Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1462 เจอกันอีกครั้ง

ฟ้าดินกลับคืนสู่ความสงบ กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์มงคลอบอวล

ตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์เก่าแก่ตั้งตระหง่าน แผ่บรรยากาศอันโชติช่วงออกมา

ชายหนุ่มเท้าเปล่าชุดป่านที่กลายร่างจากจักจั่นทองตัวหนึ่งมองภาพนี้อยู่ห่างออกไป สายตาเหลือบมองไปยังหลินสวินที่ยืนอยู่หน้าบันไดตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์

เขายิ้มกล่าว “เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดเมื่อครู่เจ้าก็เห็นอยู่ในสายตา มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า รอดพ้นเพียงหนึ่ง เจ้าหนุ่มที่จัดอยู่ในศิษย์สืบทอดคนที่ห้าสิบของคีรีดวงกมลนี้ก็คือตัวแปรคนหนึ่ง”

ข้างๆ เด็กสาวงามน่ารักชุดขาวที่กลายร่างจากจักจั่นขาวตัวหนึ่งกลับดูหงุดหงิด กล่าวว่า “เจ้าพวกนั้นเข้าไปกันหมดแล้ว ทำไมเจ้ายังมัวแต่พูดพล่าม ต่อให้เจ้าหนุ่มนั่นเป็นตัวแปรคนหนึ่งแล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย”

ชายหนุ่มจักจั่นทองถอนใจกล่าว “ช่างเถิด เจ้าไปเถอะ”

เด็กสาวจักจั่นขาวกล่าว “เจ้าไม่ไปรึ”

“ข้าอยากไปพูดคุยกับสหายน้อยผู้นั้นก่อน”

ชายหนุ่มจักจั่นทองมองหลินสวินที่อยู่ห่างออกไป

“พูดพล่ามจริงๆ!”

เด็กสาวจักจั่นขาวพลันมุ่นคิ้ว เง่ร่างพริบไหวและวูบหายไป

ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้มไม่ใส่ใจ

หลินสวินถอนหายใจอยู่หน้าบันได

ทำให้กึ่งจักรพรรดิทุกคนคลุ้มคลั่งเช่นนี้ได้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าจุดเปลี่ยนนี้ยิ่งใหญ่ระดับใด เป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวข้องกับการบรรลุจักรพรรดิ!

ด้วยพลังปราณของตนยังไม่บรรลุอริยะ ต่อให้เข้าไปในตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์นี้ก็เอื้อมไม่ถึงจุดเปลี่ยนนี้แน่

“สหายน้อยไยต้องถอนใจ ก็แค่จุดเปลี่ยนเท่านั้น ขอเพียงวาสนาบรรจบย่อมมีโอกาสไปช่วงชิง”

ทันใดนั้นเสียงฉะฉานอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้นริมหู หลินสวินเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นชายหนุ่มเท้าเปล่าชุดป่านคนหนึ่งไม่รู้ยืนอยู่ข้างตนตั้งแต่เมื่อไหร่

ที่คาดไม่ถึงคือตัวดุร้ายน่ากลัวเจ็ดตัวที่ตามหลังตนมานั้น ถึงกับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย!

หนังตาหลินสวินพลันกระตุก พินิจพิเคราะห์ชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายอย่างละเอียดวูบหนึ่ง แค่ฟังน้ำเสียงก็ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย

“หรือสหายน้อยจะลืมไปแล้ว ปีนั้นพวกเรายังเคยพูดคุยกันอยู่เลย”

ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้ม แววตาอบอุ่น ทั่วร่างไม่มีกลิ่นอายดึงดูดสายตาคนเพียงเสี้ยว ราบเรียบไม่ซับซ้อน

“ที่แท้เป็นท่าน”

หลินสวินพลันตระหนักได้ทันที หว่างคิ้วฉายแววตกตะลึงวูบหนึ่ง “หากข้าเดาไม่ผิด ท่านก็มาเพราะจุดเปลี่ยนใหญ่ครั้งนี้ด้วยกระมัง”

ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้มกล่าว “ก็ไม่เชิง ข้ามาที่นี่แต่อีกเดี๋ยวก็ต้องไปแล้ว แต่ไม่ใช่มาช่วงชิงวาสนา”

