Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1581 เนตรจู๋หลง

จู๋อิ้งคงแต่งกายด้วยชุดคลุมสีหยกเหลืองทั้งตัว ใบหน้าผ่องแผ้ว คิ้วกระบี่เนตรดารา ดวงตาทั้งสองข้างสุกใส เปล่งประกายมีชีวิตชีวา

เขาเป็นระดับผู้นำค่ายทัพดินแดนโบราณยอดหยิน ตัวเขาเองยังเป็นองค์ชายเผ่าจู๋หลง ได้รับการยกย่องให้เป็นอัจฉริยะที่พบเจอได้ยากในหมื่นปี เป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นเพียงผู้เดียวในปัจจุบัน

“ท่านพี่ พวกเรามาโจมตีเมือง ไม่ได้มาฟังท่านยกยอคนแซ่หลินผู้นั้น”

ข้างกัน จู๋อิ้งเสวี่ยนิ่วหน้าแสดงความไม่พอใจ

“หมายโจมตีเมืองต้องทำลายกระบวนค่ายกลให้ได้ก่อน กระบวนค่ายกลนี้รุกรับพร้อมสรรพ หนาแน่นคลุมเครือ และจำเป็นต้องใช้เวลาสักพักถึงจะมองทะลุนัยเร้นลับแก่นแท้ของมันได้”

จู๋อิ้งคงเอ่ยเสียงขรึม “น้องหญิง เจ้าไม่ต้องรีบร้อน ตอนพวกเรามา พวกเซวี่ยชิงอีนำทัพผู้แข็งแกร่งไปทะเลผาดำอยู่ก่อนแล้ว หากไม่เหนือความคาดหมาย หลินสวินคนนั้นต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา”

“ถ้าเมืองนี้ไม่มีหลินสวินนั่นควบคุม การเหยียบย่ำเมืองนี้เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว”

ในเสียงเผยความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างสมบูรณ์

“เช่นนั้นก็ดี”

จู๋อิ้งเสวี่ยเผยรอยยิ้มหวาน

คราวนี้ไม่ว่าจะเป็นพวกเซวี่ยชิงอีหรือหลินสวิน เกรงว่าจะนึกไม่ถึงว่าในตอนที่แดนลับสนามแม่เหล็กนี้มาเยือน พวกจู๋อิ้งคงสองพี่น้องจะถึงกับฉวยโอกาสมาหน้าเมืองอารักษ์มรรคโลกรกร้างโบราณ หมายจะทำลายกระบวนค่ายกลผลาญนคร!

นี่เป็นการเคลื่อนไหวอุกอาจครั้งหนึ่งจริงๆ

แต่สำหรับจู๋อิ้งคงแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไรสักนิด ไม่เพียงมั่นใจในศักยภาพของตนมาก เขายังเชื่อมั่นในวิชาสลักวิญญาณของตนด้วยเช่นกัน!

ควรรู้ว่ามรดกในมรรคสลักวิญญาณของพวกเขาเผ่าจู๋หลง มองไปทั่วแปดดินแดนยังเรียกได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ

แน่นอนว่าผู้ที่มาจู่โจมเมืองคราวนี้ไม่ได้มีเพียงจู๋อิ้งคงสองพี่น้อง ยังมีผู้แข็งแกร่งดินแดนโบราณยอดหยินมากมายรออยู่ด้วย

สวบ!

ทันใดนั้นวงแสงอัศจรรย์คู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากดวงตาของจู๋อิ้งคง ดำหนึ่งขาวหนึ่งละม้ายหยินหยาง สัญลักษณ์ลึกลับแปลกประหลาดไหลวนออกมา

เนตรจู๋หลง!

ตามคำเล่าลือ ยามสิ่งมีชีวิตน่าหวาดหวั่นอย่างจู๋หลงลืมตาขึ้นก็คือกลางวัน ยามหลับตาลงก็คือกลางคืน เป่าลมเป็นเหมันต์ พ่นลมเป็นวสันต์ ควบคุมมืดสว่างทิวาราตรี วงเวียนสี่ฤดู อภินิหารยิ่งใหญ่

แน่นอนว่าคำเล่าลือก็คือคำเล่าลืออยู่ดี แต่เนตรจู๋หลงเป็น ‘อภินิหารพรสวรรค์ชั้นหนึ่ง’ ที่เป็นที่ยอมรับทั้งโลก

ภายใต้การกวาดมองของดวงตานี้ สามารถมองทะลุรูปลักษณ์ที่แท้จริงของสรรพสัตว์ หยั่งแก่นแท้ของสรรพสิ่ง ภาพลวงทั้งปวงถูกสลายให้กระจ่างแจ้ง

นี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ผู้แข็งแกร่งเผ่าจู๋หลงมีวิชาสลักวิญญาณสูงส่งแทบทั้งนั้น

อาศัยอภินิหารนี้ฝึกฝนในมรรคาสลักวิญญาณ มีข้อได้เปรียบเป็นที่สุด!

