นอกหอเซียนเมามายมีอริยะถอนหายใจ “ดินแดนรกร้างโบราณในอนาคต ถูกกำหนดให้เป็นของเหล่าคนรุ่นเยาว์ในหอเหล่านั้น!”
คนรุ่นเยาว์เหล่านั้นเหยียบย่างขอบเขตมกุฎ มรรคาอมตะเรียกได้ว่าเป็นราชัน กำราบคนรุ่นเดียวกัน เปรียบเสมือนตะวันฉายฉาน แขวนอยู่เหนือท้องฟ้าดินแดนรกร้างโบราณ
ตอนที่พวกเขาบรรลุมกุฎอริยะ ต่อให้เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับอริยะในดินแดนรกร้างโบราณ จะเอาอะไรไปเปรียบกับพวกเขา
“หากไม่มีการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนก็เป็นเช่นนี้จริง แต่ตอนนี้ใครก็รู้ว่าการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง คนรุ่นเยาว์ที่ก้าวสู่ขอบเขตมกุฎ ถูกกำหนดให้เข้าสู่สมรภูมิเก้าดินแดน”
จู่ๆ อริยะคนหนึ่งก็พูดขึ้น “และถามทุกท่านว่า พวกเจ้าคิดว่าในบรรดาพวกเขา จะมีสักกี่คนที่สามารถรอดกลับมาจากสมรภูมิเก้าดินแดนได้”
ประโยคเดียวทำเอาเหล่าอริยะต่างนิ่งเงียบ ในใจหนักอึ้ง
การต่อสู้แห่งเก้าดินแดน!
สงครามเช่นนี้ในอดีตเคยนำพาการโจมตีอันหนักหน่วงให้กับดินแดนรกร้างโบราณ และเคยทำให้ผู้กล้าไม่รู้เท่าไหร่เคียดแค้น ฝังกระดูกในสนามรบ เต็มไปด้วยน้ำตาเลือดและความอดสู
และการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนที่กำลังจะมาเยือนครั้งนี้ ดินแดนรกร้างโบราณจะเกิดสถานการณ์ย่ำแย่เช่นนี้อีกหรือไม่
ในหอเซียนเมามาย บุคคลขอบเขตมกุฎรวมตัวกัน ตอนที่ดื่มเหล้าพูดคุยอยู่ก็เอ่ยถึงเรื่องการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนเช่นเดียวกัน
“หากสมรภูมิเก้าดินแดนเริ่มขึ้น ฝั่งดินแดนรกร้างโบราณของพวกเราจะมีผู้แข็งแกร่งระดับอริยะแท้กลุ่มหนึ่งนำทัพเข้าสู่สงครามครั้งนี้”
หมีเหิงเจินพูดขึ้น “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่เกี่ยวข้องกับความเป็นตายและการอยู่รอดของดินแดนรกร้างโบราณ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสำนักโบราณใดก็ล้วนเคลื่อนกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตน”
“แต่ทุกคนต่างรู้ว่า การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนแบ่งออกเป็นสองสนามรบใหญ่”
“หนึ่งคือสนามรบแนวหน้า เป็นปราการที่ดินแดนรกร้างโบราณใช้ต้านทานแปดดินแดน มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับอริยะขึ้นไปจึงจะมีคุณสมบัติไปเยือน คนอื่นๆ ไปก็เหมือนรนหาที่ตาย”
“อีกหนึ่งคือสมรภูมิเก้าดินแดน ตั้งอยู่ระหว่างโลกของเก้าดินแดนใหญ่ ประกอบด้วยผืนแผ่นดินของแต่ละดินแดน”
“เพราะการจำกัดของกฎเกณฑ์ฟ้าดิน สมรภูมิเก้าดินแดนรองรับได้มากสุดเพียงผู้แข็งแกร่งระดับอริยะแท้เท่านั้น”
“แต่โดยทั่วไปแล้วผู้แข็งแกร่งที่ต่ำกว่าระดับราชันล้วนยากจะรอดในสมรภูมิเก้าดินแดน เพราะฉะนั้นการต่อสู้ในสมรภูมิเก้าดินแดน น่าจะเป็นสถานที่ต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งที่ระดับราชันขึ้นไปแต่ต่ำกว่าระดับอริยะ”
“ที่ที่เราจะไปในครั้งนี้ ก็คือสมรภูมิเก้าดินแดน”
พูดถึงตรงนี้หมีเหิงเจินสูดหายใจลึกแล่วเอ่ยว่า “ถึงตอนนั้นผู้แข็งแกร่งของแปดดินแดนอื่นก็จะเข้าร่วมด้วย”
“สิ่งที่มั่นใจได้คือ หากการต่อสู้ปะทุขึ้น ผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนอื่นจะต้องพุ่งเป้ามายังดินแดนรกร้างโบราณในทันทีแน่!”
