ที่ชายฝั่งทะเล เงาร่างของจ้าวจิ่งเซวียนยืนอยู่ลำพัง แต่งกายด้วยชุดกระโปรงเรียบง่ายสง่างาม เส้นผมราวน้ำตก ดุจดั่งนางเซียนเยือนโลกา
นางมีรูปโฉมดั่งภาพวาด เครื่องหน้าทั้งห้างดงามเกลี้ยงเกลาเหนือธรรมดา
ราวกับสังเกตเห็นสายตาของหลินสวิน เรียวปากเปล่งปลั่งของนางระบายยิ้ม โบกมือให้แล้วเอ่ยว่า “ไม่ได้เจอนานเลยนะ ท่านเทพมารหลิน”
เสียงกังวานเสนาะหูประหนึ่งกระดิ่งลมปลิวไหวอยู่บนผิวน้ำที่มีหมอกทึบ
จากนั้นก็เห็นว่าหลินสวินเดินเหยียบผิวน้ำมา เสื้อผ้าทั้งตัวโบกพลิ้ว สง่างามเกินคนทั่วไป ทรงเสน่ห์น่าจับตามอง
เนตรกระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนเปล่งประกายราวดวงดารา เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม ความอ่อนโยนผุดขึ้นในใจ หนึ่งปีมานี้นางคิดถึงเจ้าหมอนี่อยู่หลายครั้ง
ที่เหนือความคาดหมายของจ้าวจิ่งเซวียน ทันทีที่หลินสวินมาถึงกลับโอบกอดนางยกใหญ่ ตัวนางแข็งทื่อเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงอ่อนยวบลงในอ้อมกอดอันหนักแน่นนั้น
“ยินดีต้อนรับกลับมา”
ที่ข้างหูเสียงเจือรอยยิ้มของหลินสวินดังขึ้น ไออุ่นแยงมาที่ใบหูให้จักจี้ ใบหน้าจ้าวจิ่งเซวียนพลันย้อมด้วยสีแดงดั่งแสงอาทิตย์อุทัย เขินอายอย่างชัดเจน
และในตอนนี้ จ้าวจิ่งเซวียนพลันพบว่าหลินสวินเหมือนต่างไปจากแต่ก่อน อย่างน้อยเมื่อก่อนเขาก็ไม่เคยออกตัวเช่นนี้
นางไม่รู้ว่าในช่วงหนึ่งเดือนที่สลักรูปปั้นหินอยู่ข้างกายท่านเซิ่นนั้น ทำให้หลินสวินได้พบกับความรู้สึกต่างๆ ภายในใจตนเป็นครั้งแรกตั้งแต่ฝึกปราณมา และได้เข้าใจว่าควรจะเผชิญหน้าและยอมรับความรู้สึกเช่นไร
แต่ไม่ว่าอย่างไรจ้าวจิ่งเซวียนก็ชื่นชอบการเปลี่ยนแปลงนี้ของหลินสวินอยู่ดี เหมือนจู่ๆ ได้เห็นคนหัวดื้อคนหนึ่งเปิดใจ…
บนเกาะหลินสวินกับจ้าวจิ่งเซวียนนั่งพิงไหล่กัน พูดคุยเรื่องราวฟ้าดิน น้ำทะเลที่อยู่ไกลออกไปซัดสาดถาโถม มวลหมอกลอยสูง เงียบสงบยิ่งนัก
“ที่แท้เซ่าเฮ่ากับเทพธิดารั่วอู่ก็บรรลุเป็นมกุฎอริยะหมดแล้ว…”
พอได้รู้ข่าวนี้เข้า หลินสวินก็ทอดถอนใจประโยคหนึ่งอย่างอดไม่ได้
“เจ้าผิดหวังใช่ไหม”
ดวงตาของจ้าวจิ่งเซวียนส่องสว่างราวดวงดารา จดจ้องใบหน้าด้านข้างของหลินสวิน
หลินสวินยิ้มกว้างแล้วเอ่ยว่า “เอาอะไรมาผิดหวัง ข้าไม่เคยมีความคิดไปประชันสูงต่ำกับพวกเขา ถึงอย่างไรมหามรรคที่ทุกคนเสาะหาก็ไม่เหมือนกัน จุดเปลี่ยนในการแจ้งมรรคก็ต่างกันไป”