เขาพูดพลางนั่งลงบนบันไดขั้นแรกอย่างสบายอารมณ์ กล่าวว่า “ก่อนจะไปได้เจอสหายน้อยอีกครั้งทำให้ข้าดีใจจริงๆ นี่ก็คือวาสนา เลิศล้ำเกินบรรยาย”

ชั่วขณะหนึ่งหลินสวินออกจะบอกไม่ได้ว่าเจ้าหมอนี่คิดจะทำอะไร จึงคร้านจะคิดมากความ กล่าวลอยๆ พอเป็นพิธี “ประโยคนี้ปีนั้นเจ้าก็เคยพูดแล้ว”

ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้มกล่าว “กำลังเป็นห่วงสหายพวกนั้นของเจ้าหรือ ข้าว่าไม่จำเป็น จุดเปลี่ยนใหญ่ครานี้ถูกกำหนดเจ้าของไว้แล้ว ไม่ว่าใครจะมาก็ช่วงชิงไปไม่ได้”

หลินสวินเลิกคิ้ว “จริงหรือ”

ชายหนุ่มจักจั่นทองไหวไหล่ “ข้าไม่เคยพูดปด ตำหนักหลังนี้คือสิ่งที่มหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์เหลือไว้ เดิมทีเขาต้องการเปิดสำนักหนึ่งที่แดนบ่อเกิดแรกกำเนิดนี้ สืบทอดมรรควิถีของตนไว้ที่นี่”

“แต่หลังจากนั้นด้วยศึกใหญ่ที่มาเยือนกะทันหัน ทำให้เขาได้แต่ตระเตรียมอย่างรีบเร่งก่อนสิ้นชีพ ใช้ความตายของตนเป็นค่าตอบแทน ทิ้งจุดเปลี่ยนในการบรรลุจักรพรรดินี้ไว้”

มหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์!

ฟังถึงตรงนี้ใจหลินสวินกระตุกวูบอย่างแรง นึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้

สมรภูมิกระหายเลือดในรัตติกาลมืดคือโลกใบหนึ่งที่วิวัฒน์จากซากศพของระดับจักรพรรดิ ลึกลับและกว้างใหญ่ไพศาล น่าหวาดกลัวเหมือนแดนต้องห้าม

หญิงลึกลับเคยกล่าวว่าโลกรัตติกาลมืดมิดนี้ได้หายไปแล้ว และจุดเปลี่ยนใหญ่ก็ปรากฏในเวลาต่อมา

ปัจจุบันเมื่อยืนอยู่หน้าตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์หลังนี้ ได้ฟังคำพูดของชายหนุ่มจักจั่นทอง ทำให้หลินสวินเกิดข้อสันนิษฐานที่บ้าบิ่นหนึ่งขึ้นมาในพริบตา

ศพระดับจักรพรรดิที่กลายเป็นโลกยามราตรีนั้น จะใช่สิ่งที่มหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์เหลือไว้หรือไม่

“มหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์คืออัจฉริยะคนหนึ่งที่น่าตกตะลึงหาใดเปรียบ ใช้ร่างกายอันต่ำต้อยมุ่งหน้าพลิกฟ้า ผ่านความยากลำบากของหมื่นเคราะห์จนได้บรรลุระดับมหาจักรพรรดิในที่สุด น่าเสียดาย…”

ชายหนุ่มจักจั่นทองทอดถอนใจ “มรรคาที่เขาเสาะหาเป็นสิ่งต้องห้ามเกินไป จนกระทั่งใกล้จะเปิดสำนัก ยามสำแดงมรรคในใต้หล้าได้เจอกับหายนะแห่งการทำลายล้างเข้า”

“ปีนั้นข้าพาอาไป๋มาที่นี่ด้วยกัน ก็เพื่อสืบหาความจริงที่มหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์เหลือไว้ เพราะหากไม่อาจไขเรื่องราวที่มหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์เผชิญให้กระจ่าง ภายหน้า… ข้าก็อาจจะพบจุดจบอย่างเขาได้ หากเป็นเช่นนั้นก็ทำให้คนไม่ยินยอมเกินไปแล้ว”