ฟังถึงตรงนี้ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างนัยน์ตาหดรัด
“แปดดินแดนแม้ไม่ได้เป็นพันธมิตรกัน แต่ทุกท่านต่างรู้ดีว่าในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งก่อนหน้านี้ ระหว่างพวกเขาได้บรรลุข้อตกลงหนึ่ง ตัดรกร้างโบราณก่อนค่อยประชันสูงต่ำ!”
“หมายความว่าอย่างไร”
หมีเหิงเจินหัวเราะเสียงเย็น “นั่นก็คือร่วมกันลงมือกวาดล้างผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณก่อน แล้วค่อยไปสู้กันเองระหว่างผู้แข็งแกร่งแปดดินแดน!”
ในโถงที่เดิมทีบรรยากาศกลมเกลียวพลันเงียบกริบขึ้นมา สีหน้าของบุคคลขอบเขตมกุฎทุกคนต่างแฝงความมืดทะมึน
ตัดรกร้างโบราณก่อนค่อยประชันสูงต่ำ!
ประโยคเพียงสั้นๆ ความหมายที่เผยออกมากลับทำให้ทุกคนในดินแดนรกร้างโบราณเดือดดาล!
“ครั้งนี้จะต้องแตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างแน่นอน”
มีคนลอบกัดฟัน
“ถึงตอนนั้นข้าจะดูซิว่าพวกเขามีความมั่นใจอะไร ถึงกล้าเจาะจงเล่นงานเราเช่นนี้!”
คนส่วนใหญ่ต่างนิ่งเงียบ
ถูกผู้แข็งแกร่งของแปดดินแดนใหญ่เจาะจงเล่นงานพร้อมกัน แค่คิดก็รู้ว่าหลังจากพวกเขาเข้าสู่สมรภูมิเก้าดินแดน สถานการณ์ที่ต้องเผชิญจะอันตรายเพียงใด
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ในแปดดินแดนอื่นมกุฎมรรคาไม่เคยขาด ซึ่งก็หมายความว่าแค่เลือกผู้แข็งแกร่งออกมาลวกๆ คนหนึ่ง ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎ
ไม่จำเป็นต้องสงสัยเลยว่า ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎอริยะแท้ก็มีมากเช่นกัน!
ในสถานการณ์เช่นนี้หากอยากอยู่รอดในสมรภูมิเก้าดินแดน มีความเป็นไปได้สูงมากว่าต้องเผชิญความท้าทายอันรุนแรง
ส่วนการจะพลิกสถานการณ์ โจมตีการบุกรุกของแปดดินแดนให้ย่อยยับ จะมีหวังแค่ไหน
ทันใดนั้นทุกคนต่างขบคิดแตกต่างกันไปการดื่มเหล้าก็ไร้รสชาติไปด้วย
จู่ๆ องค์ชายเซ่าเฮ่าก็ยิ้มบางๆ พร้อมพูดว่า “การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งนี้ถูกกำหนดให้แตกต่างจากที่ผ่านมา แม้สถานการณ์จะอันตรายแค่ไหน แต่อย่างไรพวกเราก็ยังมีหวัง!”
