นั่นคือหัวใจที่เต็มไปด้วยรูพรุนยับเยินดวงหนึ่ง มีขนาดเพียงแค่ฝ่ามือ สีดำเหี่ยวแห้ง แต่ความน่าสะพรึงของกลิ่นอายที่แผ่ออกมากลับพาให้สิ่งมีชีวิตดุร้ายน่าสะพรึงตัวอื่นๆ บริเวณนั้นต่างถอยหนี!
หลินสวินอึ้งงัน หัวใจดวงนั้นกำลังพูดอยู่อย่างนั้นหรือ
“กลับบ้าน…” หัวใจยับเยินเปล่งเสียงต่ำลึกออกมาอีกครั้ง
‘นายท่าน ข้าสงสัยว่านี่คือหัวใจของผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิ!’ เสี่ยวอิ๋นสีหน้าเคร่งขรึม ร่างกายล้วนแข็งทื่อ ส่งกระแสสื่อจิต
หลินสวินสูดหายใจเย็น หัวใจดวงหนึ่ง รูพรุนยับเยิน คละคลุ้งด้วยกลิ่นอายกาลเวลาที่บุบสลายเวิ้งว้าง แต่ถึงกับมีอานุภาพน่าสะพรึงเช่นนี้ ช่างพาให้ผู้คนตกใจจริงๆ พานให้นึกถึงตัวผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิ
“แต่อาการบาดเจ็บของข้ายังไม่หายดี”
หลินสวินทำใจสู้ ลองเอ่ยปากหยั่งเชิง
“กลับบ้าน…” หัวใจยับเยินเหมือนจะจำได้แค่คำว่ากลับบ้านสองคำนี้เท่านั้น เอาแต่พูดซ้ำไม่หยุด
สายตาหลินสวินกวาดมองทางสัตว์ดุร้ายตัวอื่นๆ ค้นพบว่าผ่านไปสามวัน สิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงรูปร่างแตกต่างกันออกไปเจ็ดตัวมารวมกลุ่มกันในบริเวณใกล้เคียง
มีจิ้งจอกกระดูกขาว มนุษย์ยักษ์โครงกระดูก หงส์เซียนโครงกระดูก ตะพาบโครงกระดูก ต้นไม้ใหญ่ไหม้เกรียม งูใหญ่โครงกระดูก…
รวมถึงหัวใจยับเยินตรงหน้าในตอนนี้ด้วย!
ในนี้อานุภาพของหัวใจยับเยินดวงนี้น่ากลัวที่สุด
หลินสวินทำสมาธิสัมผัสสภาพร่างกายตนเองครู่หนึ่ง พบว่าอาการบาดเจ็บฟื้นฟูเกือบครึ่งแล้ว กว่าจะฟื้นตัวสมบูรณ์อย่างน้อยต้องใช้เวลาประมาณเจ็ดวัน
นี่ยังมีความช่วยเหลือของโอสถเทพและกฎเกณฑ์ไร้มรณะด้วย หาไม่การฟื้นตัวรังแต่จะยิ่งช้ากว่านี้
แต่เวลานี้หลินสวินกลับไม่รู้ว่าควรรักษาอาการบาดเจ็บต่อไปหรือไม่
เพราะว่ากลิ่นอายของหัวใจยับเยินดวงนั้น เอาแต่จับเป้านิ่งมาทางตนตลอด ใช้น้ำเสียงต่ำลึกขาดๆ หายๆ พูดคำว่า ‘กลับบ้าน’ สองคำนี้ซ้ำไปซ้ำมา
“แต่ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านของเจ้าอยู่ที่ไหน”
หลินสวินเปล่งเสียงอีกครั้ง
แต่คำตอบที่ได้รับยังคงเป็น ‘กลับบ้าน’ สองคำนี้ตามเดิม
หลินสวินอดขมวดคิ้วไม่ได้ เขาสัมผัสได้รางๆ ว่าสัตว์ดุร้ายน่าสะพรึงเจ็ดตัวที่อยู่ไม่ไกลนี้ดูเหมือนกร้าวแกร่งถึงที่สุด แต่คล้ายไม่มีจิตรับรู้ครองตนอยู่เลย มีเพียงแรงปรารถนาแห่งสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่ควบคุมพวกมันให้เคลื่อนไหว
ก็เหมือนกับคนตายที่ยังหายใจ
ขบคิดครู่หนึ่งหลินสวินหยัดตัวขึ้นเต็มความสูง ถือโคมไร้มลทินไว้ในมือ
ทันใดนั้นสัตว์ดุร้ายที่แต่เดิมบ้างก็หมอบราบ บ้างก็นั่งยองๆ อยู่รอบบริเวณต่างพากันหยัดตัวขึ้น ทำท่าเหมือนจะเดินตามไปกับหลินสวิน
พูดให้ถูกคือพวกมันจะเดินตามโคมไร้มลทินต่างหาก
หลินสวินเห็นเช่นนี้ในใจก็วูบไหว ก้าวเท้าเดินมุ่งไปเบื้องหน้า และก็พบว่าสัตว์ดุร้ายพวกนั้นต่างเคลื่อนไหวพร้อมกับเขาจริงๆ ด้วย
ประหนึ่งว่าโคมไร้มลทินในมือก็คือความหวังเสี้ยวหนึ่งที่สามารถส่องนำทางให้พวกเขาได้
“เอ๋!”