พูดถึงตรงนี้เขามองหลินสวินแล้วยิ้มกล่าว “ปีนั้นข้าบอกเจ้าว่าข้าเคยตั้งปณิธาน ว่าต้องการเสาะหามรรคาที่สามารถทำให้สรรพสิ่งทั่วหล้าต่างบรรลุอริยะได้ หนทางนี้… ช่างยากลำบากนัก”

น้ำเสียงเจือความทอดถอนใจเสี้ยวหนึ่ง

ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดเขาจำศีลอยู่ที่นี่มาตลอด คำนวณ ตรวจสอบ สัมผัสรู้ หยั่งถึง…

จนถึงตอนนี้ในที่สุดจึงมองเห็นความหวังเสี้ยวหนึ่งอยู่รางๆ ในการมาเยือนของมหายุคครานี้ จะไม่ให้เขาทอดถอนใจได้อย่างไร

การเสาะหามหามรรค แต่ไหนแต่ไรล้วนต้องทนทรมานจากความโดดเดี่ยวและเดียวดายในกาลเวลาที่ล่วงเลย

“ผู้อาวุโสพูดเรื่องพวกนี้กับข้า เกรงว่าคงเหมือนสีซอให้ควายฟังแล้ว”

หลินสวินตกตะลึงไปชั่วขณะก็ยิ้มเยาะตนเอง เขายังไม่บรรลุอริยะ ย่อมไม่อาจเข้าใจความล้ำลึกและอันตรายของมรรคาระดับจักรพรรดิเป็นธรรมดา

“ตอนนี้ไม่เข้าใจ ภายหน้าก็จะเข้าใจเอง ปีนั้นข้าเคยพูดถึงระดับอริยะกับเจ้า เจ้าก็ไม่เข้าใจไม่ใช่หรือ แล้วดูเจ้าตอนนี้สิ ห่างจากระดับอริยะไม่ไกลแล้ว”

ชายหนุ่มจักจั่นทองวาจาสบายอารมณ์ นุ่มนวลผ่าเผย น้ำเสียงเจือพลังที่ทำให้ใจคนสงบอย่างหนึ่ง

หลินสวินนึกถึงปีนั้นแล้วอดทอดถอนใจไม่ได้ “ก็จริง ปีนั้นผู้อาวุโสพูดว่า อริยะที่ไร้อริยะก็คืออริยะที่แท้จริง มรรคที่ไร้มรรคก็คือมหามรรค ดังนั้นจึงทำให้ข้าเข้าใจว่าหากต้องการบรรลุขอบเขตมกุฎ ต้องเสาะหามรรคาที่ไม่เคยมีมาก่อน”

ชายหนุ่มจักจั่นทองพยักหน้า “อริยมรรคสานต่อความรู้จากอดีต ถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลัง เหมือนสันหลังมนุษย์ที่ค้ำจุนร่าง เบื้องบนเทียมฟ้าเบื้องล่างหยั่งดิน มีวิธีถ่ายทอดสอนให้รู้หลักวิชา ขัดเกลาทุกสรรพชีวิต”

“หากไม่บรรลุอริยะอย่างแท้จริงก็ไม่ต้องกล่าวถึงอริยมรรค ภายหน้าหากคิดจะบรรลุจักรพรรดิก็ป่วยการ”

คิดไปคิดมาชายหนุ่มจักจั่นทองจึงกล่าว “ระดับปราณห้าขั้น สิ่งที่เคี่ยวกรำคือรากฐานของการฝึกปราณ ในห้าระดับนี้ผู้ฝึกปราณจะกระโดดจากปุถุชนคนธรรมดาเป็นผู้บำเพ็ญมรรค เริ่มเข้าใจหลักแห่งฟ้าดินโดยกระจ่าง หยั่งรู้ความอัศจรรย์ของมหามรรค”

“มรรคาอมตะ สิ่งที่สร้างคือแก่นแห่งการเข้าถึงมรรค จิตวิญญาณดุจดวงโคม ไม่ดับสิ้นชั่วนิรันดร์ เมื่อมีรากฐานของการเป็นอมตะแล้วจึงจะสามารถต้านทานการเชือดเฉือนของกาลเวลาได้ มีเวลาและโอกาสไปเสาะหามหามรรคที่สูงกว่าได้มากขึ้น”

