาหลที่บุคคลระดับอริยะ มหาอริยะ ราชันอริยะ หรือแม้แต่ระดับกึ่งจักรพรรดิอาจจะปรากฏตัวขึ้นเชียว!

ส่วนการต้านทานผู้แข็งแกร่งสองค่ายใหญ่ที่เหลือ พูดตามตรง หลินสวินไม่ค่อยสนใจอะไรมากนัก

แน่นอน ประโยคพวกนี้เขาพูดออกมาไม่ได้ หาไม่เกรงว่าจ้าวซิงเย่อาจจะสงสัยว่าตนเหลิงจนลืมตัว…

เช้าตรู่สองวันต่อมา

พวกชั้นยอดสิบคนในค่ายอย่างหลินสวิน หลี่ตู่สิง ซ่งอู๋เชวีย สืออวี่ กงอวี่ได้ก้าวขึ้นยานสมบัติลำหนึ่ง

“พี่หลิน พวกเรารอท่านกลับพร้อมชัยชนะ!”

“สหายยุทธ์หลี่ ต้องช่วยพวกเราล้างความกล้ำกลืนด้วย!”

“ต้องชนะให้ได้นะ!”

ในค่าย ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดต่างรวมตัวกันเพื่อส่งพวกหลินสวิน

ในนั้นก็มีพวกหนิงเหมิง เย่เสี่ยวชี ถึงแม้พลังต่อสู้ของพวกเขาเหนือปกติ แต่เมื่อเทียบกับพวกสิบคนอย่างหลินสวินแล้วกลับห่างชั้นกันอยู่ส่วนหนึ่ง ไร้วาสนาเข้าร่วมศึกถกมรรคเขาพินิจมรรค

เรื่องนี้ทำให้พวกเขารู้สึกนึกเสียดายอยู่บ้าง

“หลินสวิน ต้องซัดไอ้พวงไข่เน่าต่างเผ่าพวกนั้นระเบิดเป็นจุณให้ได้!”

หนิงเหมิงตะโกนลั่น ประโยคเดียวทำให้ทั่วลานหัวเราะ หญิงสาวส่วนหนึ่งยังอดเคอะเขินไม่ได้ สบถด่าไม่หยุด

“ไม่ว่าอย่างไรพยายามให้ถึงที่สุด ฟังลิขิตฟ้าก็พอ”

เย่เสี่ยวชีกลับรู้สึกกังวลอยู่บ้าง จึงกำชับหลินสวินกับสืออวี่

สืออวี่อดกลอกตาไม่ได้ พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ใกล้จะออกเดินทางอยู่แล้ว เจ้ากลับพูดจาเป็นลาง รอให้ข้ากลับมาก่อนเถอะจะต้องจัดการหมูอ้วนอย่างเจ้าแน่”

หลินสวินกลับหัวเราะพลางโบกมือ ไม่ได้พูดอะไรมาก

“ไปกันเถอะ”

จ้าวซิงเย่บังคับยานสมบัติ บรรทุกทุกคนพุ่งไปกลางอากาศ

……

“ศึกถกมรรคครั้งนี้ พวกเรากับฝ่ายพันธมิตรหมื่นเผ่าต่างส่งผู้แข็งแกร่งออกมาสิบคน กฎศึกถกมรรคนั้นง่ายดาย จับสลากลำดับการลงสนาม และสู้ตัดสินกับผู้แข็งแกร่งของอีกฝ่ายทีละคน เอาชัยชนะ หรือไม่ก็ฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย”

“ผู้ชนะจะสามารถท้าสู้ต่อไปเรื่อยๆ และสามารถเลือกพักรบก็ได้ สรุปแล้ว ตอนที่อีกฝ่ายแพ้หมดทุกคนจึงจะถือว่าศึกถกมรรคสิ้นสุด”

บนยานสมบัติ จ้าวซิงเย่อธิบายกฎต่างๆ อย่างกระชับรัดกุม

“ในศึกถกมรรคในอดีต จักรวรรดิของเราแพ้มากกว่าชนะ ไม่สิ พูดให้ถูกคือได้รับชัยชนะแค่ครั้งเดียว แต่คนชั้นยอดที่สูญเสียไปในศึกถกมรรคนั้นกลับมีมาถึงสามสิบสี่คน!”