สิ่งที่ยิ่งทำให้หลินสวินแปลกใจก็คือ พลังต้องห้ามที่แผ่ครอบเหวลึกแต่เดิมนั้น กลับไม่สามารถข่มอำนาจโคมไร้มลทินได้!
เทียบให้เห็นภาพก็คือ พลังต้องห้ามคือรัตติกาลมืดมิดที่ปกคลุมทุกอณู ส่วนโคมไร้มลทินก็คือคบเพลิงที่สามารถแผดเผายามค่ำคืนให้เป็นรู นำพาแสงสว่างมาให้!
หลินสวินใจสั่นสะท้าน เพิ่งตระหนักคราวนี้ว่าที่แท้การออกไปจากพันธนาการนี้ง่ายดายเช่นนี้เอง!
เขาทะยานตัวขึ้นมา ตามหลังเงาสีเหลืองสลัวของโคมไร้มลทินที่สาดส่องไหวระริก และพบว่าไม่ได้ต่างจากอยู่ในโลกภายนอกสักนิดดังคาด สามารถทะยานโบยบินได้อย่างอสิระจริงๆ
ตูม!
และเบื้องหลังหลินสวิน สัตว์ดุร้ายน่าสะพรึงทั้งกลุ่มก็พลอยเคลื่อนไหวตามมาด้วย แต่ละตัวดูเหมือนเหิมคึกหาใดเปรียบ
เสี่ยวอิ๋นยืนอยู่บนไหล่หลินสวิน กล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “นายท่าน หากตอนที่พวกเราออกจากเหวลึกนี้ไป พวกสัตว์ดุร้ายน่าสะพรึงนั่นไม่หวาดกลัวโคมไร้มลทินอีกแล้ว เช่นนั้นควรทำอย่างไร”
หลินสวินกัดฟันคราหนึ่งกล่าวว่า “ไม่เป็นไร หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้นจริงๆ ข้ามีวิธีรับมืออยู่”
“แต่อาการบาดเจ็บของท่านยังไม่หายดีเลย” เสี่ยวอิ๋นกล่าว
หลินสวินสีหน้าแปลกพิกล กล่าวว่า “เสี่ยวอิ๋น เจ้าว่าหากมีพวกน่าสะพรึงเช่นนี้คอยติดตาม ใครจะกล้าขัดแข้งขัดขาพวกเราอีก”
เสี่ยวอิ๋นอึ้งงัน บนดวงหน้าน้อยๆ หล่อเหลาไร้เทียมทานก็ฉายแววแปลกพิกลขึ้นมาเช่นกัน ยกนิ้วโป้งขึ้นมา “จิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ วิธีของนายท่านช่างฉลาดล้ำนัก”
หลินสวินถลึงตามองเขาปราดหนึ่ง “จิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสืออะไรกัน จะประจบทั้งทียังทำไม่เป็น”
เสี่ยวอิ๋นฉีกยิ้มแฉ่ง
“ไปกัน”
หลินสวินพุ่งไปทางเวิ้งฟ้าเหนือเหวลึก ไม่ได้รีรออีกต่อไป
ในมือของเขาเงาสีเหลืองสลัวที่สาดส่องของโคมไร้มลทินประหนึ่งแสงสว่างทะลวงความมืดมิด ทำให้พลังต้องห้ามนั้นสลายตัว
ข้างหลัง สัตว์ดุร้ายทั้งกลุ่มตามมาติดๆ
ไม่ทันไรร่างหลินสวินพริบไหว โฉบขึ้นไปบนเส้นทางลำเลียงกระดูกขาวที่พาดขวางกลางห้วงอากาศสายนั้น
เขาเหลียวหลังมองปราดหนึ่ง ก็เห็นกลิ่นอายสัตว์ดุร้ายน่าสะพรึงพวกนั้นเงียบสงบ เหมือนบริวารผู้ติดตามที่แสนเชื่อง และไม่ได้แผ่ไอสังหารผิดปกติอะไรออกมา คราวนี้จึงถอนหายใจโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
เสียงแหลมโหยหวนระลอกหนึ่งดังมาจากพยับเมฆสีเทาที่แผ่ครอบบนเวิ้งฟ้า คุ้นหูอย่างยิ่ง
หลินสวินรู้ว่าค้างคาวอาฆาตวิญญาณเลือดพวกนั้นโผล่มาอีกครั้ง!