“สำหรับระดับอริยะ จะมีพลังในการเข้าถึงมรรคอย่างแท้จริง มรรคาที่เสาะหาเริ่มสัมผัสกฎระเบียบแก่นแท้ของมหามรรคฟ้าดินแล้ว”

“มีเพียงยึดกุมกฎเกณฑ์แก่นแท้ของมหามรรคฟ้าดิน จึงจะสามารถไปเสาะหาหนทางสู่ระดับจักรพรรดิที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์ได้”

“นี่ก็คือหนทางบำเพ็ญมหามรรคที่รู้กันตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน แต่เจ้าก็รู้ว่าพูดง่ายทำยาก เมื่อเหยียบลงบนหนทางสู่มรรค ก็เท่ากับเหยียบเส้นทางที่ไร้หนทางหวนกลับ พลาดไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว”

พูดถึงตรงนี้ชายหนุ่มจักจั่นทองเงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าว “เพียงแต่อะไรถูกอะไรผิด จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่ชัดเจน”

“ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เส้นทางเสาะหามหามรรคดูอันตรายและล้ำลึกยากหยั่งถึงเช่นนี้ ทุกคนต่างคิดว่ามรรคาที่ตนเหยียบย่ำคือหนทางที่ถูกต้อง แต่เมื่อพบว่าข้างหน้าไร้ทางแล้วก็จะเข้าใจ ว่าสิ่งที่ตนแสวงหาในอดีตคือหนทางที่ผิด!”

“มรรคาที่มหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์เสาะหาในปีนั้นฝืนข้อห้ามบางประการ ดังนั้นจึงประสบหายนะ มรรคาที่เขาก้าวเดินบางทีอาจเป็นหนทางที่ถูก แต่จากมุมมองข้า มรรคาของเขาก็คือหนทางที่ผิด”

ฟังถึงตรงนี้หลินสวินพลันเอ่ยถาม “ในเมื่อเป็นหนทางที่ผิด แล้วเหตุใดหลายปีมานี้ผู้อาวุโสถึงยังจำศีลอยู่ที่นี่ สืบหาความจริงที่มหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ร่วงหล่นอีกเล่า”

“ง่ายมาก ข้าอยากรู้ว่าเขาผิดตรงไหน” ชายหนุ่มจักจั่นทองกล่าวตรงไปตรงมา

“เช่นนั้นตอนนี้ผู้อาวุโสรู้แล้วหรือ”

“พูดลำบาก”

ชายหนุ่มจักจั่นทองคิดไปคิดมาค่อยกล่าว “แต่ข้าจะไปลองดู”

พูดคุยถึงตรงนี้ชายหนุ่มจักจั่นทองพลันกล่าว “ในเมื่อเจ้าถามข้าแล้ว เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า เคยสงสัยไหมว่ามรรคาที่ตนเสาะหานั้นถูกหรือผิด”

หลินสวินยิ้มกล่าว “ก่อนหน้านี้เคยขอรับ”

เขานึกถึงภาพต่างๆ ที่เคยประสบใน ‘วัฏจักร’ ด่านที่เก้าของทางเดินเมฆาหยก เมื่อผ่านการครุ่นคิดและใคร่ครวญยี่สิบกว่าปีในวัฏจักรนั้น เขาจึงรู้แจ้งแก่นจริงแท้อย่างหนึ่ง

เมื่อเท็จกลายเป็นจริง จริงย่อมกลายเป็นเท็จ เมื่อไม่มีกลายเป็นมี มีย่อมไม่มี ข้าคือความจริง มหามรรคก็ย่อมจริง!