ไม่นานนักภายใต้สายตาที่กวาดมองของจู๋อิ้งคง เมืองอารักษ์มรรคอันใหญ่โต รวมถึงร่องรอยกระบวนค่ายกลใหญ่ที่ประทับไว้ตามจุดต่างๆ ของกำแพงเมืองล้วนปรากฏขึ้นอย่างละเอียดหมดจด

‘ค่ายกลสังหารสี่ค่าย ค่ายกลป้องกันแปดค่าย…’

‘ฝีมือร้ายกาจนัก ใต้ดินยังปกคลุมด้วยกระบวนค่ายกลลายมรรค ทำให้บรรจุอานุภาพแห่งฟ้าดินไว้ในเมืองทั้งหมด ดังคำกล่าวที่ว่ากระบวนค่ายกลสมบูรณ์ ฟ้าดินร่วมแรงก็เป็นเช่นนี้เอง’

‘ช่วงเวลาราวครึ่งปี ที่นี่ถึงกับถูกเขารังสรรค์ผนึกอริยะขนาดใหญ่เช่นนี้ เทียบกับปรมาจารย์สลักลายมรรครุ่นอาวุโสบางคนแล้วไม่ทิ้งกันเท่าไร…’

‘เอ๋ ลายมรรคเช่นนี้วางได้มหัศจรรย์พบเห็นได้ยากจริงๆ สืบสานสร้างร่างได้เอง แปรเปลี่ยนก้อนอิฐแต่ละก้อนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนค่ายกลใหญ่ ฝีมือขั้นนี้เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน’

ครู่หนึ่งผ่านไป จู๋อิ้งคงแสดงสีหน้าประหลาดใจ

เขามีชาติกำเนิดเป็นเผ่าจู๋หลง ได้เห็นวิชาสลักลายมรรคมามากมาย แต่กลับไม่เคยเห็นวิชาสลักลายมรรคที่อัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน

นี่ก็เหมือนเอาเมืองเมืองหนึ่งหลอมรวมเป็นกระบวนค่ายกลใหญ่ค่ายหนึ่งโดยสมบูรณ์ กระบวนค่ายกลก็คือเมือง เมืองก็คือกระบวนค่ายกล ไม่แบ่งแยกกันอีก ขอเพียงกระบวนค่ายกลไม่แตก เมืองนี้ก็จะดำรงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์!

หากไม่ใช่ว่าสถานการณ์ไม่อำนวย จู๋อิ้งคงคงอยากพินิจพิเคราะห์สักรอบอย่างห้ามไม่อยู่

เพราะกระบวนค่ายกลใหญ่ลายมรรคเช่นนี้ย่อมเรียกได้ว่าสะเทือนอดีตปัจจุบัน แม้แต่ในแปดดินแดนใหญ่ยังโดดเด่นไม่มีสิ่งใดทัดเทียม นัยเร้นลับที่เก็บอยู่ภายในก็น่าตื่นตะลึงถึงที่สุด

‘เขาหลินสวิน ชายหนุ่มที่ถือกำเนิดในดินแดนรกร้างโบราณคนหนึ่ง ได้วิชารอยสลักวิญญาณเช่นนี้มาจากไหนกันแน่นะ เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน’

จู๋อิ้งคงตกตะลึงในใจยิ่งนัก

ตามที่เขารู้มา ดินแดนรกร้างโบราณยังไม่เคยมีมหาสำนักสลักวิญญาณที่เก่งกาจอะไรมาก่อน ทั้งยังไม่มีเผ่าแกร่งกล้าที่ดำรงอยู่ในโลกด้วยการสืบทอดวิชาสลักวิญญาณด้วย

แต่หลินสวินกลับวางกระบวนค่ายกลใหญ่ที่เรียกได้ว่าเหนือความคาดมายเช่นนี้ได้ เรื่องนี้ดูน่าเหลือเชื่อนัก

จู๋อิ้งคงไม่รู้ว่าวิชาสลักวิญญาณของหลินสวินมาจากลู่ป๋อหยา และลู่ป๋อหยาไม่ใช่คนของเก้าดินแดน

หากให้หลินสวินรู้ว่าจู๋อิ้งคงตกใจเพราะเรื่องนี้ เกรงว่าจะประหลาดใจนัก เพราะวิถีสลักวิญญาณที่เขาเรียนตั้งแต่เล็ก เดิมทีก็เป็นเช่นนี้!

