ผ่านไปสองสามชั่วยาม
หลินสวินฟื้นคืนสภาพดังเก่า กระปี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา
‘หืม? คิดไม่ถึงว่าผ่านการเคี่ยวกรำครั้งนี้ จะทำให้ขณะที่พลังสภาวะจิตของข้าแปรสภาพอีกครั้ง พลังต่อสู้ของข้าก็เฉียบคมขึ้นเล็กน้อยด้วย!’
หลินสวินสัมผัสความเปลี่ยนแปลงของพลังขับเคลื่อนทั้งกายโดยละเอียด หน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่ได้
การบำเพ็ญในมรรคาอมตะ เขาบรรลุขั้นสมบูรณ์ในมรรคาทั้งสามสายอย่างหลอมปราณ หลอมจิตและหลอมกายนานแล้ว
เดิมนึกว่าเพียงรอจุดเปลี่ยนครั้งเดียวก็จะทะลวงระดับขึ้นไปได้
แต่ตอนนี้ดูท่าเขาจะละเลยไปเรื่องหนึ่ง
สภาวะจิต!
สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว การเคี่ยวกรำสภาวะจิตเป็นเรื่องลึกลับชวนพิศวงที่สุดเรื่องหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้มีจิตดั่งศิลาใหญ่ แม้โง่เขลาโดยกำเนิด แต่ขอเพียงพากเพียรไม่ลดละ ภายหน้าก็ประสบความสำเร็จบนวิถีมหามรรคได้เช่นกัน
ผู้มีจิตยุ่งเหยิง แม้พรสวรรค์สูงเพียงใด ก็ย่อมพบกับธรณีประตูที่ข้ามไปไม่ได้
สภาวะจิต เป็นที่ที่มารในใจ ความชั่วร้ายในใจถือกำเนิด
ในมรรคาการฝึกปราณ ผู้ที่ธาตุไฟเข้าแทรกมักเป็นเพราะสภาวะจิตไม่มั่นคง
ในสมัยโบราณมีเมธีเคยเอ่ยถามว่าจะแจ้งมรรคได้อย่างไร
คำตอบง่ายดายนัก กำราบใจตน!
จิตใจยุ่งเหยิงวอกแวกดังกล่าว ก็คือเค้าลางที่แสดงให้เห็นว่าสภาวะจิตไม่มั่นคง จิตใจไม่แน่วแน่
ในอดีตหลินสวินผ่านประสบการณ์หฤโหด สภาวะจิตแน่วแน่หาใดเทียบมานานแล้ว แต่การยกระดับสภาวะจิตไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อจำกัดของระดับพลัง แต่เป็นทุกลมหายใจเข้าออกของมรรคาตนเอง
ยามไปถึงแต่ละระดับ จะต้องเผชิญหน้ากับการเคี่ยวกรำของระดับดังกล่าว พอฝ่าฟันการเคี่ยวกรำไปได้แล้ว สิ่งที่เพิ่มพูนขึ้นไม่ได้มีเพียงพลังปราณ ยังมีการแปรสภาพของสภาวะจิตอีกด้วย!
ขณะนี้หลินสวินผ่านการเคี่ยวกรำของ ‘หอสังหารจิต’ ทำลายความชั่วร้ายในจิตใจ ส่งผลให้สภาวะจิตแปรสภาพ และทำให้พลังปราณของตนเฉียบคมไปด้วย
ประหนึ่งยอดเสาร้อยฉื่อขุดลึกลงไปอีกก้าว!
นี่ทำให้หลินสวินรับรู้ได้ว่า มรรคาสูงสุดสมบูรณ์ที่ตนคิดไว้ถึงกับยังมีช่องโหว่
คิดถึงตรงนี้หลินสวินก็ตะลึงจนเหงื่อกาฬไหลไปทั้งกายอย่างห้ามไม่อยู่
นี่ก็คือการฝึกปราณ การหยั่งรู้อย่างไม่ใส่ใจอาจจะซ่อนข้อบกพร่องไว้ และในข้อบกพร่องก็จะมีเคราะห์นับหมื่นพันซุกซ่อนอยู่!