ดังนั้นคำถามนี้ของชายหนุ่มจักจั่นทอง ย่อมไม่มีทางทำให้เขารู้สึกสับสนเป็นธรรมดา

มองหลินสวินที่แววตากระจ่างและนิ่งสงบ ชายหนุ่มจักจั่นทองอดปรบมือแล้วยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “ไม่เลวๆ มิน่าถึงกล้าฝึกมกุฎไตรมรรคพร้อมกัน ที่แท้ก็แตกฉานรู้แจ้งแล้ว”

เขาหยัดร่างขึ้นจากบันไดหินแล้วกล่าว “เจ้าคงมาที่นี่เพื่อข้ามเคราะห์มรรคตัดขาดเป็นแน่ ถึงขั้นยังมีความคิดที่จะใช้มกุฎบรรลุอริยะด้วย”

หลินสวินใจกระตุกเล็กน้อยกล่าว “ขอผู้อาวุโสชี้แนะ”

“ข้าคงชี้แนะเจ้าไม่ได้ มรรคาที่เจ้ากับข้าเสาะหาไม่เหมือนกัน”

ชายหนุ่มจักจั่นทองกล่าว “อีกประเดี๋ยวเจ้าลองไปเยือนตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ด้วยตัวเองสิ”

หลินสวินเข้าใจในทันที จุดเปลี่ยนใหญ่ของการบรรลุจักรพรรดิบางทีเขาอาจเอื้อมไม่ถึง แต่ในตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์นั่นต้องมีจุดเปลี่ยนข้ามด่านเคราะห์ให้ตนได้ไขว่คว้าแน่!

ไม่นานเขาก็มุ่นคิ้ว “เพียงแต่ข้าไม่ได้ถูกเลือก…”

ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้ม ชี้บันไดเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้นนั้นกล่าว “หนทางอยู่ข้างหน้า ทำไมถึงไม่ไป”

หลินสวินร้อง ‘เอ้อ’ ออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง ยิ้มเยาะตนเองแล้วกล่าว “ใบไม้หนึ่งบังตา ที่แท้เป็นเช่นนี้”

“สหายน้อย ขอยืมโคมนี้สักประเดี๋ยว”

ชายหนุ่มจักจั่นทองเหลือบสายตาไปยังโคมไร้มลทิน

หลินสวินส่งโคมให้ ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้มรับไป ปลายนิ้ววาดผ่านแผ่วเบา ไส้โคมพลันส่องประกายสว่างไสว เงาโคมที่เดิมสลัวรางเปลี่ยนเป็นเจิดจ้าดั่งดวงตะวันดวงหนึ่ง

สามารถมองเห็นได้รางๆ ว่าในเงาโคมที่ส่องประกายนั้นมีบานประตูเลือนรางบิดเบี้ยวหนึ่งอยู่ด้วย!

“ไปเถอะ ปีนั้นพวกเจ้าถูกพลังต้องห้ามสยบเพราะปกป้องมหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ วันนี้ข้ายืมสมบัติของสหายน้อยผู้นี้มาชี้นำหนทางหวนกลับให้พวกเจ้า”

สายตาของชายหนุ่มจักจั่นทองมองไปยังตัวดุร้ายเจ็ดตัวนั้นที่อยู่ใกล้เคียง กล่าวเสียงขรึม

ตูม!

หัวใจที่เต็มไปด้วยรูพรุนดวงนั้นเคลื่อนไหวเป็นคนแรก เปลี่ยนเป็นชายชราชุดนักพรตผมดำราวหมึกเขียนคนหนึ่งในพริบตา

“ขอบคุณสหายยุทธ์มาก”

เวลานี้ชายชราชุดนักพรตดูมีความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาบ้างอย่างเห็นได้ชัด อึ้งงันอยู่ครู่ใหญ่ก็ประสานมือไปทางชายหนุ่มจักจั่นทอง

ไม่นานก็มองไปยังหลินสวิน บนสีหน้าเจือความซาบซึ้งเสี้ยวหนึ่ง กล่าวว่า “สหายน้อย โปรดรับสิ่งนี้ไว้ บุญคุณในวันนี้ วันหน้าจะตอบแทน!”

พูดจบเขาก็ยื่นมือออกไป ประกายเขียวสายหนึ่งควบรวมเป็นป้ายหยกชิ้นหนึ่ง ก่อนส่งมอบให้หลินสวินด้วยสองมือ

…………………..

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

BRCO, Tian Jiao Zhan Ji, 天骄战纪
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset