โครม!
ในเสียงปะทะสะเทือนหู ทวนวงเดือนที่แสงเทพสีเขียวพันรอบเล่มหนึ่งถูกกระแทกปลิวออกไปทั้งอย่างนั้น
เจ้าของทวนวงเดือนราวกับถูกฟ้าผ่า ร่างกายกระเด็นถอยรุนแรง เลือดออกเจ็ดทวาร
นี่คือพลังหลอมจิต ที่หลอมรวมพลังหลอมปราณและหลอมกายเข้าไป
ทันใดนั้นหลินสวินปล่อยหมัดหนึ่งออกไป พลังหมัดแผ่กว้าง โจมตีหน้าอกของหญิงชุดม่วงที่ลอบจู่โจมจนยุบลง ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน ถอยโซซัดโซเซไป
นี่ คือพลังหลอมปราณ ที่เสริมอานุภาพพลังหลอมจิตและหลอมกาย
ชั่วขณะเดียวหลินสวินคนเดียวพิชิตสนามรบ ใช้การหยั่งรู้มากมายในใจมาพิชิตสนามรบ
เงาร่างของเขาราวกับสายฟ้า ดุจภาพมายา กึกก้องกลางฟ้าดิน พาดขวางพุ่งตะบึงไม่อาจขวางกั้น ไม่สามารถถูกกำราบเหมือนที่ผ่านมาได้อีกแล้ว
และเพราะการโจมตีของเขา ทำให้การปิดล้อมในสนามรบปั่นป่วน!
เสียงร้องที่เดือดดาล ประหลาดใจ ยากจะเชื่อดังขึ้นเป็นระลอกต่อเนื่อง มกุฎอริยะเหล่านั้นสีหน้าราวกับเห็นผีตัวเป็นๆ เขียวคล้ำไม่น่าดู
นี่เป็นไปได้อย่างไร
พวกเขาคิดจนหัวแตกก็คิดไม่ออกว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
“น่าชังนัก!”
บนกำแพงเมือง ปี้เจี้ยนฉยงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แค้นจนเส้นเลือดบนหน้าผากปูดนูน
ส่วนในเมืองอารักษ์มรรค เสียงที่เดิมทีกระตือรือร้น คาดหวังและตื่นเต้นก็เงียบลงทันที ถูกความประหลาดใจ งุนงง ยากจะเชื่อเข้าแทนที่
มกุฎอริยะถึงสิบเจ็ดคนเชียวนะ กลับฆ่าแพะสองขาของดินแดนรกร้างโบราณไม่ได้หรือ
มีเพียงรั่วอู่ที่กำลังยิ้ม
นางดูออกแล้วว่าพลังต่อสู้ของหลินสวินกำลังเปลี่ยนแปลงด้วยความเร็วน่าตกใจ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ น่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ
“คนที่แปด”
ทันใดนั้นเสียงที่ไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ของหลินสวินดังขึ้นในที่นั้น
พรูด!
เพิ่งจะสิ้นเสียง ตรงหน้าเขามกุฎอริยะคนหนึ่งถูกดาบหักผ่าเป็นสองส่วน หลังจากร่างกายแยกออกก็ถูกแสงมรรคที่น่ากลัวกวาดทำลายโดยตรง กลายเป็นฝุ่นผง
ในสนามรบเสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นจากทั่วทิศ!