มหามรรคไร้บกพร่อง เพียงไม่กี่คำเท่านั้น แต่ทอดสายตามองไปในโลกหล้า จะมีสักกี่คนที่ทำได้
‘ใจข้าดุจกระบี่ บั่นสุริยันจันทราภูผาธาราได้ แต่ไม่อาจตัดข้อบกพร่องในมรรควิถีของตัวเองได้ หากไม่ได้การเคี่ยวกรำในวันนี้ ต่อให้บรรลุมกุฎอริยะก็ยังมีความเสียดายอยู่เสี้ยวหนึ่ง…’
หลินสวินทอดถอนใจเบาๆ
ยิ่งระดับสูงขึ้นก็ยิ่งต้องระมัดระวังรอบคอบ เหมือนเดินบนชั้นน้ำแข็งบาง!
หลินสวินลุกขึ้นสองมือไพล่หลัง เดินไปทั่วทิศ ระหว่างทางไม่ได้พบการเคี่ยวกรำอะไรอีก
แต่เขารู้ดีว่าการเคี่ยวกรำและบททดสอบก็ปกคลุมอยู่ในโลกลี้ลับแห่งนี้ ไม่จำเป็นต้องออกตัวเสาะหาเองสักนิด ที่ควรมาก็จะมาเอง
ไม่นานนักหลินสวินก็มาถึงส่วนที่ลึกที่สุด มองเห็นสระน้ำที่มีไอขุ่นมัวตลบอบอวลแห่งนั้น และได้เห็นซากศพมหึมาที่อยู่ในสระน้ำนั้นด้วย
ผีเสื้อมารแยกฟ้าหย่อนตัวลงบนซากศพ ร่างเรียวเล็กส่องแสงเปล่งปลั่ง กำลังซึมซับพลังที่มีอยู่ในซากศพ
หลินสวินรู้สึกได้อย่างแจ่มชัด ว่ากลิ่นอายของผีเสื้อมารแยกฟ้ากำลังแปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเนื้อ!
‘นี่มันซากศพอสูรอริยะอากาศ!’
จู่ๆ เสี่ยวอิ๋นก็เอ่ยขึ้น ‘นอกจากนี้ตอนอสูรตัวนี้มีชีวิตอยู่ อย่างน้อยก็ต้องมีพลังระดับกึ่งจักรพรรดิ!’
หลินสวินดวงตาหดเกร็ง ในใจสั่นสะท้าน
ซากศพอสูรอริยะอากาศ!
ร่างวิญญาณอัศจรรย์ที่ถือกำเนิดขึ้นในกาลเวลาอันไร้สิ้นสุดแห่งวัฏจักรว่างเปล่า ทันทีที่ถือกำเนิดก็ครอบครองพลังน่ากลัวเทียบได้กับระดับอริยะ
อสูรอริยะเช่นนี้สามารถท่องไปในห้วงอากาศว่างเปล่าได้อย่างอิสระ ดำรงชีพด้วยพลังกัดกินห้วงอากาศ น่าครั่นคร้ามถึงที่สุด
ต่อให้เป็นระดับจักรพรรดิ คิดจะฆ่าอสูรอริยะอากาศให้ตายสักตัวยังยาก เพราะพวกมันสามารถท่องไปในห้วงอากาศว่างเปล่าได้ตามใจชอบ ไม่ได้มองห้วงอากาศเป็นข้อจำกัด!
หลินสวินคิดไม่ถึงว่าในโลกลี้ลับแห่งนี้จะมีซากศพอสูรอริยะอากาศร่างหนึ่งหลงเหลืออยู่ มิหนำซ้ำตอนมันมีชีวิตอยู่ยังมีศักยภาพไม่ด้อยไปกว่าระดับกึ่งจักรพรรดิ
นี่น่าตกตะลึงเกินไปแล้ว
ตอนนั้นเป็นใครกันที่ฆ่ามันแล้วทิ้งไว้ที่นี่
‘ข้าสงสัยว่าเจ้าของโลกลี้ลับแห่งนี้จะต้องเป็นผู้มากสามารถที่แจ้งมรรคด้วยพลังห้วงอากาศแน่ หนำซ้ำยังเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง’
เสี่ยวอิ๋นตั้งใจวิเคราะห์ ‘หาไม่แล้วคิดจะฆ่าอสูรอริยะอากาศเช่นนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น’
‘นายท่านดูสิ ผีเสื้อมาแยกฟ้าก็เป็นสายพันธุ์ประหลาดบรรพกาลที่มีพรสวรรค์ห้วงอากาศเช่นกัน สาเหตุที่คราวนี้มันตื่นขึ้นมา จะต้องเกี่ยวข้องกับพลังของซากศพนี้แน่’
หลินสวินพยักหน้า เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ตอนนี้สิ่งที่เขาคิดก็คือ เจ้าของโลกลี้ลับแห่งนี้เป็นระดับจักรพรรดิจริงๆ ใช่หรือไม่
หากเป็นเช่นนี้ เหตุใดถึงปรากฏตัวในสมรภูมิเก้าดินแดน
ควรรู้ว่ากฎเกณฑ์ฟ้าดินของสมรภูมิเก้าดินแดน ไม่อนุญาตให้ผู้แข็งแกร่งที่ระดับสูงกว่าอริยะแท้ปรากฏตัว!