“ไม่ผิด หลังจากเข้าสู่สมรภูมิเก้าดินแดน พวกเราแสวงหาหนทางแห่งการบรรลุมกุฎอริยะทันที เช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวคู่ต่อสู้คนใดแล้ว”
เทพธิดารั่วอู่เองก็พูดเสียงกระจ่างขึ้นมา
พวกเขาล้วนเป็นบุคคลที่สภาวะจิตและเจตจำนงแน่วแน่ ย่อมไม่มีทางถูกเรื่องพวกนี้กระทบ
“พี่หลินคิดว่าอย่างไร”
จู่ๆ เทพธิดารั่วอู่ก็เคลื่อนสายตาคู่ใสมองไปยังหลินสวินที่ไม่ได้พูดอะไร
หลินสวินอึ้งไปเล็กน้อยค่อยพูดว่า “ข้าไม่ได้มีความคิดอะไร เพียงแค่กำลังคิดว่าควรสังหารศัตรูกี่คน รวบรวม ‘ชะตามรรคผลงานรบ’ ได้เท่าไหร่ จึงจะสามารถกระตุ้นป้ายคำสั่งเซียนเหิน ครอบครองสิทธิ์การเข้าสู่แหล่งสถานคุนหลุน”
ทุกคนต่างอึ้งงัน จากนั้นอดขันไม่ได้
ในใจคนเหล่านี้ต่างอดถอนหายใจไม่ได้ ช่างสมกับเป็นเทพมารหลิน ตอนที่พวกเขากำลังกังวลใจกับอันตรายที่ต้องเผชิญในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดน เขากลับดีนัก เป็นห่วงเรื่องที่จะเข้าสู่แหล่งสถานคุนหลุนโดยตรงเลย
“ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าในมือพี่หลินต้องครอบครองป้ายคำสั่งเซียนเหินไว้ชิ้นหนึ่งแล้วแน่”
องค์ชายเซ่าเฮ่าพูดพร้อมรอยยิ้มเปิดเผย
“ไม่ผิด”
หลินสวินเองก็ไม่ได้ปิดบัง
“พี่หลิน งั้นเจ้าต้องระวังหน่อย สิ่งที่ศัตรูแปดดินแดนอื่นปรารถนาที่สุดก็คือป้ายคำสั่งเซียนเหิน หากพวกเขารู้เรื่องนี้ จะต้องเห็นเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่ต้องสังหารให้ได้อย่างแน่นอน”
เย่หมัวเฮอพูดเตือน
หลินสวินยิ้ม “เช่นนี้ยิ่งดีมิใช่หรือ เท่ากับว่าชะตามรรคผลงานรบมหาศาลมาเยือนถึงที่ ข้าเก็บทีละคนก็ได้แล้ว”
ทุกคนหัวเราะเกรียวกราวอีกครั้ง บรรยากาศในโถงผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย
ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะต้องมีคนหาว่าหลินสวินอวดดีเกินไปอย่างแน่นอน คำพูดเกินจริง แต่ตอนนี้ทุกคนต่างคิดอย่างสมเหตุสมผลว่าหลินสวินพูดเช่นนี้จึงจะเป็นเรื่องปกติ
ไม่เช่นนั้นจะสมกับชื่อเสียงล้นฟ้าที่เขาครอบครองในตอนนี้ได้อย่างไร!
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงเรื่องล้อเล่น ตอนที่การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนเริ่มขึ้นจริงๆ พวกเขากล้ามั่นใจว่าแม้เป็นหลินสวินก็ไม่กล้าประมาทแน่
……
จวบจนกระทั่งดึกดื่น งานเลี้ยงจึงจบลง
หลินสวินกับกลุ่มเพื่อนเก่าอย่างพวกเซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน จี้ซิงเหยาพูดคุยกันอยู่นานมาก ถึงค่อยแยกย้ายจากไป
หลายเดือนก่อนหน้านี้เขาเหมือนนักเดินทางที่เดินทางไปทั่วฟ้าดิน ท่องเที่ยวทั่วโลก มองดูความงามของภูผาธารา สภาพต่างๆ ของโลกทั้งหมด
และในมรรคแห่งหินสลักที่ท่านเซิ่นสอน เมื่อผ่านเวลามาหนึ่งเดือน ได้เรียบเรียงสภาวะจิตของตน ทำให้สภาวะจิตเกิดการเปลี่ยนแปลงและยกระดับ
ตอนนี้เขาตัดสินใจจะกลับทะเลหมากดารา รอการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนมาเยือนเงียบๆ!
“ออกมาเถอะ”
กลางดึกบนห้วงอากาศเหนือเนินเขาเวิ้งว้าง หลินสวินที่ก้าวเดินอยู่ในทะเลเมฆเพียงลำพังชะงักฝีเท้ากะทันหัน สายตามองไปด้านหลัง
ในทะเลเมฆปรากฏชายชราชุดดำที่ผมและเคราสีขาวขุ่น ลักษณะผอมตอบ หลังตรงราวกับกระบี่คนหนึ่ง
“สหายน้อยอย่าได้เข้าใจผิด ข้ามาจากสำนักกระบี่เทียมฟ้า มาคราวนี้เพียงมีเรื่องหนึ่งอยากหารือกับสหายน้อย”
ชายชราชุดดำพูดราบเรียบ ไม่ได้มีเจตนากดดัน
นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นอริยะกระบี่ผู้หนึ่ง กลิ่นอายแม้จะไม่เผยออกมา แต่อานุภาพอันไร้รูปร่างนั่นยังคงอยู่
“อ้อ เรื่องใด”
ดวงตาดำของหลินสวินเย็นเยียบ เงาร่างยืนนิ่งอย่างสบายๆ พลังในกายกลับโคจรสมบูรณ์ถึงที่สุดแล้ว
“ไม่มีเรื่องใด เพียงหวังให้สหายน้อยทิ้งกระบี่เทียมฟ้าเอาไว้”
ชายชราชุดดำประสานหมัดพูด “หากสหายน้อยตอบรับ ข้าสามารถเป็นตัวแทนของสำนักกระบี่เทียมฟ้า คลี่คลายความแค้นที่ผ่านมากับสหายน้อยได้”
หลินสวินย้อนถาม “หากข้าไม่ตอบรับล่ะ”
ชายชราชุดดำเงียบ ครู่ใหญ่เขาจึงพูดว่า “สหายน้อยคงรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสดีในการสลายความแค้น”
หลินสวินหัวเราะเยาะ “ที่ผ่านมาสำนักกระบี่เทียมฟ้าของพวกเจ้าเล่นงานข้าไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ตามหลักแล้วควรเป็นข้าที่แค้นพวกเจ้าถึงจะถูก ตอนนี้เหตุใดจึงกลายเป็นพวกเจ้ามาให้อภัยข้า”
ชายชราชุดดำสีหน้าขรึมลง ประกายเย็นเยียบไหววาบในดวงตา เอ่ยว่า “สหายน้อย ยังคงคิดให้ดี ชื่อเสียงที่เจ้ามีตอนนี้ไม่มีใครเทียบได้ก็จริง แต่หากคิดว่าด้วยชื่อเสียงพวกนี้ก็จะสามารถมองข้ามทุกอย่างได้ นั่นเป็นความคิดที่ผิดอย่างมหันต์”
หลินสวินหุบยิ้มกล่าว “เจ้าคงรู้ดีว่าข้าไม่เคยกลัวการคุกคามใดๆ อยากได้กระบี่เทียมฟ้าหรือ ง่ายมาก ก็แค่ลงมือ”
ชายชราชุดดำสีหน้าอึมครึมไม่นิ่ง จ้องหลินสวินอยู่นาน สุดท้ายถอนหายใจพูดว่า “ช่างเถอะ เจ้าไปเถอะ”
หลินสวินนัยน์ตาหดรัด ประหลาดใจอยู่บ้าง
“กระบี่นี้ข้าชิงมาจากมืออวิ๋นชิ่งไป๋ ตอนนี้เขาตายแล้ว แต่ข้ารู้ว่าเขาตายอย่างไม่จำยอม”
จากท่าทีของชายชราชุดดำ หลินสวินตัดสินใจจะอธิบายอีกครั้ง สีหน้าของเขานิ่งสงบ ไม่ดีใจหรือเสียใจ
