ในสระน้ำ ไอขุ่นมัวตลบอบอวล ผีเสื้อมารแยกฟ้าเคลื่อนตัวลงบนซากศพอสูรอริยะอากาศ กำลังดูดซับพลังที่สามารถทำให้ตนแปรสภาพได้
เสี่ยวอิ๋นยืนอยู่ไกลออกไป บนใบหน้าเล็กหล่อเหลาปรากฏแววทุกข์ใจที่พบเห็นได้ยาก
“เสี่ยวเทียน ในช่วงสิบกว่าวันที่นายท่านเข้ามาในสมรภูมิเก้าดินแดนแห่งนี้ ถูกไอ้แก่พวกนั้นหมายหัวตามฆ่ามาโดยตลอด ทำให้ข้ารู้สึกคับข้องใจนัก”
“เจ้าตื่นช้าไป ไม่รู้สักนิดว่าสมัยอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณนายท่านมีฤทธิ์เดชมากมายเพียงไหน แต่ตอนนี้… เฮ้อ ไม่พูดดีกว่า”
“ข้าดูออกว่าในใจเจ้านายมีไอสังหารยิ่งใหญ่ รอเจ้าแปรสภาพสำเร็จ ก็ช่วยนายท่านเข่นฆ่าให้สาแกใจร่วมกับข้าดีไหม”
เสี่ยวอิ๋นพร่ำบ่น
ตัวเขาก่อนหน้านี้เลือดเย็นพูดน้อย แต่พอเผชิญหน้ากับผีเสื้อมารแยกฟ้าก็แตกต่างไปอย่างเห็นได้ชัด
“เสี่ยวเทียนพยายามเข้านะ นานมาแล้วบรรพชนของเจ้ากระพือปีกครั้งเดียวฉีกสวรรค์แยกนภาครามได้ นั่นแข็งแกร่งขนาดไหน ข้าหวังว่าสักวันหนึ่งเจ้าก็จะทำเช่นนั้นได้เหมือนกัน!”
เสี่ยวอิ๋นให้กำลังใจผีเสื้อมารแยกฟ้านามว่าเสี่ยวเทียน
‘ในเมื่อรู้ว่าข้ามีพลังพรสวรรค์ ‘แยกฟ้า’ ก็ไม่ควรเรียกข้าว่าเสี่ยวเทียน’
ทันใดนั้นคลื่นเสียงแปลกประหลาดเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้นในใจเสี่ยวอิ๋น มีความเย็นเยียบเป็นเอกลักษณ์เหมือนน้ำพุใสกระจ่างเย็นยะเยือก
“เอ่อ แค่ชื่อเท่านั้น อย่าคิดเล็กคิดน้อยสิ”
เสี่ยวอิ๋นยิ้มเขิน
‘เจ้าเป็นถึงหนอนราชันแห่งเผ่าหนอนกินเทพ ทั้งยังเหยียบย่างวิถีมกุฎอมตะเคราะห์ ทรงอิทธิฤทธิ์เพียงไหน แต่เจ้ากลับชื่อเสี่ยวอิ๋น ไม่รู้สึกขัดหูหรือ’
ผีเสื้อมารแยกฟ้าเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
ประโยดเดียวทำเอาเสี่ยวอิ๋นสีหน้าอึมครึมลง ชื่อที่หลินสวินตั้งให้เขาเป็นความเจ็บปวดในใจของเขามาโดยตลอด!
แต่ประโยคต่อมาของผีเสื้อมารแยกฟ้ากลับทำให้เสี่ยวอิ๋นยิ้มขึ้นมา
‘พอข้าซึมซับหล่อหลอมพลังกฎเกณฑ์ห้วงอากาศที่มีอยู่ในอสูรอริยะอากาศตัวนี้โดยสมบูรณ์แล้ว ก็จะครอบครองอภินิหารพรสวรรค์การเคลื่อนที่ชั่วพริบตาและซ่อนตัวชั่วพริบตาได้ ถึงตอนนั้นเจ้ากับข้ามาร่วมกันระบายความขุ่นเคืองให้นายท่าน’
“ดี!” เสี่ยวอิ๋นฮึกเหิม ไอสังหารพลุ่งพล่าน
……
เจ็บ!