‘ดูท่าสมรภูมิเก้าดินแดนจะลึกลับกว่าที่ข้าคาดไว้อยู่บ้าง…’
หลินสวินครุ่นคิด
‘นายท่าน ท่านกำลังกังวลว่าหลังจากผีเสื้อมารแยกฟ้าตัวนั้นพลังแกร่งกล้าขึ้นจะควบคุมไม่ได้หรือ’
จู่ๆ เสี่ยวอิ๋นพูดขึ้น ‘นายท่านวางใจ ก่อนมันฟักตัว ข้าประทับตราเข้าไปในร่างมันแล้ว หากมันกล้าไม่เชื่อฟัง ข้าจะเป็นคนแรกที่กัดกินจิตวิญญาณของมันเอง!’
หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่าเสี่ยวอิ๋นจะเตรียมตัวไว้พร้อมสรรพเช่นนี้ ให้รู้สึกชื่นชมเสี่ยวอิ๋นโดยพลัน
“เสี่ยวอิ๋น ข้าคิดว่าในช่วงที่เตร็ดเตร่ที่นี่ เจ้าอยู่ที่นี่เฝ้าผีเสื้อมารแยกฟ้าไว้ให้ดี อย่าให้มันก่อเรื่องไม่คาดฝันอะไรได้”
หลินสวินเอ่ยกำชับ
เสี่ยวอิ๋นเคลื่อนออกมาจากห้วงนิมิตของหลินสวิน พยักหน้ารับคำสั่ง
ด้านหลินสวินก็หันตัวเดินไปทางอื่น
โลกลี้ลับแห่งนี้ไม่ได้กว้างใหญ่ ไม่นานนักหลินสวินก็กลับมาถึงบริเวณประตูทางเข้าอีกครั้ง ที่นี่มีต้นไม้โบราณเขียวเปล่งปลั่งอยู่ต้นหนึ่ง
ต้นไม้นี้ลำต้นเก่าแก่แข็งแรง กิ่งก้านหนาแน่น กิ่งใบที่ห้อยตัวลงมาเหมือนน้ำตกเขียวชอุ่มไหลลู่ เปี่ยมด้วยพลังชีวิต
พอพินิจโดยละเอียด หลินสวินจึงสังเกตเห็นว่านี่เป็นต้นบรรพชนหลอมจิตต้นหนึ่ง!
ต้นบรรพชนหลอมจิตที่พบเห็นในป่าหลอมจิตก่อนหน้านี้ล้วนโล้นเตียน กิ่งก้านเหมือนหล่อขึ้นจากสำริดเหลว แต่ไม่มีใบไม้ทั้งนั้น
แต่ต้นบรรพชนหลอมจิตตรงหน้านี้ต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด
หลินสวินนั่งยองลงสังเกตรากต้นไม้นี้ และพบจุดแตกต่างอีกขุด รากแต่ละเส้นเหมือนกับเจียวหลงเล็กๆ ตัวแล้วตัวเล่าขดตัว มีลายมหามรรคประหนึ่งเกล็ดมังกรเป็นชิ้นๆ แอบแฝง น่าตกตะลึงจริงๆ
ชิ้ง!
ไม่นานนักหลินสวินก็เอาดาบกระดูกขาวออกมา เลือกรากท่อนหนึ่งในนั้น เขาอยากเห็นยิ่งนักว่าแหล่งสมบัติหลอมจิตที่ซ่อนอยู่ในต้นบรรพชนหลอมจิตที่ผิดธรรมดาต้นนี้ จะมีอะไรแตกต่างอีกหรือไม่
ฉึบ!