“ท่านพี่ ตกลงทำได้หรือไม่”

รอมาครู่ใหญ่ก็ไม่เห็นจู๋อิ้งคงจะตอบสนอง จู้อิ้งเสวี่ยจึงเอ่ยปากอย่างอดไม่ได้

จู้อิ้งคงได้สติ แววอัศจรรย์ไหววูบในดวงตา เอ่ยว่า “น้องหญิง ตอนนี้ข้ากลับหวังว่าหลินสวินจะไม่ถูกเจ้าเซวี่ยชิงอีนั่นฆ่าตายแล้ว”

จู๋อิ้งเสวี่ยประหลาดใจ “ทำไมล่ะ”

“วิชาสลักวิญญาณเจ้าหมอนี่มหัศจรรย์ถึงที่สุด แข็งแกร่งเกินกว่าที่คิด ไม่ด้อยไปกว่าวิชาสลักรอยวิญญาณสูงสุดของเผ่าจู๋หลงของพวกเรา นอกจากนี้ยังกลายเป็นเส้นปราณที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง หากชิงวิชาเช่นนี้มาครอง…”

พูดถึงตรงนี้ในดวงตาของจู๋อิ้งคงก็ฉายแววลุกโชนแล้ว “ข้าเชื่อมั่นเต็มที่ว่าจะสามารถแจ้งมรรคเหมือนอย่างบรรพชน ใช้พลังสลักรอยสลักวิญญาณสร้างหนทางแห่งมหาจักรพรรดิ!”

จู๋อิ้งเซวี่ยตกตะลึง แต่กลับไม่พอใจนัก “เจ้าหมอนั่นมีคุณสมบัติอะไรมาเทียบกับมรรครอยสลักวิญญาณของเผ่าพวกเรา”

จู๋อิ้งคงยิ้มให้ ไม่อธิบายอะไรอีก

ขอเพียงเขารู้ชัดว่าวิชาสลักรอยวิญญาณที่หลินสวินครอบครองไม่ธรรมดาปานไหนก็พอแล้ว!

“น้องหญิง เจ้าส่งคนไปดูที่ทะเลผาดำเสียหน่อย ถ้าหลินสวินตายแล้ว จำไว้ว่าต้องเอาของที่เขาเหลือทิ้งไว้มาด้วย”

จู๋อิ้งคงเอ่ยกำชับ

“พวกเซวี่ยชิงอีจะตกลงหรือ”

จู๋อิ้งเสวี่ยนิ่วหน้า

นางรู้ดีว่าเซวี่ยชิงอีเชิญจู๋อิ้งคงมาร่วมมือกันต่อกรหลินสวิน แต่กลับถูกเขาปฏิเสธแล้ว

จู๋อิ้งคงพูดอย่างไม่ลังเลสักนิดว่า “งั้นก็บอกเขาว่าข้าต้องการเพียงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับรอยสลักวิญญาณที่หลินสวินหลงเหลือไว้ ขอเพียงเขารับปาก ข้าจู๋อิ้งคงจะติดค้างน้ำใจเขาครั้งหนึ่ง”

คราวนี้จู๋อิ้งเสวี่ยทึ่งไปโดยสมบูรณ์แล้ว นางรู้ดีว่าสถานะของท่านพี่ในดินแดนโบราณยอดหยินพิเศษเพียงไหน ให้เขาติดค้างน้ำใจไว้ครั้งหนึ่ง นั่นทำให้ไม่ว่าคนใหญ่คนโตผู้ใดก็หวั่นไหว!

จากจุดนี้ก็ดูออกว่าจู๋อิ้งคงให้ความสำคัญกับวิชาสลักรอยวิญญาณที่อยู่กับตัวหลินสวินเพียงไหน

จู๋อิ้งเสวี่ยจึงรีบร้อนจากไป ไม่ชักช้าร่ำไรอีก

ส่วนจู๋อิ้งคงยังอยู่ที่นั่น หยั่งรู้นัยเร้นลับกระบวนค่ายกลที่ซ่อนไว้ในเมืองอารักษ์มรรคด้วยเนตรจู๋หลง

ยิ่งดูเขาก็ยิ่งใจเต้น

ประหนึ่งหาเส้นทางบรรลุจักรพรรดิได้เส้นหนึ่ง ทำให้เขาเกิดความปรารถนา อยากได้มาครอบครองอย่างควบคุมไม่อยู่

แต่ไม่นานนนักจู๋อิ้งคงก็สงบใจลง

เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้คือมองทะลุแก่นแท้ของกระบวนค่ายกลนี้ เหยียบย่ำเมืองนี้ ทำลายรากฐานที่ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณพึ่งพิงอยู่!