พูดถึงตอนท้าย ใบหน้าของจ้าวซิงเย่ก็ฉายแววหมองเศร้าและเคียดแค้น

“คนพวกนั้น… เป็นถึงเสาหลักของจักรวรรดิพวกเรา แต่ละคนล้วนเป็นพวกชั้นยอดไม่มีใครเหมือน พวกเขาต่างมีแววที่จะเหยียบย่างบนระดับอริยะกันทั้งนั้น แต่พวกเขากลับตายในศึกถกมรรค!”

“พวกเขาตายเพื่อจักรวรรดิ แค้นนี้ ต้องชำระ!”

บนยานสมบัติ สีหน้าของทุกคนล้วนฉายแววดุดันแน่วแน่ คนไม่น้อยมีสีหน้าสลด นึกถึงสหายที่ล่วงลับในศึกถกมรรคที่ผ่านมาเหล่านั้น

บอกว่าเป็นศึกถกมรรค แต่ความจริงคือการต่อสู้เป็นตาย!

คนที่โชคดีอาจถูกโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส โชคช่วยรอดชีวิตกลับมาได้

แต่สุดท้ายโชคดีก็ยังเป็นส่วนน้อย ในศึกถกมรรค ศัตรูไม่อาจปล่อยโอกาสใดๆ ที่จะโจมตีศัตรูไปได้!

นี่ก็คือศึกถกมรรคเขาพินิจมรรค นองเลือดและโหดเหี้ยมอำมหิต

ระหว่างสามค่ายใหญ่ เพื่อกำจัดพวกชั้นยอดในขุมอำนาจของอีกฝ่าย ต่างทุ่มสุดตัวสุดกำลังในศึกถกมรรค!

หลินสวินเพิ่งมาถึงสมรภูมิกระหายเลือดเมื่อประมาณสองปีก่อน ยังไม่เคยเข้าร่วมศึกถกมรรคเขาพินิจมรรค แต่ได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ในใจก็รู้สึกอัดอั้นอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน

“จำไว้ ในศึกถกมรรค ต้องงัดพลังออกมาสุดตัว!”

จ้าวซิงเย่เอ่ยกำชับ

ทุกคนต่างพยักหน้า

ครั้งนี้จักรวรรดิจะสามารถพลิกสถานการณ์เสื่อมถอยในอดีต กำชัยในศึกถกมรรคครั้งนี้ได้หรือไม่

พวกเขาไม่รู้ แต่ทุกคนจะงัดพลังทุ่มสุดตัว!

หลังจากนั้นครึ่งวัน

ไกลออกไป ภูเขาสูงตระหง่านลักษระคล้ายระฆังคว่ำลูกหนึ่งก็ปราฏขึ้นในครรลองสายตา

ตัวเขาลูกนั้นขรุขระ หินประหลาดกองซ้อนกัน โล้นล้านเกลี้ยงเตียน ไม่มีต้นไม้ใบหญ้า และปราศจากพลังชีวิตเข้มข้นห้อมล้อม

แต่ดูไปแล้วกลับให้ความรู้สึกบีบคั้นอย่างบอกไม่ถูกแก่ผู้คน

นี่ก็คือเขาพินิจมรรค!

ทุกๆ สามปี บนหน้าผาของยอดเขาลูกนี้จะปรากฏร่องรอยมหามรรคขึ้นภาพแล้วภาพเล่า มหัศจรรย์สุดหยั่ง

ที่ตรงนี้ ทุกๆ สามปีจะมีการต่อสู้ศึกถกมรรคอันอำมหิตนองเลือดระหว่างสามค่ายใหญ่ปะทุขึ้น

ที่ตรงนี้ เคยมีผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิมากมายถูกศัตรูสังหาร จากไปอย่างคับแค้น!

ทอดมองเขาลูกนี้จากไกลๆ หลินสวินพ่นลมหายใจขุ่นเฮือกยาว สีหน้าเรียบเฉย

ศึกถกมรรคครั้งนี้ เขาหลินสวินมาแล้ว ผลลัพธ์ย่อมต้องจารึกใหม่อย่างแน่นอน!

……………………..

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

BRCO, Tian Jiao Zhan Ji, 天骄战纪
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset