แดนลับวังใต้ดิน
“จวนจะสองเดือนแล้ว นายท่านเขาก็แค่ไตร่ตรองปัญหาเกี่ยวกับปณิธานอริยมรรคเท่านั้น เหตุใดจนป่านนี้แล้วยังไม่ตื่นขึ้นมาอีก”
เสี่ยวอิ๋นขมวดคิ้ว ค่อนข้างกังวลใจ
เทพธิดารั่วอู่ก็ประหลาดใจน้อยๆ เช่นกัน นางเงียบไปครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวลหรอก เชื่อว่าจากสติปัญญาของเขาต้องไม่ถูกปัญหาข้อเดียวเหนี่ยวรั้งแน่”
สวบ!
ไกลออกไป ผีเสื้อมารแยกฟ้าโรยตัวลงมา
“เสี่ยวเทียน เจ้าแปรสภาพอีกแล้วหรือ”
นัยน์ตาเสี่ยวอิ๋นวาววับ
ผีเสื้อมารแยกฟ้าในยามนี้ ปีกทั้งคู่เหมือนสร้างขึ้นจากหยกดำบริสุทธิ์ บนปีกมีแสงมรรคเร้นลับไหลเวียน
ร่างกายของมันแบบบาง ยามสยายปีกก็ขนาดแค่ฝ่ามือ แต่พร้อมๆ กับที่มันกระพือปีก ห้วงอากาศใกล้เคียงก็ถูกรบกวนเหมือนระลอกคลื่น
รั่วอู่กล่าวอย่างตกใจ “อมตะเคราะห์ด่านเก้าขั้นสมบูรณ์ ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็สามารถเหยียบย่างระดับมกุฎราชัน ความเร็วในพัฒนาการช่างน่าทึ่งนัก!”
แรกเริ่มเดิมทีตอนที่นางเห็นผีเสื้อมารแยกฟ้าครั้งแรก ฝ่ายหลังเพิ่งจะเหยียบย่างระดับอมตะเคราะห์เท่านั้น
แต่เวลาเพียงสองเดือนสั้นๆ มันก็บรรลุถึงระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้าขั้นสมบูรณ์!
ความเร็วในการเลื่อนระดับเช่นนี้เรียกได้ว่าน่าสะพรึง สะเทือนอดีตสะท้านปัจจุบัน ถึงขั้นหากแพร่ออกไปคงไม่มีใครเชื่อ
“ก่อนจำศีลข้าก็ได้ครองรากฐานพลังบรรลุอริยะแล้ว ยามนี้เพียงแค่ปลุกรากฐานพลังแห่งตนให้ตื่นขึ้นมาก็เท่านั้น”
เสี่ยวเทียนเก็บปีก โรยลงไปที่หัวไหล่ของเสี่ยวอิ๋นอย่างแผ่วเบา
“ยิ่งกว่านั้นข้ายังดูดซับพลังของซากศพอสูรอริยะอากาศระดับกึ่งจักรพรรดิศพหนึ่ง เลื่อนระดับถึงขั้นนี้ได้ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล”
เสี่ยวอิ๋นและรั่วอู่ต่างจนคำพูด
นี่ยังถือว่าปกติหรือ
และในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวอิ๋น รั่วอู่ หรือเสี่ยวเทียนก็พากันอึ้งไป สายตาต่างมองไปยังบริเวณไกลออกไปตามๆ กัน
ที่ตรงนั้นหลินสวินที่เหมือนรูปปั้นแกะสลักเรื่อยมาลืมตาขึ้นมาแล้ว ทั่วร่างแผ่ระลอกคลื่นเร้นลับคลุมเครืออย่างหนึ่ง
เขาหยัดกายขึ้นเต็มความสูง เอามือไพล่หลัง สีหน้าอึ้งงัน แหงนมองเวิ้งฟ้า คล้ายยังคงขบคิดปัญหายากแสนยากอย่างหนึ่งอยู่ เห็นได้ชัดว่าผิดปกติยิ่ง
“นายท่านเขา…”
เสี่ยวอิ๋นตั้งท่าจะพูดก็ถูกรั่วอู่ห้ามไว้
เนตรดาราของนางทอประกายคล้ายมายา เพ่งมองหลินสวิน สื่อจิตกล่าว ‘นายท่านของเจ้าอาจจะกำลังแจ้งมรรค’
แจ้งมรรค!