ความเจ็บปวดราวกับร่างกายและจิตใจถูกฉีกทึ้งผุดขึ้นทั่วร่างหลินสวินเหมือนกระแสน้ำ
เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนกระบี่เล่มหนึ่งที่กำลังถูกหลอมตีนับพันนับร้อยครั้งในเตาหลอม การทุบตีแต่ละครั้งทำให้หลงคิดไปว่าจะพังทลาย
มีเพียงโคจรพลังมหามรรคที่ตนครอบครองเท่านั้น ถึงทำให้ฝืนรักษาความผุดผ่องในใจเล็กน้อยเอาไว้ได้
และในกระบวนการนี้ มรรคดับดารากลืนกิน มรรคหยินหยางยอดเอกอุ มรรคธาตุน้ำและไฟ เจินหลง ไร้มรณะที่หลินสวินครอบครอง…
บรรดานัยเร้นลับแห่งกฎเกณฑ์มหามรรคสะท้อนและสำแดงออกมาทั้งหมด จากนั้นก็ถูกหลอมและทุบตีอย่างรุนแรงไม่หยุดหย่อน
กระบวนการนี้ดำเนินไปเจ็ดวันเต็มๆ
วันนี้ หลินสวินเพียงรู้สึกว่าทั้งร่างถูกความเจ็บปวดรุนแรงทรมานจนเหน็บชา ไม่มีความรู้สึกแม้แต่นิดเดียว
ขนาดจิตวิญญาณยังอยู่ในสภาวะว่างเปล่าไร้ความคิด
มีเพียงนัยเร้นลับมหามรรคโคจรท่องไปทั้งกายเขาดั่งมัจฉาแหวกว่ายตัวแล้วตัวเล่า สำแดงเป็นห้วงเหวแปลกประหลาดแห่งหนึ่ง
และเมื่อหุบเหวนี้ปรากฏขึ้น ทั้งเตาหลอมพลันตกอยู่ในความเงียบงันอันแปลกประหลาด
ฟู่!
ครู่ต่อมา หุบเหวคล้ายกับมีชีวิต ก่อคลื่นอัศจรรย์ออกมาคล้ายหายใจเข้าออก
จากนั้นทั้งเตาหลอมพลันระเบิดโครมคราม!
แทบในขณะเดียวกัน ใน ‘หอยอดมรรค’ ที่อยู่ไม่ไกล เตาไฟที่รวมตัวจากลายมรรคคลุมเครือเตานั้นก็แตกกระเจิง กลายเป็นละอองแสงปลิวว่อนนับไม่ถ้วนไปด้วย
‘ยอดมรรคเคี่ยวกรำ รากฐานแห่งการสร้างกายมรรค!’
ความรู้แจ้งปรากฏขึ้นในใจหลินสวิน ค่อยๆ ได้สติขึ้นจากสภาวะมึนชาว่างเปล่าที่เกิดขึ้นเพราะความเจ็บปวดนั้น
การเคี่ยวกรำครั้งนี้ แม้พลังกฎเกณฑ์มหามรรคไม่ได้แปรสภาพ แต่กลับขัดเกลาและยกระดับใหม่ทั้งหมดครั้งหนึ่ง
ก่อนหน้านี้แม้พลังมหามรรคทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของมรรคดับดารากลืนกิน แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นพลังมหามรรคที่เป็นเอกเทศ
แต่ตอนนี้หลังจากผ่านการเคี่ยวกรำครั้งนี้ไป ทำให้เกิดการตอบสนองและเชื่อมประสานอันเป็นเอกลักษณ์บางอย่างขึ้นระหว่างพลังมหามรรคที่หลินสวินครอบครองทั้งหมด
เปรียบดั่งมือเท้าของมนุษย์ แม้อยู่ต่างตำแหน่งแต่ก็ถือเป็นร่างกาย!
‘มหามรรคเชื่อมประสาน วาดหวังกายมรรค!’
หลินสวินลืมตาขึ้น ในใจเต็มไปด้วยความแน่วแน่
กายมรรค แท้จริงเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการหลอมรวมกันระหว่างมรรคกับร่างกาย
โดยทั่วไปมีเพียงบุคคลระดับอริยะ ถึงจะสามารถหลอมรวมพลังมหามรรคที่ครอบครองไว้เข้าสู่เลือดเนื้อและจิตวิญญาณด้วยวิชาลับอันมีเอกลักษณ์ได้
เช่นนี้ถึงสามารถสร้างกายมรรคที่แท้จริงได้!
และด้วยการขัดเกลาครั้งนี้ หลินสวินก็ได้สร้างรากฐานกายมรรคแล้ว ยามบรรลุอริยะ จะสามารถหลอมร่างกายของตนนี้ให้เป็นกายมรรคเมื่อไรก็ได้!
ครากายมรรคสร้างเสร็จ มหามรรคจะตามติดยามยกมือวาดเท้า ทุกการเคลื่อนไหวต่างมีท่วงทำนองมรรคลึกลับบางอย่าง
วาจาแปรเป็นกฎ!
อภินิหารน่ากลัวเช่นนี้ ก็คือวลีที่สะท้อนความสำเร็จยิ่งใหญ่ของกายมรรค ล้วนประทับกลิ่นอายและพลานุภาพของมหามรรค!
ฟู่!
หลินสวินพ่นลมหายใจขุ่นเฮือกหนึ่ง ลุกขึ้นยืนจากพื้น
สายตาเขามองไปยังต้นบรรพชนหลอมจิตเขียวขจีที่อยู่ไกลออกไปต้นนั้น ในใจครุ่นคิดว่าจะเก็บแหล่งสมบัติหลอมจิตต่ออีกหน่อยดีหรือไม่
และในตอนนี้เอง เสียงร้องน่าอนาถระลอกหนึ่งดังขึ้นจากนอกโลกลี้ลับวังใต้ดิน ปนเปไปกับเสียงแช่งด่าโกรธเคืองและเสียงโหยหวนสิ้นหวัง
มาอีกแล้ว!
พอหลินสวินเดินออกจากวังใต้ดินก็ได้เห็นภาพคุ้นตา ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณคนแล้วคนเล่าตกลงบนรอยแยกห้วงอากาศแน่นขนัดนั้น เหมือนดาวหางร่วงหล่นดวงแล้วดวงเล่า
จากนั้นก็ถูกบดขยี้ ฝนเลือดสาดกระเซ็นทีละคน
แววเย็นเยียบน่าหวาดหวั่นผุดขึ้นในดวงตาดำของหลินสวิน นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเจ็ดวันก่อน ความชิงชังและไอสังหารที่เดิมสะสมไว้ในส่วนลึกของจิตใจปะทุออกมาราวกับหินหนืด
……
นอกหุบเหว
“จำไว้ คนที่ทำให้พวกเจ้าตายเป็นเจ้าคนที่ชื่อหลินสวิน พวกเจ้าคงรู้จัก ได้ยินว่าเขาเป็นระดับผู้นำบุคคลขอบเขตมกุฎดินแดนรกร้างโบราณของพวกเจ้า”
ติงซานเหอแววตาเย็นเยียบและน่าสะพรึงกลัว มองดูผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณที่ถูกจับเป็นแต่ละคน เสียงเจือไปด้วยความชิงชังที่ไม่ปิดบังเลยสักนิด
“ตอนนี้หลินสวินนั่นก็อยู่ในหุบเหวแห่งนี้ พวกเจ้า… ไปเป็นของร่วมฝังพร้อมกับมันเถอะ!”
ยามเอ่ยวาจา ติงซานเหอสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณหลายสิบคนถูกม้วนตลบ โยนเข้าไปในหุบเหวนั้น
อีกด้านหนึ่งอริยะอีกสามคนอย่างพวกจี้ชิ่งก็กำลังเฝ้าระวัง
หลังจากเสียเปรียบไปสองครั้ง พวกเขาก็ไม่กล้าดูเบาหลินสวิน ระแวดระวังตลอดเวลาเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกลอบจู่โจม
ไกลออกไปเงาร่างของเฟิงผิงจื่อปรากฏขึ้นอีกครั้ง แล้วพูดว่า “แพะสองขาที่อยู่ในขอบเขตหมื่นลี้จากป่าหลอมจิตแทบจะถูกล่าไปหมด จับมาอีกได้ยากแล้ว”
ติงซานเหอนิ่วหน้า “เช่นนั้นก็ไปจับในที่ที่ไกลขึ้นไปอีกสิ!”