“แต่พวกเขาเดินนำหน้าเจ้าไปแล้วก้าวหนึ่งนะ”
จ้าวจิ่งเซวียนคล้ายอยากดูเสียหน่อยว่าหลินสวินจะแสดงความรู้สึกท้อใจหรือรุ่มร้อนออกมาบ้างหรือไม่
แต่ตั้งแต่เริ่มจนจบหลินสวินผ่อนคลายสบายอารมณ์ เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจเรื่องพวกนี้จริงๆ นี่ทำให้จ้าวจิ่งเซวียนชื่นชม สภาวะจิตของเจ้าหมอนี่ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว
“จริงด้วย ตอนข้ามาได้ยินว่าช่วงใกล้ๆ นี้สมรภูมิเก้าดินแดนก็จะเปิดแล้ว”
ทันใดนั้นจ้าวจิ่งเซวียนก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนจะมาก่อนเวลาหรือ”
หลินสวินใจสะท้าน
จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ย “ใช่แล้ว อีกไม่นานทะเลหมากดาราแห่งนี้ก็จะคึกคักขึ้นมา เพราะบนเขาเทพไร้มรณะที่อยู่สุดทะเลนี้ก็มีเส้นทางที่ไปสมรภูมิเก้าดินแดน”
ต่อมาจ้าวจิ่งเซวียนก็เล่าข่าวคราวเกี่ยวกับสมรภูมิเก้าดินแดนที่ตนได้รู้มาให้หลินสวินฟังทีละเรื่อง
บางข่าวแม้แต่หลินสวินยังได้ยินเป็นครั้งแรก
เช่นในสมรภูมิเก้าดินแดน นอกจากศัตรูอีกแปดดินแดนแล้ว ยังมีสิ่งแปลกประหลาดอันตรายมากมายอยู่
อีกทั้งในสมรภูมิเก้าดินแดนยังมีพิภพแดนลับมากมาย พิภพแดนลับบางแห่งเป็นสถานที่อันเลวร้ายยิ่ง ผู้ที่เข้าไปต้องตาย
และในพิภพดินแดนลับก็มีวาสนาสะเทือนโลกอันยากจินตนาการได้อยู่
นอกจากนี้กฎเกณฑ์ของสมรภูมิเก้าดินแดนพิเศษยิ่งยวด พลังที่เกินระดับอริยะล้วนถูกกดข่ม ไม่อาจถูกสำแดงออกมาได้
เช่นสมบัติกับพลังต้องห้ามที่เกินระดับอริยะ ต่อให้สามารถนำเข้าไปในสมรภูมิเก้าดินแดนได้ ก็จะถูกกฎระเบียบฟ้าดินกดข่มอย่างเด็ดขาด
และยังมี…
โดยสรุปแล้ว เรื่องพวกนี้หลินสวินต่างจดจำใส่ใจ
ตอนที่จ้าวจิ่งเซวียนมาถึงทะเลหมากดาราไม่ถึงหนึ่งเดือน อาหลู่ก็มาแล้ว แบกกระบองเหล็กไว้อันหนึ่ง ขี่อสูรเจียวยักษ์สีดำที่ไปจับมาจากไหนก็ไม่รู้อยู่
มองปราดแรกหลินสวินก็ตะลึงไป เพราะเจ้าอาหลู่คนนี้เปลี่ยนไปแล้ว ร่างกายกำยำที่เดิมกล้ามเนื้อเต้นแน่น กลับแปรเปลี่ยนเป็นผอมบางขึ้น ผอมลงไปกว่าแต่ก่อนมาก
แม้กล้ามยังเป็นสีทองแดงดังเดิม แต่อาหลู่ที่ผอมลงนั้นรูปลักษณ์กลับเปลี่ยนเป็นหล่อเหลาอย่างยิ่ง เครื่องหน้าชัดเจนเหมือนถูกสลักเสลา
“พี่ใหญ่ ทำไมเจ้ามองดูข้าแบบนี้ ไม่กลัวข้าอายหรือ”
เสียงอาหลู่ยังหยาบกระด้างไม่ยี่หระดังเดิม มีท่าทางเขินอายเสียที่ไหน กลับออกจะลำพองใจอย่างยิ่ง เหมือนพึงพอใจกับความประหลาดใจในดวงตาของหลินสวิน
“ถุย!”