นี่คือมกุฎอริยะคนแรกที่ถูกฆ่าตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ครั้งนี้
แต่นับดูอย่างละเอียด รวมพวกเล่อเทียนเหิง เสอปี้อวิ๋นและเฮ่อชิงเหยียนที่ตายในมือหลินสวินก่อนหน้านี้ นี่เป็นผู้แข็งแกร่งคนที่แปดที่ถูกฆ่าแล้วจริงๆ
บนท้องฟ้า เสียงอริยะร่วงหล่นอันคุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง
ปี้เจี้ยนฉยงสีหน้าเลื่อนลอย เอาอีกแล้ว… เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เพราะอะไร
ในเมืองอารักษ์มรรค คนมากมายเงียบกริบ สีหน้าย่ำแย่ เสียงอริยะร่วงหล่นก็เหมือนการตบกกหูดังสนั่น สะบัดบนใบหน้าของพวกเขาอย่างรุนแรง ทำให้พวกเขารู้สึกอัดอั้น อับอาย และเดือดดาล
ส่วนในสนามรบ สีหน้าของพวกเลี่ยอวี้เปลี่ยนจากความเดือดดาลในตอนแรกเป็นเคร่งเครียดประหลาดใจ
ใครก็ไม่กล้าประมาท
ราวกับถูกกระตุ้นจากความตาย พวกเขาทุกคนเริ่มสู้สุดชีวิต สำแดงพลังที่ฝึกฝนมาทั้งชีวิต
“คนที่เก้า”
เสียงของหลินสวินดังขึ้นอีกครั้ง
ปัง!
ชายที่ถือทวนวงเดือนถูกปราณกระบี่ไท่เสวียนสามพันสายสังหารทั้งเป็น ร่างกายกลายเป็นฝุ่นผง ก่อนตายทำได้เพียงส่งเสียงโหยหวนอย่างไม่จำยอม
นี่ทำให้คนไม่น้อยสีหน้าเปลี่ยน
ในเมืองอารักษ์มรรคเงียบสงัดไปทั้งแถบแล้ว แม้เป็นปี้เจี้ยนฉยงที่ยืนมองอยู่บนหอกำแพงเมือง สีหน้ามืดทะมึนราวผืนน้ำ นิ่งเงียบไม่พูดจา
“คนที่สิบ”
ไม่นานก็มีคนร่วงหล่นอีก เป็นหญิงชุดม่วงคนนั้น ถูกหลินสวินใช้เจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดสังหาร เลือดสาดเป็นสายยาวกลางอากาศ
เงามืดแห่งความตาย บรรยากาศที่นองเลือดปกคลุมกลางฟ้าดิน ทำเอาพวกเลี่ยอวี้แม้แต่หายใจยังลำบาก
แต่พวกเขายังคงไม่ยินยอม!
หรือพูดได้ว่าเพลิงโทสะครอบงำจิตใจ บ้าคลั่งกว่าเดิม การจู่โจมก็รุนแรงขึ้น
แต่หลินสวินยังคงมีท่าทางสงบตั้งแต่ต้นจนจบ
เงาร่างของเขาพริบไหว ท่องอยู่ในสนามรบ ระหว่างเคลื่อนไหว พลังที่ปลดปล่อยออกมามีอานุภาพกดข่มปกคลุมจักรวาล สังหารเทพผี
ระหว่างที่ลงมือ ความคิดความเข้าใจในใจหลินสวินมากขึ้นเรื่อยๆ ความเข้าใจที่มีต่อ ‘ไตรมรรครวมเป็นหนึ่ง โดดเด่นหนึ่งเดียว’ ลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ’
จนถึงสุดท้าย เขาถึงขั้นลืมตัวตน ลืมฟ้าดิน ลืมการต่อสู้นี้
การจู่โจมทั้งหมดล้วนเป็นการกระทำตามจิตใต้สำนึก ทุกการโจมตีล้วนปรากฏท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นธรรมชาติสมบูรณ์แบบ
แต่ในสนามรบกลับมีมกุฎอริยะถูกสังหารคนแล้วคนเล่า
บางคนถูกดาบหักฟาดฟัน
บางคนถูกเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดกำราบ
บางคนถูกพลังหมัดและปราณกระบี่ของหลินสวินบดขยี้แหลกละเอียด
เสียงโหยหวน คำราม คร่ำครวญและกรีดร้องอย่างไม่จำยอม เจือกลิ่นอายนองเลือดและความตายอันเข้มข้น ละเลงฟ้าดินแถบนี้ให้กลายเป็นภาพงานศพอริยะที่ประหนึ่งห้วงนรก
ความกลัวและความตายกลายเป็นพื้นหลังของม้วนภาพ!