สองคำสั้นๆ ทำให้หัวใจเสี่ยวอิ๋นสะท้านไหวรุนแรง
“พวกเราถอยห่างจากที่นี่ก่อน”
รั่วอู่กล่าวพลางพาเสี่ยวอิ๋นและเสี่ยวเทียนค่อยๆ ย้ายไปยังจุดที่ไกลออกไป คราวนี้จึงสื่อจิตกล่าว
‘ระลอกคลื่นคลุมเครือที่แผ่ออกมาจากตัวเขาเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงถึงขีดสุดของพลังรอบกาย ไม่ผิดจากที่คาด เคราะห์อริยะที่เป็นของเขาอาจกำลังมาเยือนแล้ว…’
น้ำเสียงเพิ่งสิ้นสุดก็เห็นแววเหม่อลอยในสีหน้าหลินสวินที่อยู่ห่างออกไปหายลับสิ้น ถูกแทนที่ด้วยความเยือกเย็นสุดขั้ว
หลังจากนั้นริมฝีปากของเขาก็เปล่งเสียงธรรมออกมา
“ยามข้าบรรลุอริยะ…”
ตูม!
เพิ่งกล่าวถึงตรงนี้ พลังเข่นฆ่าน่าสะพรึงที่ไม่อาจบรรยายได้สายหนึ่งก็มาเยือนปุบปับ
เสี่ยวอิ๋นขนลุกขนชันทั้งตัว ร่างกายแข็งทื่อ มีความรู้สึกหวาดกลัวจนวิญญาณจะหลุด แทบจะคุกเข่าลงกับพื้น
ปีกของเสี่ยวเทียนสยายกว้างทันควัน แต่จากนั้นก็หุบลงอีกครั้ง ร่างกายกำลังสั่นเทิ้มเสมือนถูกสะท้านสะเทือนไปด้วย ใกล้จะฝืนประคองไม่ไหว
ต่อให้เป็นรั่วอู่ที่เหยียบย่างระดับมกุฎราชันแล้ว เนตรดาราก็ยังหดรัด ตระหนักได้ถึงการมาเยือนของอันตรายสุดขีด
นางพาเสี่ยวอิ๋นและเสี่ยวเทียนหลบเลี่ยงไปไกลๆ อีกครั้งโดยไม่ลังเล
“นี่คือเคราะห์อะไร”
เสี่ยวอิ๋นหวาดผวา
ไร้รูปไร้สัมผัส ไร้สีไร้ร่องรอย มองไม่เห็นเลยสักนิด แตะต้องไม่โดน สัมผัสไม่ถึง แต่กลับสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของเคราะห์นี้ได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
“หายากยิ่งจริงๆ… ไม่ เป็นพิบัติเคราะห์ที่น่าเหลือเชื่อและแปลกพิสดารที่แม้แต่ข้ายังไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่าตอนที่บรรลุมกุฎอริยะใครจะสามารถชักนำให้มาเยือนได้”
ดวงหน้างานของเทพธิดารั่วอู่เปี่ยมด้วยแววเคร่งขรึม
ในความรู้ความเข้าใจของนาง ไม่ว่าใครข้ามด่านเคราะห์ จะต้องชักนำเมฆาเคราะห์ทั่วฟ้า หลังจากนั้นอสนีเคราะห์จะมาเยือน เข่นฆ่าลงมา
เหมือนอย่างตอนที่นางข้ามด่านเคราะห์บรรลุอริยะ ก็ชักนำอสนีเคราะห์อริยะเก้าชั้นฟ้า แบ่งออกเป็นหกเคราะห์เล็กและสามเคราะห์ใหญ่ รวมเป็นพิบัติเคราะห์เก้าด่าน
อสนีเคราะห์แต่ละด่านล้วนมีอานุภาพทำลายโลก
หนำซ้ำอสนีเคราะห์ยิ่งน่าสะพรึงขึ้นในแต่ละด่าน
ตอนนั้นเพื่อข้ามด่านเคราะห์ นางเตรียมวิธีรักษาชีวิตไว้มากมาย เช่นลูกกลอนโอสถแห่งยุค ศาสตราจิตคมกริบเป็นต้น ถึงขั้นยังเชิญเฒ่าดึกดำบรรพ์หลายคนมาเป็นผู้คุ้นกันให้นาง
ต่อให้เป็นเช่นนี้ ยามที่ข้ามด่านเคราะห์ก็ยังประสบมหาภัยใหญ่หลวงอยู่ดี เรียกได้ว่าจะตายแหล่มิตายแหล่
จนกระทั่งยามที่ข้ามด่านเคราะห์สำเร็จ นางแทบจะอยู่ในอาการร่อแร่
และจากที่รั่วอู่รู้มา ยามที่องค์ชายเซ่าเฮ่าข้ามเคราะห์บรรลุอริยะก็เป็นคล้ายๆ เช่นนี้ เพียงแต่พิบัติเคราะห์ที่เผชิญแตกต่างกันเท่านั้น
แต่เห็นได้ชัดยิ่งว่าเคราะห์บรรลุอริยะที่หลินสวินประสบ ไม่เหมือนกับพวกเขาเลย!