เฟิงผิงจื่อเอ่ย “ก่อนหน้านี้ไม่นาน เซวี่ยชิงอีแห่งสำนักมารฟ้าประทานออกคำสั่งลงมาว่าต้องสังหารศัตรูที่อยูในโลกมารโลหิตทั้งหมดให้ได้ภายในสามเดือน ตอนนี้ทั้งโลกมารโลหิตมีแต่เงาร่างที่ไล่ล่าสังหารแพะสองขาทั้งนั้น คิดจะจับเป็นคงไม่ใช่เรื่องง่าย”
ติงซานเหอมุ่นคิ้วแน่นยิ่งขึ้น
เฟิงผิงจื่อเอ่ย “อีกอย่าง อีกไม่นานผู้แข็งแกร่งเผ่าเหยี่ยวมารเหินก็จะมาแล้ว พวกเขาต่างสงสัยว่าเหตุใดจนป่านนี้เล่อมู่จิ้นยังไม่กลับไป”
“อะไรนะ”
พวกติงซานเหอ จี้ชิ่งหน้าเปลี่ยนสี
“เจ้ารู้ไหมว่าผู้แข็งแกร่งเผ่าเหยี่ยวมารเหินคนไหนจะมา”
ติงซานเหอถาม
“เล่อเซวี่ยซิว!”
เฟิงผิงจื่อพ่นชื่อออกมาเบาๆ
ทันใดนั้นพวกติงซานเหอก็ตัวแข็งทื่อ สีหน้าเดี๋ยวคล้ำเขียวเดี๋ยวซีดขาว
เล่อเซวี่ยซิว!
คนผู้นี้เป็นถึงมกุฎอริยะแท้เผ่าเหยี่ยวมารเหินคนหนึ่ง มีชื่อเสียงมานานแล้ว ความแข็งแกร่งในพลังต่อสู้ของเขา เพียงมือเดียวก็สามารถปลิดชีพอริยะแท้อย่างพวกเขาได้ง่ายดาย!
มกุฎอริยะแท้!
ต่อให้อยู่ในดินแดนโบราณมารโลหิต ผู้ที่สามารถเหยียบย่างเข้าไปในระดับนี้ได้ก็น้อยยิ่งกว่าหนึ่งในหมื่น ทั้งยังจำเป็นต้องมีวาสนาและศุภโชคใหญ่ยิ่งถึงสามารถบรรลุมกุฎอริยะได้
และเล่อเซวี่ยซิวผู้นี้ก็คือผู้โชคดีที่ในหมื่นคนยังไม่พบ ตามศักดิ์แล้ว เขาเป็นอาคนหนึ่งของเล่อมู่จิ้น ความสัมพันธ์ทางสายเลือดใกล้กันถึงที่สุด
ถ้าให้เขารู้ข่าวที่เล่อมู่จิ้นถูกฆ่า…
คิดถึงตรงนี้พวกติงซานเหอต่างสีหน้าอึมครึม
ในสายตาพวกเขา ผู้อยู่ต่ำกว่าอริยะล้วนเป็นดั่งมดปลวก แต่ในสายตาของระดับมกุฎอริยะ อริยะแท้ทั่วไปอย่างพวกเขา แม้ไม่ได้อ่อนแออย่างมดปลวก แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไร!
“นอกจากนี้ยังมีอีกข่าวหนึ่ง ‘แดนลับนรกโลกันตร์’ กำลังจะเปิดในอีกสามเดือน วาสนาบรรลุมกุฎอริยะกลุ่มแรกก็จะถือกำเนิดขึ้นที่นั่น”
เฟิงผิงจื่อเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง “ตามการสันนิษฐานของข้า เล่อเซวี่ยซิวคงมาเพราะเรื่องนี้ ถึงอย่างไรหากเล่อมู่จิ้นยังมีชีวิตอยู่ ก็มีคุณสมบัติคว้าโอกาสครั้งนี้แล้วบรรลุระดับมกุฎอริยะ”
พวกติงซานเหอใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มแล้ว
บรรลุมรรคมกุฎอริยะในสมรภูมิเก้าดินแดนได้สำเร็จ มีข้อได้เปรียบจากสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย ไม่เพียงได้รับพลังมรรคมกุฎอริยะที่สมบูรณ์
ยังทำให้ผู้ฝึกปราณวางรากฐานอริยมรรคอันเหนือจินตนาการยามบรรลุอริยะได้ด้วย!