พอตัดรากท่อนหนึ่งอย่างระมัดระวัง ฉับพลันในรอยตัดของรากนั้นก็มีของเหลวสีทองเปล่งประกายเหมือนดวงอาทิตย์หยดแล้วหยดเล่าไหลออกมา แวววาวหาใดเทียบ ส่องแสงโชติช่วง
ในห้วงอากาศใกล้เคียงกันต่างถูกย้อมเป็นสีทองเจิดจ้า แสบตาถึงที่สุด
หลินสวินยกขวดหยกมันแพะที่เตรียมไว้ก่อนแล้วขึ้นมาเก็บแหล่งสมบัติหลอมจิตอันอัศจรรย์ชวนตะลึงเหล่านี้ทีละหยด
ซ่า!
ขณะเดียวกันหลินสวินก็สังเกตเห็นว่าต้นบรรพชนหลอมจิตต้นนี้เหมือนกับเจ็บปวด ลำต้นพลันสั่นไหวครู่หนึ่ง ใบไม้ส่งเสียงซู่ซ่า
หืม?
หลินสวินสงสัย หรือต้นไม้ต้นนี้ยังมีชีวิตด้วย
แต่เมื่อเขาสัมผัสโดยละเอียดกลับไม่พบอะไรสักนิด
หลินสวินส่ายหน้าแล้วไม่คิดอะไรอีก มายังหน้าเรือนสังหารจิตที่อยู่ไม่ไกล เอาดาบหักกับขวดหยกมันแพะออกมาด้วยกัน
จากนั้นจึงเริ่มหลอมดาบหัก!
ทันทีที่แหล่งสมบัติหลอมจิตหยดแล้วหยดเล่าซึ่งเปล่งประกายดั่งดวงอาทิตย์ดวงน้อยหยดลงบนดาบหัก แรงสั่นระริกฉับพลันระลอกหนึ่งก็ผุดขึ้นมาจากดาบหัก ประหนึ่งเสียงโห่ร้องตื่นเต้นยินดี
แต่ในสายตาหลินสวิน ลายมรรคที่สามซึ่งรวมตัวกันครึ่งหนึ่งบนพื้นผิวดาบหักนั้น กำลังแปรสภาพอย่างรวดเร็วจนน่าตกตะลึง
“สังหาร!”
ในที่สุดหลินสวินก็มองอักษรตัวที่สามที่ลายมรรคร่างเป็นโครงออกได้ในที่สุด แต่พอใช้แหล่งสมบัติหลอมจิตหมด ตัวอักษร ‘สังหาร’ นี้ก็ยังคงขาดไปส่วนหนึ่งดังเดิม
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาต้นบรรพชนหลอมจิตที่อยู่ไกลออกไป
เมื่อกี้เขาสังเกตเห็นแล้วว่ารากของต้นบรรพชนหลอมจิตที่อยู่ตรงหน้านี้ต่างจากต้นอื่นๆ รากที่รูปร่างคล้ายเจียวหลงแต่ละเส้นล้วนเก็บได้ทั้งนั้น!
พอยกมือขึ้นฟันดาบลงไป แหล่งสมบัติหลอมจิตสีทองเจิดจ้าหยดแล้วหยดเล่าไหลออกมา และถูกหลินสวินเก็บเข้าไปในขวดหยกมันแพะทีละหยด
ขณะเดียวกันต้นบรรพชนหลอมจิตนี้ก็พลันสั่นไหวขึ้นอีก
หลินสวินชะงักไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความขอโทษเล็กน้อยว่า “ถ้าเจ้ามีวิญญาณ ก็ถือเสียว่าสงเคราะห์ข้าหลินสวินสักครั้ง ภายหน้าหากมีวาสนาจะต้องมาแทนคุณแน่นอน”
เขาพูดพลางหันตัวจากไป หลอมดาบหักต่อ
หลินสวินไม่ได้สังเกตว่าพริบตาที่เขาหันตัวไป บนลำต้นของต้นบรรพชนหลอมจิตนั้นมีดวงตาที่ควบรวมจากลายไม้คู่หนึ่งปรากฏ ในดวงตาเต็มไปด้วยแววขุ่นเคืองและโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ไม่นานนักก็หายไป
วิ้ง!