เขาเพิ่งตั้งท่าเตรียมต่อสู้ ก็เห็นข้างหลังเขาสัตว์ดุร้ายน่าสะพรึงทั้งกลุ่มพากันแหงนหน้า สายตาสีแดงเลือดแต่ละคู่มองฟากฟ้า
จากนั้นค้างคาวอาฆาตวิญญาณเลือดที่พุ่งออกมาจากพยับหมอกเมื่อครู่ล้วนไม่ทันตั้งตัว ร่างกายก็ทยอยระเบิดเป็นจุณ
ยิ่งกว่านั้นเสียงร้องวังเวงในส่วนลึกของพยักหมอกนั้นก็ชะงักกึกเช่นกัน เหมือนสะดุ้งตกใจถึงขีดสุด และไม่มีค้างคาวอาฆาตวิญญาณเลือดโผล่ออกมาอีกเลยสักตัว
เวลานี้สัตว์ดุร้ายน่าสะพรึงพวกนั้นถึงละสายตากลับมา มองไปทางโคมไร้มลทินในมือหลินสวิน สีหน้ากลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
หลินสวินเก็บทุกอย่างไว้ในสายตา รู้สึกสะท้านสะเทือนเป็นล้นพ้น ในใจก็อดเต้นโครมดุเดือดอีกครั้งไม่ได้ รู้สึกปากคอแห้งผากไปพักหนึ่ง
หากพาสัตว์ดุร้ายน่าสะพรึงกลุ่มนี้ไปด้วย คงจะเดินทะลุผ่านป่าต้นหม่อนแห่งนี้ได้เลยกระมัง
“ความรู้สึกของจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ ที่แท้ก็สะใจเช่นนี้เอง…”
เสี่ยวอิ๋นนิ่งงันก่อนส่งเสียงร้องอุทานออกมา เขารู้สึกว่าข้างหลังเหมือนมีผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งหาใดเปรียบกลุ่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมา!
“เสี่ยวอิ๋น จำกัดความเช่นนี้ไม่ดีเลย!”
หลินสวินเหลือบมองเสี่ยวอิ๋นปราดหนึ่ง “ควรเรียกว่ายืมพลังต้านพลังถึงจะถูก”
และเวลานี้เอง ณ ช่องตรงกำแพงหน้าผาไกลๆ มีเสียงอุทานสายหนึ่งดังขึ้น “สวะเหลือขออย่างเจ้ายังรอดอยู่อีกหรือ”
หลินสวินเอี้ยวศีรษะ มองปราดเดียวก็เห็นพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬ รวมถึงอั้นหลิงเจินและกวงฝู่ชิงที่อยู่ข้างกายอีกฝ่าย ล้วนยืนบนช่องกำแพงหน้าผานั้น
เรื่องนี้ทำให้หลินสวินแปลกใจอยู่พักหนึ่งเช่นกัน พลังของขวดมหามรรคสุดหยั่งไม่สามารถสังหารพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬได้อย่างสิ้นเชิงอย่างนั้นหรือ
เวลาสามวัน หลังจากผ่านการฟื้นตัวเต็มกำลัง พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬเปลี่ยนสภาพร่างใหม่อีกครั้ง ถึงอาการบาดเจ็บจะยังคงร้ายแรงอยู่ แต่หากเทียบกันก็ได้ฟื้นพลังต่อสู้ในระดับหนึ่งแล้ว
ตอนที่เห็นมดตัวจ้อยที่เกือบทำร้ายตนจนตายอย่างหลินสวิน ใบหน้าชราผอมแห้งของเขาก็มืดทะมึนไม่น่าดูถึงขีดสุดทันที
“ครั้งนี้ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้ายังจะหนีรอดไปได้อย่างไร!”
พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬส่งเสียงคำรามเดือดดาลออกมา
หลินสวินยิ้มบางๆ ไม่ถอยกลับรุกขึ้น สาวเท้าก้าวไปเบื้องหน้า
จากนั้นเสียงของพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬพลันหยุดกึก หน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน ท่าทางเหมือนเห็นผีตัวเป็นๆ
ก็เห็นว่าพร้อมๆ กับการย่างเท้าของหลินสวิน บนเส้นทางลำเลียงกระดูกขาวด้านหลังของเขาปรากฏหัวใจที่มีรูพรุนยับเยิบดวงหนึ่งขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ปรากฏนกกระดูกรูปร่างคล้ายหงส์เซียนขึ้นมาอีกตัว ตามมาติดๆ ด้วยมนุษย์ยักษ์โครงกระดูกที่สะพายกระบี่หัก ต้นไม้ใหญ่ไหม้เกรียมต้นหนึ่ง จิ้งจอกกระดูกขาวตัวหนึ่ง…
ทุกครั้งที่ปรากฏสัตว์ดุร้ายน่าสะพรึงแต่ละตัวขึ้นมา สีหน้าพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬก็เปลี่ยนไป อานุภาพรอบกายพังครืนไม่เป็นท่า จนกระทั่งตอนที่ตะพาบขนาดใหญ่เท่าเนินเขาตัวหนึ่งสาวเท้าเดินต้วมเตี้ยมออกมา สีหน้าพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬแข็งค้างอย่างสิ้นเชิงแล้ว ลูกตาเกือบหลุดออกมา
เวลานี้ทั้งตัวเขาดูปั่นป่วน สูดหายใจหนาวเยือกไม่หยุด
“นะ… นี่…”
พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬถูกทำให้ตกใจจริงๆ วิญญาณเกือบกระเด็นหลุดออกมา กลิ่นอายที่สัตว์ดุร้ายน่าสะพรึงแต่ละตัวแผ่ออกมาล้วนกร้าวแกร่งจนน่าเหลือเชื่อ ทำให้หัวใจเขาสั่นสะท้าน
ตอนที่พวกมันปรากฏตัวออกมาเป็นกลุ่ม ลำพังแค่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาก็ทำให้พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬขาสั่นทั้งสองข้าง ริมฝีปากสั่นระริกแล้ว
ส่วนอั้นหลิงเจินและกวงฝู่ชิงก็อึ้งค้างโดยสมบูรณ์ จิตใจถูกซัดสะเทือนในบัดดล
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
หลินสวินมั่นใจอย่างมาก พุ่งปราดเข้าใส่พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬที่อยู่ไกลๆ โดยไม่ลังเล “สวะเฒ่า คราวนี้ใครหนีคนนั้นใจเสาะ!”
และด้านหลังหลินสวิน สัตว์ดุร้ายน่าสะพรึงทั้งกลุ่มล้วนตามมาด้วย คล้ายเกรงว่าจะทิ้งห่างจากโคมไร้มลทินในมือหลินสวิน
เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬพังทลายทันที ริมฝีปากส่งเสียงร้องดัง หอบพวกอั้นหลิงเจินแล้วหนีหัวซุกหัวซุน
ท่าทางแตกตื่นเหมือนสุนัขไร้บ้าน
เสี่ยวอิ๋นมองดูจนเกือบหัวเราะออกมา นี่ยังเป็นอริยะแท้อยู่อีกหรือ ช่างขายขี้หน้าถึงที่สุดแท้ๆ
หลินสวินไล่ตามเต็มกำลัง เพียงแต่ภายใต้สถานการณ์ที่ยืมความช่วยเหลือจากปีกผลาญเทพ ไม่มีทางเทียบกับอริยะแท้ที่ครองครองการเคลื่อนผ่านห้วงอากาศได้เลยแม้แต่น้อย
จนสุดท้ายก็ตามไม่ทัน
และสัตว์ดุร้ายน่าสะพรึงทั้งกลุ่มนั้นทำเพียงเดินตามหลังหลินสวิน ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่เคยคิดจะยื่นมือเข้าช่วย