ตามที่พวกติงซานเหอรู้ ด้วยเหตุนี้เซวี่ยชิงอี เล่อมู่จิ้น รวมถึงบุคคลแห่งยุคคนอื่นๆ ถึงข่มระดับไว้ เลือกเข้ามาบรรลุอริยะในสมรภูมิเก้าดินแดน
หาไม่แล้วด้วยรากฐานพลังและทรัพยากรที่มีของบุคคลแห่งยุคเหล่านี้ ก็มีโอกาสทะลวงระดับมกุฎอริยะตั้งแต่สมัยอยู่ในดินแดนโบราณมารโลหิตแล้ว!
แต่ว่า…
เล่อมู่จิ้นตายไปก่อนแล้ว!
หากเล่อเซวี่ยซิวมาหาแล้วพบความจริงข้อนี้ ต้องบันดาลโทสะฆ่าคนแน่
ทำอย่างไรดี
พวกติงซานเหอจิตใจว้าวุ่น
“ระวัง!”
ทันใดนั้นจี้ชิ่งตะคอกลั่น
พวกติงซานเหอเงยมองไปทางหุบเหวที่อยู่ไม่ไกลตามจิตใต้สำนึก
ฮูม!
คลื่นพลังอัศจรรย์และน่าหวาดหวั่นปกคลุมไปทั้งที่นั้นในชั่วพริบตาจนมืดฟ้ามัวดิน
อภินิหารหยุดเวลา!
พอเงาร่างหลินสวินไหวเคลื่อน ก็มาอยู่หน้าอริยะตัวเตี้ยเกล้ามวยนักพรต แต่งกายด้วยชุดนักพรตวาโยอัคคีคนหนึ่ง
ชิ้ง!
ดาบหักเหมือนโกรธา ปลดปล่อยกระบวนเฉือนที่สั่งสมพลังทั้งหมดของหลินสวินออกมา
มรดกอักษรสังหาร!
ชั่วพริบตานั้น อริยะผู้นี้แทบจะทำตามสัญชาตญาณ ร่างเตี้ยปะทุแสงน่ากลัวออกมาต่อต้าน
แต่ยังช้าไปจังหวะหนึ่ง
โอกาสที่หลินสวินลงมือแม่นยำเกินไป คว้าชั่วขณะที่พวกเขาจิตใจว้าวุ่นเล็กน้อยไว้ได้พอดี จากนั้นก็ออกโจมตีเต็มกำลัง ไม่ลังเลแต่อย่างใด
ดูคล้ายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา แต่หลินสวินใช้พลังอย่างอภินิหารหยุดเวลา ปีกผลาญเทพ และมรดกอักษรสังหารไปแล้ว!
พรวด…!
ศีรษะที่เลือดไหลอาบหัวหนึ่งลอยกระเด็นขึ้นมา
ปัง!
ศพไร้หัวของอริยะผู้นี้ก็ถูกพลังพิฆาตเย้ยฟ้าที่มรดกอักษรสังหารเหนี่ยวนำฟันโดน เลือดเนื้อระเบิดแหลก
ชั่วเวลาที่ดีดนิ้ว ยามไม่ทันตั้งตัว
การโจมตีเดียวสังหารอริยะ!
ตอนนั้นจักรวาลเปลี่ยนสี ทั้งสิบทิศสั่นระรัว เสียงไว้อาลัยร่วงหล่นจากฟ้า
โลหิตอริยะไหลเชี่ยวดั่งน้ำตก ย้อมนภาครามเป็นสีแดง
ดาบหักดั่งลำแสง สำแดงคมประกายไร้เทียมทานที่ไม่เคยมีมาก่อน
การสังหารครั้งนี้ เพียงพอจะเขย่าขวัญเทพผี!
——