เจ้าคางคกเข้ามาใกล้แล้วสำรอกอย่างรุนแรง เจ้าหมอนี่ก็เพิ่งตื่นจากการปิดด่านไม่นาน “เจ้าในอดีตอหังการแข็งแกร่งขนาดไหน ตอนนี้ทำไมถึงดูเหมือนสาวขึ้นล่ะ”
อาหลู่ถลึงตาแล้วถ่มน้ำลายออกไปตรงๆ ฝอยน้ำลายพุ่งไปโดนหน้าเจ้าคางคก
ทั้งสองถ้าไม่เจอหน้ากันก็ไม่เป็นไร แต่พอเจอกันเป็นต้องตีกัน หลินสวินชินเสียแล้ว
และหลังจากอาหลู่มาถึงที่นี่ได้สองเดือน นกทมิฬที่แบกหม้อดำใบหนึ่งไว้บนหลังก็มาแล้ว ทันทีที่มาถึงก็โวยวายอย่างได้ใจยิ่งว่า “การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนคราวนี้ ข้าจะต้องโดดเด่นไม่เป็นรองใคร กำราบศัตรูทั้งปวง!”
ครืด!
แรกสุดเป็นอาหลู่ใช้กระบองเหล็กกระแทกออกไปอย่างจังจนหม้อดำที่อยู่บนหลังนกทมิฬเกือบกระเด็นออกไป
จากนั้นเจ้าคางคกก็ก้าวออกมาข้างหน้า หวดนกทมิฬไปรอบหนึ่งแล้วด่าว่า “ต่อหน้าข้าเจ้าจะพูดว่าไม่เป็นรองใครได้อย่างไร”
นกทมิฬตาพร่าไปหมด คิดไม่ถึงว่าทันทีที่ตนมาถึงก็จะถูกต้อนรับอย่างพิเศษเช่นนี้ ทันใดนั้นก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ส่งเสียงร้องแกว๊กๆ ดังลั่นขึ้นมา
หลินสวินที่อยู่ห่างออกไปหัวเราะร่าอย่างอดไม่ได้
ตอนนี้จ้าวจิ่งเซวียน อาหลู่ เจ้าคางคก นกทมิฬอยู่กันหมด เหมือนทำให้หลินสวินได้กลับไปตอนที่อยู่แดนมกุฎ มีความรู้สึกว่า ‘หนทางของข้าไม่เดียวดาย’
……
แล้วก็ผ่านไปอีกสามเดือน
วันนี้หลินสวินกำลังนั่งสมาธิ จู่ๆ ในใจก็รู้สึกแปลกๆ
จากนั้นเขาลุกขึ้นทันที จึงเห็นว่าในทะเลหมากดาราอันกว้างใหญ่ไพศาล พลังค่ายกลใหญ่วัฏจักรดาราโดยรอบที่ปกคลุมอยู่ปั่นป่วนรุนแรงขึ้นมาในตอนนี้
ฉับพลันพลังต้องห้ามทั้งค่ายกลใหญ่เริ่มจางลงไปช้าๆ
ในขณะเดียวกันที่ชายฝั่งทะเลหมากดารา เหนือภูเขาเทพไร้มรณะมีเสียงเป่าเขาสัญญาณอันไร้ขอบเขตเสียงหนึ่งดังขึ้น สะเทือนกลางฟ้าดิน
เสียงเป่าเขาสัญญาณนั้นเหมือนแว่วมาจากบรรพกาล ปลุกเร้าทรงพลัง พาให้เลือดร้อนสูบฉีด
“การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนจะเริ่มขึ้นแล้วหรือ”
พวกจ้าวจิ่งเซวียน เจ้าคางคก และอาหลู่ก็ตื่นตระหนก
วันนี้เขตต้องห้ามบางแห่งในพื้นที่ต่างๆ ของดินแดนรกร้างโบราณเช่นภูเขาเทพไร้มรณะ ต่างมีเสียงเป่าเขาสัญญาณที่ไร้ขอบเขตและฮึกเหิมดังขึ้นเช่นกัน
ชั่วขณะเดียวใต้หล้าลมพัดเมฆผุด
“เสียงเป่าเขาสัญญาณกรีธาทัพ! นี่เป็นเสียงเป่าเขาสัญญาณกรีธาทัพ!”
มีผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสร้องตื่นเต้นเสียงดัง
ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว ทุกครั้งที่สมรภูมิเก้าดินแดนเปิดออกก็จะมีเสียงเป่าเขาสัญญาณกรีธาทัพดังขึ้น ใช้สิ่งนี้เรียกผู้เก่งกล้าในใต้หล้ามาขับเคี่ยวกันในสมรภูมิ
นี่ก็คือสัญญาณอย่างหนึ่งที่บ่งชี้ว่าสมรภูมิเก้าดินแดนกำลังจะเปิด!
“ในที่สุดก็จะมาถึงแล้ว มาก่อนเวลาที่คาดไว้ตั้งหลายปี…”
มีคนพึมพำ ความรู้สึกในใจว้าวุ่น
“ที่เตรียมออกศึกกันมาก็เพื่อวันนี้ ทุกคน จะล้างความอับอายในอดีตให้ดินแดนรกร้างโบราณของเรา ตีศัตรูแปดดินแดนให้แตกพ่ายได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว!”
“ต้องชนะให้ได้ ต่อให้ความหวังจะน้อยนิดเพียงไหนก็ห้ามยอมแพ้!”
“ก่อนหน้านี้เมธีผู้มากสามารถไม่รู้เท่าไรสละเลือดเพื่ออุดมการณ์ ถึงทำให้พวกเราดินแดนรกร้างโบราณไม่ถูกแปดดินแดนอื่นเข้ายึดครอง คราวนี้หวังว่าทุกคนจะไม่ทำให้ปวงชนดินแดนรกร้างโบราณผิดหวัง”
ถ้อยคำปลุกเร้าฮึกเหิมเช่นนี้ดังขึ้นในสำนักโบราณไม่รู้เท่าไร
หลายปีก่อนพวกเขาได้เตรียมตัวอย่างพร้อมพรัก เพียงเพื่อรอวันนี้!
หวูดๆๆ
เสียงเป่าเขาสัญญาณไร้ขอบเขตดังขึ้น ค่อยๆ เริ่มดังไปทั่วท้องฟ้าเหนือดินแดนรกร้างโบราณ ผู้ฝึกปราณที่กระจายตามที่ต่างๆ ในใต้หล้าก็ล้วนตื่นตกใจขึ้นมาแล้ว
“ในที่สุดก็มาแล้ว!”
ชุดม่วงขององค์ชายเซ่าเฮ่าพัดกระพือ ทั้งกายแผ่อานุภาพอริยะมรรคคับฟ้า มีพลังดูดกลืนภูผาธารา โอหังเหนือโลกา
“ออกเดินทาง”
ธิดาเทพรั่วอู่แปลงกายเป็นวิหคชาดแดงเพลิงตัวหนึ่ง เคลื่อนไหวฉับพลันไปในห้วงอากาศ
วันนี้เหล่าบุคคลขอบเขตมกุฎต่างออกมาจากพื้นที่ต่างๆ มุ่งหน้าไปยังเส้นทางสู่สมรภูมิเก้าดินแดน
หยวนฝ่าเทียน ราชันเผิงปีกทองน้อย ชื่อหลิงเซียว หมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอเป็นต้น
วันนี้ในสำนักโบราณนับไม่ถ้วน อริยะคนแล้วคนเล่านำทัพพากำลังพลชั้นเลิศที่เตรียมไว้พร้อมพรักมานานแล้วเดินทางไปยังสมรภูมิ!
วันนี้ ดินแดนรกร้างโบราณอันกว้างใหญ่ประหนึ่งปีศาจยักษ์ที่ตื่นขึ้นจากการหลับใหล ปลุกจิตต่อสู้อย่างไม่เคยมีมาก่อน
ในมหายุคครั้งนี้ เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งในดินแดนรกร้างโบราณ
และในมหายุคครั้งนี้เช่นกัน ปรากฏบุคคลขอบเขตมกุฎขึ้นมากลุ่มใหญ่
ตอนนี้ก็ต้องดูว่าในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนนี้ ดินแดนรกร้างโบราณจะล้างความอับอายในอดีต ตีศัตรูภายนอกจากแปดดินแดนได้หรือไม่
……
หอฤทธิ์เทพ
ท่านเซิ่นยืนอยู่บนหน้าผาแห่งหนึ่งเพียงลำพัง อาภรณ์ปลิวไสว นิ่งเงียบไม่พูดจา
‘มหายุคก็คือกลียุค หลังจากรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด ดินแดนรกร้างโบราณจะดำรงอยู่ต่อไปได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งนี้แล้ว…’
เขารำพึงในใจ
ตูม!