ไม่มีเมฆาเคราะห์ ไม่มีอสนีเคราะห์ และไม่มีอานุภาพทำลายล้างที่สะเทือนฟ้าดิน แค่มาเยือนอย่างไร้สุ้มเสียง ไร้รูปไร้สัมผัสเท่านั้น!
และนี่ ก็เป็นเพียงเพราะเขาพูดว่า ‘ยามข้าบรรลุอริยะ’ เท่านั้น!
‘หลายวันมานี้ปณิธานอริยมรรคที่เขาใคร่ครวญคืออะไรกันแน่ เหตุใดถึงเกิดพิบัติเคราะห์ที่น่าสะพรึงแปลกพิสดารปานนี้’
หัวใจรั่วอู่รัดเกร็ง
พรวด!
พูดเหมือนช้าแต่กลับเร็วยิ่ง เมื่อเอ่ยหนึ่งประโยคออกมา ก็เห็นร่างกายหลินสวินเหมือนถูกมีดแหลมคมกรีดเฉือน ปรากฏบาดแผลเบียดเสียดแน่นขนัด เลือดสดไหลกระเซ็นปานน้ำตก
พริบตาเดียวเขาก็กลายเป็นมนุษย์โชกเลือดไปแล้ว!
“นายท่าน!”
เสี่ยวอิ๋นร้องอุทาน ตั่งท่าจะพุ่งเข้าไปช่วยเหลือ
รั่วอู่ขวางเขาไว้ทันที สีหน้าเคร่งขรึมขึงขัง “เจ้าไปตอนนี้ ก็เท่ากับทำลายกระบวนการข้ามด่านเคราะห์ของเขา!”
เสี่ยวอิ๋นหน้าเปลี่ยนสีไม่หยุด ร้อนรนดุจไฟเผา
กลับเห็นว่าหลินสวินที่อยู่ไกลๆ ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว ตั้งแต่ต้นจนจบสีหน้าล้วนราบเรียบอย่างที่สุด ทั่วร่างของเขาอาบเลือด บาดแผลนับไม่ถ้วน แต่กลับไม่รู้สึกรู้สา ริมฝีปากเอ่ยหนึ่งประโยคออกมาอีกครั้ง
“ใจข้า คือใจฟ้า!”
ตูม!
พวกรั่วอู่ เสี่ยวอิ๋น เสี่ยวเทียนฟังไม่ชัดสักนิด แค่รู้สึกจิตวิญญาณไหวสั่น ราวกับอสนีบาตฟาด เลือดลมทั่วร่างเดือดพล่าน อึดอัดจนแทบกระอักเลือด
สิ่งนี้ทำเอาพวกเขาหวาดผวาหน้าเปลี่ยนสี
พอมองในลานอีกครั้ง รอบกายหลินสวินถูกพายุกัดกร่อน ถูกเปลวเพลิงหลอมละลาย
ลมคือวายุเคราะห์ ไร้รูปไร้เนื้อสัมผัส แต่กลับสามารถพัดทะลวงจิตวิญญาณคน พัดเข้าไปในสภาวะจิตของคน พัดเจตจำนงให้กระจัดกระจาย!
ไฟคืออัคคีเคราะห์ ไร้สีไร้ลักษณ์ กลับสามารถหลอมเนื้อหนังมังสาเลือดเนื้อของคน แผดเผาอวัยวะภายในและภายนอก!
เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ร่างกายหลินสวินก็เหมือนต้นไม้ไหม้เกรียมต้นหนึ่ง โงนเงนจวนจะทรุด
“นายท่าน…!”
นัยน์ตาเสี่ยวอิ๋นแดงก่ำ เบ้าตาจวนจะปริแตก
รั่วอู่กดเขาไว้แน่นหนากล่าวว่า “นี่คือเคราะห์ของเขา ใครก็เข้าไปแทรกไม่ได้ เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ”
“มรรคข้า คือมหามรรค!”
แม้จะเป็นเช่นนี้ เสียงของหลินสวินถึงกับดังขึ้นมาอีกครั้ง
ตูม!