บนท้องฟ้า แสงเลือดไหลวน ปกคลุมพันลี้ เสียงอริยะร่วงหล่นไม่ขาดสายก้องไปทั้งเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
ในเมืองอารักษ์มรรคเงียบกริบไปหมดแล้ว
บนกำแพงเมือง สองตาของปี้เจี้ยนฉยงเลื่อนลอย สมองว่างเปล่า สองมือสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่
การต่อสู้ครั้งนี้นองเลือดและโหดเหี้ยมเกินไป!
ทุกครั้งที่มกุฎอริยะร่วงหล่นคนหนึ่ง ก็เหมือนใช้ค้อนทุบค่ายทัพดินแดนโบราณมารโลหิตอย่างหนักคราหนึ่ง ทำให้พวกเขาสั่นสะเทือน สิ้นหวัง จิตใจถูกกระทบกระเทือนอย่างที่สุด
นี่เป็นถึงโลกมารโลหิตเชียวนะ!
เป็นค่ายทัพใหญ่ของพวกเขาดินแดนโบราณมารโลหิต!
แต่ตอนนี้กลับมีคนรุ่นเยาว์ดินแดนรกร้างโบราณคนหนึ่งชูดาบสังหารมกุฎอริยะ ทำให้เกิดคาวเลือดเต็มฟ้า!
ท่าทางที่ไร้เทียมทาน อานุภาพที่เผด็จการ นำพาความสิ้นหวังมาให้อย่างแท้จริง
แม้เป็นรั่วอู่ก็คิดไม่ถึง ว่าการต่อสู้ที่หลินสวินเสียเปรียบจะพลิกผันมาถึงขั้นนี้
มองเงาร่างที่สังหารอริยะทีละคนของหลินสวิน มองความองอาจพลิกฟ้าไร้ทัดเทียมของเขา ทำให้จิตใจของรั่วอู่เองก็ถูกกระทบกระเทือนอย่างมาก
นางรู้ว่าชาตินี้คงถูกกำหนดให้ไม่อาจลืมเหตุการณ์นี้ได้
ในสนามรบมีมกุฎอริยะรับการจู่โจมระดับนี้ไม่ไหว หนีไปอย่างตื่นตระหนก แต่กลับถูกหลินสวินสังหารระหว่างทาง
และมีคนคำราม แฝงเพลิงโทสะเต็มทรวงอก “ปี้เจี้ยนฉยง เจ้าจะทนมองพวกเราประสบเคราะห์โดยไม่ทำอะไรเช่นนั้นหรือ”
นี่ทำให้ปี้เจี้ยนฉยงที่จมอยู่ในความอึ้งงันตัวสั่นคราหนึ่ง พลันได้สติขึ้นมา
จากนั้นเขาถึงเพิ่งเห็นว่า ในสนามรบตอนนี้ถึงกับเหลือมกุฎอริยะแค่หกคนกำลังยืนหยัดอย่างยากลำบาก
มกุฎอริยะคนอื่นๆ อีกสิบเอ็ดคน ล้วนถูกสังหารไปแล้ว!
ปี้เจี้ยนฉยงรู้สึกเพียงว่าในหัวดังอึงอลเหมือนถูกฟ้าผ่า ภาพตรงหน้าพร่าเบลอ นี่… นี่เป็นไปได้อย่างไร
มกุฎอริยะสิบเจ็ดคน ตอนนี้กลับเหลือเพียงหกคนแล้วหรือ
แรงจู่โจมนี้ใหญ่เกินไป!
ต่อให้เป็นสภาวะจิตของปี้เจี้ยนฉยงก็ยังเกือบรับไม่อยู่ ภาพตรงหน้ามืดสลัว จิตใจสั่นไหว ไม่กล้าจินตนาการว่านี่ล้วนเกิดขึ้นจากฝีมือคนผู้เดียว
“ปี้เจี้ยนฉยง! เจ้าจะมองดูคนตายโดยไม่ช่วยจริงๆ หรือ!?”
เสียงตวาดเดือดดาลดังก้องขึ้นจากในสนามรบอีกครั้ง ทำให้ปี้เจี้ยนฉยงสั่นเทิ้มไปทั้งตัวอีกครา
เขาพลันสูดหายใจเข้าลึก มองไปรอบๆ
ปัจจุบันในเมืองอารักษ์มรรคแห่งนี้ยังมีมกุฎอริยะอีกสิบกว่าคนคุมสถานการณ์อยู่ แต่… หากส่งพวกเขาไปช่วยแล้วประสบเคราะห์อีก จะทำอย่างไร
เช่นนั้นความเสียหายก็จะยิ่งรุนแรง!
นอกจากนี้หากไม่มีคนเหล่านี้ดูแลเมืองอารักษ์มรรคกับตน หากถูกหลินสวินบุกสังหารมาจะทำอย่างไร
ชั่วขณะเดียวปี้เจี้ยนฉยงทั้งร้อนรนทั้งลังเล ยากลำบากจนแทบกระอักเลือดแล้ว
ที่ผ่านมาดินแดนรกร้างโบราณไม่เคยอยู่ในสายตาของเขา แต่ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งนี้กลับมีคนร้ายกาจเย้ยฟ้าเช่นนี้โผล่ออกมา ใครจะกล้าเชื่อ
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ อีกฝ่ายเพียงตัวคนเดียวก็บุกสังหารในโลกมารโลหิตตลอดทาง ทำให้เกิดการนองเลือดไม่มีที่สิ้นสุด
ตอนนี้ยิ่งโจมตีสังหารเหล่ามกุฎอริยะจนไร้แรงต่อต้านในบริเวณที่ห่างจากเมืองอารักษ์มรรคพันลี้ ใครจะกล้าเชื่อ
“หนี!”
“หนีเร็ว!”
ทันใดนั้นเสียงตะโกนร้องดังขึ้นในสนามรบระลอกหนึ่ง
ก็เห็นมกุฎอริยะหกคนที่เหลือ แต่ละคนตื่นตระหนก หนีกระจัดกระจายออกไป ราวกับตกใจจนเสียขวัญ
หืม?
หลินสวินฟื้นคืนสติจากการหยั่งรู้เหล่านั้น เงยสายตาขึ้นมองรอบๆ ก็เห็นว่าในสนามรบกว้างมีเพียงมกุฎอริยะหกคนกำลังหนี
บนใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตระหนกตื่นกลัวและหมดหวัง บ้างหนีไปยังเมืองอารักษ์มรรค บางหนีห่างออกไปไกลๆ
แตกตื่นราวกับสุนัขจรจัด!
“หนีได้หรือ”
เมื่อความคิดหนึ่งไหลเคลื่อนในใจหลินสวิน มรรควิถีและวิชาลับมากมายรอบตัวเขาปลดปล่อยจนถึงขีดสุดในชั่วพริบตา
ห่างไกลล้วนไปถึง
กระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้
มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร
เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์
ปราณกระบี่ไท่เสวียน
พริบตาเดียวเท่านั้น พลังดรรชนีแผ่กว้าง ประกายคมเจิดจ้า มังกรครวญแหงนคำราม พลังหมัดเรียบง่าย… ล้วนเข้าเติมเต็มกลางฟ้าดิน
ในห้วงอากาศผมดำของหลินสวินพลิ้วไหว ร่างกายพร่างพราวราวกับภาพมายา เหมือนกลายเป็นนายเหนือหัวหนึ่งเดียว อานุภาพพุ่งสู่จุดสูงสุดในชั่วพริบตา
ปัง!
ห่างออกไปสามพันลี้ ห้วงอากาศว่างเปล่าถูกพลังดรรชนีน่ากลัวบดขยี้ มกุฎอริยะคนหนึ่งเซถอยออกไปพร้อมเสียฌหยหวน นอนตายคาที่
ฉึบ!
ภายใต้ประกายคมเจิดจ้า มกุฎอริยะคนหนึ่งถูกตัดหัว
นอกจากนี้มกุฎอริยะที่หนีไปในทิศทางอื่น แต่ละคนทยอยถูกสังหาร ร่างกายระเบิด ฝนเลือดไหลหลาก
เฮือก!
ห่างออกไป รั่วอู่สูดหายใจเข้าอย่างหนาวเยือก
ฆ่ามกุฎอริยะราวกับเชือดไก่ ก็ไม่ใช่เช่นนี้หรอกหรือ!
หรือว่าหลินสวินได้ครอบครองวิธีที่ทำให้ไร้ศัตรูในระดับนี้แล้ว
ส่วนในเมืองอารักษ์มรรคล้วนไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ อีก
แม้เป็นปี้เจี้ยนฉยงยังสั่นเทิ้มไปทั้งตัว สายตาเลื่อนลอยพึมพำเสียงหลง “เป็นไปได้อย่างไร นี่เป็นไปได้อย่างไร…”
“ปี้เจี้ยนฉยง เจ้าถึงกับมองพวกเราถูกฆ่าโดยไม่ทำอะไรจริงๆ!”
เหลือเพียงเลี่ยอวี้คนเดียวที่พุ่งมาถึงหน้าเมืองอารักษ์มรรคแล้ว ใบหน้าของเขาคล้ำเขียวเดือดดาล ลูกตาแทบถลน กราดเกรี้ยวถึงขีดสุด
“ข้า…”
ปี้เจี้ยนฉยงเพิ่งคิดจะพูดอะไร
ตอนนี้เองศรดอกหนึ่งยิงมาโดยพลัน ทะลุร่างเลี่ยอวี้และตอกใส่กำแพงเมืองอย่างรุนแรง
ปี้เจี้ยนฉยงตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง
และห่างออกไป หลินสวินถือคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารที่สร้างจากโครงกระดูกขาวมากมาย ร่างสูงสง่ายืนตระหง่านอยู่บนห้วงอากาศ ดุจเทพประหนึ่งมาร!
ในสนามรบมกุฎอริยะทั้งหมดถูกฆ่า ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลกลายเป็นสีเลือดบาดตา เสียงอริยะหล่นร่วงดังขึ้นเป็นระลอก ฟ้าดินเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ทอดสายตามองไปรอบๆ สี่ทิศเวิ้งว้าง เต็มไปด้วยภาพทำลายล้าง ภูเขาไม่รู้เท่าไหร่ถูกกระแทกจนเรียบแบน แม่น้ำไม่รู้เท่าไหร่ถูกทำให้แห้งเหือด บนพื้นดินเต็มไปด้วยรอยแตกที่น่าตกใจ
วิ้วๆๆ…
สายลมหนาวเหน็บดังหวีดหวิวกลางฟ้าดิน กลับพัดกลิ่นอายเข่นฆ่าและคาวเลือดในสนามรบไปไม่ได้
การต่อสู้นี้ ตั้งแต่การตายของเล่อเทียนเหิง เสอปี้อวิ๋น เฮ่อชิงเหยียนสามคนในตอนแรก จนถึงตอนนี้มีมกุฎอริยะถูกสังหารยี่สิบสี่คนแล้ว!
ทุกคนล้วนเรียกได้ว่าเป็นบุคคลระดับชั้นนำในสมรภูมิเก้าดินแดนแห่งนี้ เป็นกำลังสำคัญของดินแดนโบราณมารโลหิตในการต่อสู้กับดินแดนอื่นๆ
แต่ตอนนี้ล้วนถูกฆ่าหมดแล้ว!
ทั้งยังตายหน้ารังของพวกเขา ตายภายใต้สายตาผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนของดินแดนโบราณมารโลหิต!
และคนที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ มีเพียงแค่หลินสวินคนเดียว
คนผู้เดียว อานุภาพดุจไร้เทียมทาน กวาดล้างถ้วนทั่ว!
……………