ทันใดนั้นแสงมรรคน่าหวาดหวั่นมืดฟ้ามัวดินสายหนึ่งพลันรวมตัวกันเหนือเวิ้งฟ้า แปรสภาพเป็นใบหน้าน่าเกรงขามเหี้ยมเกรียมหนึ่ง ดวงตากว้างใหญ่ราวฟ้าดารา มีปรากฏการณ์ประหลาดอย่างจักรวาลเปลี่ยนผันปรากฏอยู่ภายใน
สายตาของเขาอยู่ที่ท่านเซิ่น น้ำเสียงดุจสัทครรลองมหามรรคดังขึ้น “การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนเปิดฉาก ที่สนามรบแนวหน้าจะต้องมีการเข่นฆ่าเต็มรูปแบบแน่ ข้ามาถามเจ้าว่าดินแดนรกร้างโบราณเตรียมการสำหรับศึกชี้เป็นชี้ตายหรือยัง”
ถ้าหลินสวินอยู่ที่นี่ต้องจำได้แน่ คนผู้นี้คือกึ่งจักรพรรดิไป๋อวี้จิง ผู้เก่งกาจที่ประจำการอยู่ที่สนามรบแนวหน้าของดินแดนรกร้างโบราณมานานปีผู้หนึ่ง!
“แน่นอน!”
ท่านเซิ่นเสียงราบเรียบ แต่กลับเผยความแน่วแน่
“เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร”
ไป๋อวี้จิงเอ่ยถามอีกครั้ง
“ตามเจ้าไปที่สนามรบแนวหน้าเป็นอย่างไร”
ท่านเซิ่นเอ่ยเรื่อยเฉื่อย
“ในที่สุดเจ้าก็คิดจะลงมือแล้ว…”
หว่างคิ้วของไป๋อวี้จิงปรากฏแววตื่นเต้นอย่างพบเห็นได้ยากนัก เขารู้ว่าขอเพียงท่านเซิ่นไปยังสนามรบแนวหน้า ก็มีประโยชน์ราวเสาเทพสยบทะเล!
ขอเพียงเป็นผู้แข็งแกร่งที่เหยียบย่างระดับกึ่งจักรพรรดิ ไม่มีใครไม่รู้ว่าท่านเซิ่นแห่งหอฤทธิ์เทพเป็นคนน่ากลัวปานไหน
เขาไม่ได้ลงมือมานานมากแล้ว
แต่เมื่อเขาตัดสินใจลงมือ ในดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้ ไม่มีกึ่งจักรพรรดิคนใดกังขาความสามารถของเขา!
“ไปเถอะ”
ท่านเซิ่นเหยียบย่างไปในอากาศแล้วโผทะยานขึ้นไป
ชั่วพริบตานั้นเขาเหมือนกับถอดชุดคลุมสง่างามดุจหยกที่อยู่บนตัวออกไป เผยให้เห็นประกายคมไร้เทียมทานที่ซ่อนอยู่ภายในมานานปี อานุภาพก็แตกต่างออกไปแล้ว
ทำให้ฟ้าดินส่งเสียงโครมคราม สรรพชีวิตล้วนศิโรราบ!
ในหอฤทธิ์เทพ แววเหม่อลอยปรากฏขึ้นบนใบหน้าท่านเมี่ยวเสวียน ผ่านกาลเวลาไร้สิ้นสุดอันยาวนาน ในที่สุดศิษย์พี่เขา… จะลงมือแล้วสินะ!
ฉับพลันไป๋อวี้จิงที่กำลังจะจากไปก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เอ่ยถามว่า “เจ้าหนูที่ชื่อหลินสวินคนนั้นได้ตัดสินใจว่าจะไปสมรภูมิเก้าดินแดนไหม”