พวกเสี่ยวอิ๋นรู้สึกเพียงโสตหูดังอื้ออึง เบื้องหน้าปรากฏดาวสีทอง หกรับรู้ล้วนถูกปิดกั้น ต่างหน้าซีดขาว ถูกพลังน่าสะพรึงไร้รูปสายหนึ่งซัดสะเทือนลอยคว้างออกไปอย่างแรง
ต่อให้เป็นรั่วอู่ก็ไม่มียกเว้น!
พวกเขาเซทรุดลงกับพื้น ริมฝีปากกระอักเลือด แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสี นี่เป็นเคราะห์อะไรกันแน่ เหตุใดจึงน่าสะพรึงปานนี้
ไม่ได้อยู่ในนั้น เพียงแค่เฝ้ามองอยู่ไกลๆ ยังทำให้พวกเขาต่างรับไม่ไหว!
สามารถจินตนาการได้เลยว่าหลินสวินที่ประสบพิบัติเคราะห์ระดับนี้ การโจมตีที่ต้องทนรับทั้งหมดจะน่ากลัวปานใด
ความจริงก็เป็นเช่นนี้ ก็เห็นร่างกายไหม้เกรียมเหมือนต้นไม้เหี่ยวแห้งแต่เดิมของหลินสวินแตกเป็นเสี่ยงๆ ทันที มีเพียงแสงแห่งจิตวิญญาณดวงหนึ่งไหลเวียนด้วยกลิ่นอายไม่ดับสูบตราบนิรันดร์
เพียงแต่ทั้งหมดนี้ล้วนยังไม่จบสิ้น
ครู่ต่อมาเสียงอันแน่วแน่ เยือกเย็น ถึงขั้นที่ไร้ซึ่งระลอกคลื่นความรู้สึกของหลินสวินก็ดังก้องขึ้นอีกครั้ง
“ยามมรรคข้าแจ้งประจักษ์
นิจนิรันดร์คือมงกุฎ สวมเหนือเศียรข้า
อมตะคือภูษา ปกคลุมกายข้า
ศุภโชคคือบาทุกา สวมรองบาทข้า”
เพียงแต่ไม่ว่าพยายามอย่างไร พวกเสี่ยวอิ๋น รั่วอู่ก็มองไม่เห็นเงาร่างหลินสวิน
สัมผัสได้แค่เพียง ทุกครั้งๆ ที่หลินสวินเอ่ยคำหนึ่งออกมา เคราะห์สังหารน่าพรั่งพรึงที่อบอวลทั่วห้วงอากาศแถบนี้ก็จะแกร่งขึ้น
จนกระทั่งต่อมา แม้แต่เสียง สัมผัสรับรู้ก็ไม่มีแล้ว!
แสงแห่งจิตวิญญาณดวงนั้นที่หลินสวินเหลือไว้ เหมือนแสงตะเกียงท่ามกลางมรสุมฝนฟ้าคะนอง ค่อยๆ โรยแรง ค่อยๆ มอดดับ…
…
นอกสมรภูมิเก้าดินแดน
ในห้วงอากาศโดยรอบที่เหมือนความว่างเปล่าก็ไม่ปานแถบหนึ่ง
ขณะที่หลินสวินข้ามด่านเคราะห์ มีพลังกฎระเบียบนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นกะหันทัน กลายเป็นระลอกคลื่นน่าสะพรึง เดือดพล่านรุนแรงภายในความว่างเปล่าโดยรอบอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
“เห!”
น้ำเสียงใสชัดที่ดูตกใจเสียงหนึ่งดังขึ้นในส่วนลึกของความว่างเปล่า “มรรคนี้ถึงกับหมายจะดูดเอาเวิ้งฟ้านี้มาแทนที่ ใครกัน ไม่กลัวเจอพลังสังหารต้องห้ามรึ”
“สมรภูมิเก้าดินแดน… ดูท่าจะเป็นคนรุ่นหลังคนหนึ่งในเก้าดินแดน ยามบรรลุอริยะ พลังที่แสวงหาต้องห้ามเกินไป ส่งผลให้ประสบเคราะห์”
เสียงแก่ชราอีกสายหนึ่งดังขึ้นเนิบนาบ
น้ำเสียงเพิ่งสิ้นสุด เสียงอาจองทรงพลัง เผด็จการ เลือดเย็นสายหนึ่งพลันดังขึ้นในความว่างเปล่า
“เฮอะ! สมรภูมิเก้าดินแดน หากไม่ใช่เพราะติดที่กฎเกณฑ์ระเบียบฟ้า ข้าคงสังหารเจ้านอกรีตที่นอกคอกนอกรอยนี่ก่อนแล้ว!”
“คนนอกรีต? ตอนนั้นพวกเราก็ไม่ได้แจ้งมรรคเช่นนี้เหมือนกันหรือ ทำไม อนุญาตแค่ให้เจ้าเฒ่าอย่างเจ้าแจ้งมรรคเช่นนี้ แต่ไม่ยอมให้คนอื่นเหยียบย่างเส้นทางสายนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ”
มีคนยิ้มเย็น
“ทุกท่านล้วนเป็นบรรพชนแห่งมรรค ไยต้องเบาะแว้งกันเพราะเรื่องนี้ หากคนผู้นี้ไม่ตาย วันใดวันหนึ่งจะต้องสามารถเหยียบย่างทางเดินโบราณฟ้าดาราได้แน่ เมื่อถึงตอนนั้นค่อยว่ากันเรื่องความเป็นความตายของคนผู้นี้ก็ยังไม่สาย”
เสียงต่ำลึกราวกับเบาหวิวสายหนึ่งก้องสะท้อน
ฉับพลันเสียงทั้งหมดก็จางหายไป
ในความว่างเปล่าไร้สิ้นสุดที่พลิกตลบดุดันนั่นก็พลอยกลับสู่ความสงบอีกครั้ง พลังกฎระเบียบทั้งปวงต่างมลายไปพร้อมๆ กัน
…
ก็ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว พวกเสี่ยวอิ๋น รั่วอู่ เสี่ยวเทียนจึงค่อยๆ กลับมารับรู้ได้ การมองเห็นเบื้องหน้าก็เปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้น
กลิ่นอายพิบัติเคราะห์ที่น่าสะพรึงจนไม่อาจจินตนาการนั่นไม่เหลืออยู่นานแล้ว
พอมองรอบทิศอีกครั้ง ไม่ว่าศาลาอาคาร หรือจะเป็นทิวทัศน์อื่นๆ ล้วนไม่ได้รับความเสียหายไม่แต่เสี้ยวเดียว
หากไม่ใช่เพราะมั่นใจว่าทุกอย่างเมื่อครู่ล้วนเป็นเรื่องจริง พวกเขายังสงสัยว่าเมื่อครู่ฝันไป
“นายท่านเล่า”
ทันใดนั้น เสี่ยวอิ๋นเบิกตากว้าง ส่งเสียงตะโกนลั่น
เขาค้นหาสี่ทิศ แต่กลับไม่เห็นวี่แววของหลินสวิน!
รั่วอู่สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันควันเช่นกัน จากพลังจิตรับรู้ของนาง ถึงกับไม่สามารถสัมผัสกลิ่นอายและร่องรอยของหลินสวินได้อีก
ผีเสื้อมารแยกฟ้าเหินทะยานแผ่วๆ เคลื่อนย้ายไปตามพื้นที่ต่างๆ ในแดนลับวังใต้ดิน ค้นหาเนิ่นนานก็มีแต่คว้าน้ำเหลว
“หรือว่า… หรือว่า… นายท่านประสบเคราะห์จนตายแล้ว”
ยามนี้เสี่ยวอิ๋นถึงขั้นรู้สึกแตกสลายอย่างหนึ่ง ทั้งตัวมึนตื้อไปแล้ว หน้าอกอัดอั้น หัวสมองขาวโพลนทั้งแถบ
ผีเสื้อมารแยกฟ้านิ่งเงียบ
สีหน้ารั่วอู่ก็พลอยเปลี่ยนเป็นซีดขาวน้อยๆ ด้วย
หากหลินสวินประสบเคราะห์คราวนี้ ไม่มีเขาแล้ว ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณก็เท่ากับสูญเสียเสาหลักคนหนึ่งไป ยังจะเอาอะไรไปต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งชั้นนำของแปดดินแดนอื่นๆ ได้อีกกัน
“นายท่าน…!”
เสี่ยวอิ๋นตะโกนดังลั่น ทรุดนั่งลงกับพื้น จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนสูญเสียเรี่ยวแรง เจตจำนง และความคิดทั้งหมดไป
เผ่าหนอนกินเทพ ขอเพียงยอมรับเจ้านาย ย่อมต้องร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน
ยามนี้ไม่เห็นหลินสวินแล้ว เสี่ยวอิ๋นมีเพียงความคิดเดียว ตามนายท่านไป!
“ไม่ต้องร้องแล้ว หูถูกเจ้าตะโกนใส่จนดับแล้ว”
และในเวลานี้เอง น้ำเสียงอ่อนโยนกลั้วหัวเราะเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหูของเสี่ยวอิ๋น
………………..