ในที่สุดดาบหักก็แปรสภาพภายใต้เสียงร้องกังวานเหิมฮึก บนพื้นผิวขาวกระจ่างดั่งหิมะประหนึ่งโปร่งใสมีตัวอักษร ‘สังหาร’ สมบูรณ์ปรากฏขึ้น
เพียงตัวเดียวกลับรวมตัวขึ้นจากลายมรรคเรียวเล็กดุจเส้นผมนับไม่ถ้วน บิดเบี้ยวราวไส้เดือน แผ่ไอสังหารกลบหน้าออกมา
ชั่วพริบตานั้นหลินสวินหนาวเหน็บไปทั้งตัวครู่หนึ่ง ดวงตาเจ็บแปลบ เหมือนเห็นประกายคมไร้เทียมทานปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง
สังหารฟ้าผลาญดิน กวาดล้างปวงสวรรค์!
ตูม!
ขณะเดียวกันพลังมรดกที่โหมซัดสาดสายหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจหลินสวินไปด้วย กลิ่นอายลึกลับนับไม่ถ้วนไหลไม่ขาดสายเหมือนกระแสน้ำ
ชั่วพริบตาเท่านั้น หลินสวินจมอยู่ในการหยั่งรู้อันแปลกประหลาด
เขานั่งลงบนขั้นบันไดลวกๆ เบื้องหน้ามีดาบหักลอยอยู่ บนพื้นผิวของมันสะท้อนอักษรโบราณสามตัวที่ควบรวมจากลวดลายมรรค ‘ปฐม’ ‘ยอด’ และ ‘สังหาร’
แต่ละอักษรต่างเพิ่มอานุภาพดุร้ายให้กับดาบหัก!
…
กาลเวลาเคลื่อนคล้อย เวลาเจ็ดวันผ่านไปแล้วอย่างรวดเร็ว
เบื้องหน้าหุบเขาโกรกธาร เล่อมู่จิ้นหลับตา นั่งขัดสมาธิ ผมยาวสีเขียวอ่อนทั้งศีรษะปลิวไปตามลม
ข้างกายเขา เหล่าอริยะอย่างพวกหญิงสาวชุดแดง ติงซานเหอต่างทำกิจของตน
เพียงแต่บนหว่างคิ้วของพวกติงซานเหอเหมือนจะปรากฏแววทนไม่ไหวอยู่รางๆ
“คุณชายเล่อ เจ็ดวันแล้วนะ เกรงว่าไอ้สวะตัวจ้อยจากดินแดนรกร้างโบราณนั่นจะสิ้นชีพไปนานแล้ว พวกเรายังต้องรอที่นี่ไปถึงเมื่อไร
ติงซานเหอเอ่ยปากอย่างอดไม่ได้
ขวับ!
เล่อมู่จิ้นลืมตาขึ้น แววเย็นเยียบไหวเคลื่อนในดวงตา เอ่ยว่า “ถ้าเป็นต้องเห็นตัว ถ้าตายต้องเห็นศพ ทำไม เจ้าเป็นถึงอริยะ ขนาดเจ็ดวันยังรอไม่ได้หรือ”
ติงซานเหอนิ่วหน้า “แต่ก็ไม่อาจเสียเวลาอยู่ที่นี่ไปตลอด”
“คุณชาย หาใครบางคนเข้าไปเสาะหาในหุบเหวนี้สักรอบดีกว่าไหม”
หญิงสาวชุดแดงเอ่ยแนะนำ
เล่อมู่จิ้นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ขนาดอริยะยังไม่กล้าเข้าไป ใครจะกล้าทิ้งชีวิตไปหยั่งดู”
หญิงสาวชุดแดงยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มนั้นเจือความประหลาดใจบางๆ “เรื่องนี้ง่ายมาก ไปจับแพะสองขาดินแดนรกร้างโบราณบางคนมา แล้วโยนเข้าไปในหุบเหวนี้ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ”
“ความคิดดีนี่!”
พวกติงซานเหอต่างตาเป็นประกาย
ในสมรภูมิเก้าดินแดนแห่งนี้ คิดจะจับแพะสองขาไม่กี่ตัวยังจะไม่ง่ายดายอีกหรือ
——