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินจนปัญญาไปพักหนึ่ง นี่ก็ปกติแล้ว เจ้าพวกที่ถูกโคมไร้มลทินดึงดูดมากลุ่มหนึ่ง แม้แต่จิตรับรู้ยังไม่มี ไหนเลยจะทำตามคำสั่งของตนได้
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้หลินสวินก็รู้สึกพอใจมากแล้ว อย่างน้อยหลังออกจากเหวลึกนั่นมาแล้ว สัตว์ดุร้ายน่าสะพรึงเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำตัวผิดวิสัยอะไร
ส่วนการเผ่นหนีของพ่อมดอริยะโลหิตทมิฬ ถึงหลินสวินจะขัดใจแต่ก็ทำได้เพียงยอมรับ
‘นี่เป็นถึงป่าต้นหม่อน แถมเจ้าเฒ่านั่นยังได้รับบาดเจ็บสาหัสปานนี้ อันตรายที่จะพบเจอคงมีไม่น้อยแน่’
หลินสวินขบคิด สุดท้ายก็ส่ายหน้าไม่คิดมากอีก พลิกมือหยิบป้ายหยกสีทองชิ้นนั้นออกมา เริ่มเร่งเดินทางต่อไป
และที่มือซ้าย โคมไร้มลทินถูกเขาจับไว้แน่นหนา
ทะลุผ่านเส้นทางหน้าผาที่คับแคบนั้น ไม่ทันไรเบื้องหน้าก็เปิดโล่ง ปรากฏภูผาธาราที่ปกคลุมด้วยหมอกทั้งแถบ
เบื้องหลังมีสัตว์ดุร้ายน่าสะพรึงกลุ่มหนึ่งเดินตาม หลินสวินย่อมไม่เกรงกลัวสิ่งใดอีกต่อไป สาวเท้าเดินไปข้างหน้าตามการนำทางของป้ายหยกสีทอง
ชั่วขณะหนึ่งก็เห็นกลางภูผาธาราที่มีหมอกปกคลุมปรากฏภาพอัศจรรย์อย่างหนึ่ง
หลินสวินนำอยู่เบื้องหน้า สัตว์ดุร้ายที่ชวนสยดสยองและน่าสะพรึงตัวแล้วตัวเล่าคอยตามอยู่ข้างหลังประหนึ่งผู้พิทักษ์แสนจงรักภักดี สง่าผึ่งผายตลอดทาง ตระการตาสุดขีด
จนกระทั่งต่อมาหลินสวินยื่นโคมไร้มลทินให้เสี่ยวอิ๋นกอดไว้ ส่วนตนก็มุ่งหน้าไปพลางโคจรกฎเกณณ์ไร้มรณะฟื้นฟูอาการบาดเจ็บไปพลาง
ความเร็วในการเดินทางไม่ไวนัก แต่เทียบกับตอนแรกแล้วไวขึ้นมากทีเดียว
สาเหตุนั้นอยู่ที่… ตอนนี้หลินสวินมั่นใจหายห่วงแล้วจริงๆ ไม่กลัวอันตรายอะไร อันตรายใดๆ ที่อดใจไม่ไหวอยากโผล่ขึ้นมา ก็ลองลิ้มรสความแข็งแกร่งของสัตว์ร้ายน่าสะพรึงข้างหลังกลุ่มนั้นหน่อยแล้วกัน
ระหว่างทางใช่ว่าไม่ได้ประสบเรื่องน่ากลัวอะไรเลย อย่างเช่นกลางภูผาธาราที่ปกคุลมด้วยพยับหมอก จะมีสิ่งมีชีวิต มีนกปีศาจ มีสัตว์เดินดิน และมีภูตผีปีศาจน่ากลัวส่วนหนึ่งโผล่พรวดออกมาเป็นระยะ กลิ่นอายแต่ละตนล้วนแข็งแกร่งหาใดเปรียบ
แต่ยังไม่รอให้เฉียดใกล้ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ก็คล้ายตระหนักถึงความไม่เข้าที ต่างเผ่นกระเจิงออกไปทันควัน หนีว่องไวยิ่งกว่าใครทั้งนั้น
ถึงขั้นยังมีสิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งที่สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นระดับอริยะส่วนหนึ่งเคยสอดส่องหลินสวินอยู่ไกลๆ เพียงแต่ตอนที่เห็นสัตว์ดุร้ายน่าสะพรึงข้างกายหลินสวินกลุ่มนั้น สายตาที่สอดส่องเหล่านั้นพลันหายเกลี้ยงตั้งแต่จังหวะแรก…
มหาจักรพรรดิท่องแดน สรรพชีวิตต่างถอยหลบในคำเล่าลือ ก็ไม่พ้นเป็นเช่นนี้นั่นเอง!
………………