“แม้ข้ากับเขาจะเป็นศัตรูกัน แต่วันหนึ่งข้าจะใช้กระบี่นี้บูชาวิญญาณของเขา” พูดจบเขาก็ทะยานจากไป
อวิ๋นชิ่งไป๋เป็นคู่ต่อสู้ที่สมควรตายเป็นหมื่นๆ ครั้งในใจหลินสวิน แต่ขณะเดียวกันก็เป็นคู่ต่อสู้ที่ทำให้เขาไม่อาจไม่เลื่อมใส
นี่คือบุคคลแห่งยุคที่มีชีวิตอันน่าเศร้า
บางคราวมาคิดดูแล้ว หากตนอยู่ในสถานการณ์อย่างอวิ๋นชิ่งไป๋ เริ่มตั้งแต่วันแรกที่ฝึกปราณก็ไม่เคยมีทางเลือกอื่นอีกเลย ก็ไม่รู้ว่าตนจะทำได้ดีกว่าอวิ๋นชิ่งไป๋หรือไม่
ชายชราชุดดำมองเงาร่างของหลินสวินค่อยๆ จากไปไกล สุดท้ายยังคงข่มกลั้นไม่ลงมือ ถอนหายใจเบาๆ
“ผู้อาวุโส เหตุใดไม่รั้งเขาไว้”
เงาร่างส่วนหนึ่งเคลื่อนออกจากบริเวใกล้ๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
“พวกเจ้าคิดว่าเหตุใดเด็กคนนี้ถึงกล้าเดินทางเพียงลำพัง”
ชายชราชุดดำย้อนถาม
ทุกคนต่างอึ้ง
“หากไม่มีใครหนุนหลัง เขาจะกล้าปฏิเสธข้าอย่างแข็งกร้าวเช่นนี้ได้อย่างไร”
ชายชราชุดดำสีหน้าซับซ้อน
เขาเป็นอริยะกระบี่ที่เก็บตัวมานาน แต่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เลือกอดกลั้นต่อหน้าคนรุ่นเยาว์คนหนึ่ง ทิ้งความคิดที่จะลงมือ
ไม่ใช่เพราะระวังเกินไป แต่เป็นเพราะเขาคาดเดาได้ว่า ต่อให้ลงมือ เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะรั้งหลินสวินไว้ได้!
“มีอัจฉริยะถือกำเนิดทุกยุคสมัย น่าเสียดาย หากอวิ๋นชิ่งไป๋ยังอยู่ ความสำเร็จที่ได้รับในตอนนี้ต้องไม่ด้อยกว่าเด็กคนนี้แน่ น่าเสียดาย…”
ชายชราชุดดำเอามือไพล่หลัง ก้าวเท้าจากไป เงาร่างเฉยชา หมดสิ้นความสนใจ
คนอื่นๆ ต่างมองหน้ากัน
พวกเขาไม่เข้าใจ ในใจยังคงไม่ยินยอม
นี่บางทีคงเป็นช่องว่างระหว่างพวกเขากับชายชราชุดดำ
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยาม เป็นช่วงเวลาก่อนรุ่งสางพอดี
หลินสวินที่เดินอยู่เหนือห้วงอากาศภูเขาธารน้ำแถบหนึ่งชะงักเท้าอีกครั้ง ครั้งนี้เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้ เอ่ยกับตัวเองว่า “ไม่ยอมไปผุดไปเกิดเลยจริงๆ…”
ตอนที่พูดเขาหมุนตัวมองไปยังที่มืดในระยะไกล สายตาราวกับสายฟ้า เย็นเยียบน่าสะพรึง