……

เหนือจุดสูงสุดของกำแพงเมืองที่อยู่ไกลออกไป เซ่าเฮ่ากับรั่วอู่ยืนเคียงกัน

“ดังคาด แดนลับสนามแม่เหล็กมาเยือนคราวนี้ หลังหลินสวินจากไปก็มีเจ้าคนที่มีเจตนาร้ายฉวยโอกาสวิ่งมาแล้ว”

เซ่าเฮ่านิ่วหน้า เขาจำตัวตนของจู๋อิ้งคงได้

“สิ่งที่เผ่าจู๋หลงเชี่ยวชาญที่สุดก็คือมรรคสลักวิญญาณ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังไขนัยเร้นลับของกระบวนค่ายกลใหญ่ในเมือง หากปล่อยให้เขาทำได้จริงๆ เช่นนั้นก็ท่าไม่ดีแล้ว”

แววเคร่งเครียดก็ปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้วของรั่วอู่เช่นกัน

จู๋อิ้งคงเหมือนตัวคนเดียวเท่านั้น แต่เบื้องหลังเขาคือค่ายทัพดินแดนโบราณยอดหยินทั้งค่าย สามารถทำให้ไม่ว่าผู้ใดก็หวาดผวา

ทันทีที่ถูกเขามองทะลุนัยเร้นลับของกระบวนค่ายกลใหญ่เมืองอารักษ์มรรค การมีอยู่ของกระบวนค่ายกลใหญ่ก็เหมือนกับวางไว้เปล่าๆ ไม่อาจคุ้มกันเมืองนี้ได้อีก!

“แปดยอดนภาครามไม่มีคนที่ต่อกรง่ายสักคนดังคาด แต่พวกเราไม่ต้องกังวล ตอนหลินสวินจากไปเคยพูดไว้ว่า ขอเพียงเฝ้าระวังในเมือง ก็ยืนอยู่ในจุดไร้พ่ายได้”

เซ่าเฮ่ายิ้มเอ่ย

รั่วอู่กลับถอนใจเบาๆ “รู้ไหมว่าตอนนี้คนที่ข้าเป็นห่วงที่สุดกลับเป็นหลินสวิน จู๋อิ้งคงกล้ามาปรากฏตัวกร่างวางโตที่นี่ ที่แดนลับสนามแม่เหล็กก็ไม่รู้ว่ามีอันตรายมากน้อยเพียงไหนรอหลินสวินอยู่”

เซ่าเฮ่าเงียบไปครู่สั้นๆ แต่ยังยิ้มพูดว่า “‘ถามทุกท่านว่ามีหัวอริยะเท่าไหร่ นี่เป็นโอกาสอันดี ขอทุกท่านดูฝีมือข้าผู้แซ่หลินว่าจะเป็นอย่างไร!’ คำนี้หลินสวินพูดไว้เชียวนะ ในเมื่อเขากล้าไป ย่อมมั่นใจเต็มที่อยู่แล้ว”

“หวังว่าจะเป็นเช่นนี้…”

รั่วอู่พึมพำ

……

เวลาเคลื่อนคล้อยไปทีละน้อย

จู๋อิ้งคงสีหน้ายิ่งจริงจังและเคร่งเครียด ต่อให้อาศัยเนตรจู๋หลง ตอนไขนัยเร้นลับของกระบวนค่ายกลใหญ่ในเมืองนี้ให้กระจ่าง ก็ยังทำให้เขารู้สึกเปลืองแรงดังเดิม

ซับซ้อนคลุมเครือก็เรื่องหนึ่ง แต่สาเหตุที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่เคยเห็นฝีมือวางกระบวนค่ายกลเช่นนั้นมาก่อน!

“ท่านพี่แย่แล้ว!”

ทันใดนั้นเสียงแตกตื่นเสียงหนึ่งดังขึ้นในโสตประสาทของจู๋อิ้งคง เขาชักสายตากลับมาทันที หันหน้ามองไปก็เห็นว่าน้องสาวจู๋อิ้งเสวี่ยถลาเข้ามาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย

“เกิดอะไรขึ้น หรือเซวี่ยชิงอีไม่รับปาก”

จู๋อิ้งคงนิ่วหน้า

“ไม่ใช่ พวกเซวี่ยชิงอี… แพ้แล้ว!”

จู๋อิ้งคงสีหน้าตื่นตระหนก

ตอนนี้เขาก็รู้สึกไม่ทันตั้งตัวเช่นกัน สีหน้างุนงง ตามที่เขารู้มา คราวนี้เซวี่ยชิงอีถึงกับเรียกรวมมกุฎอริยะมากกว่าร้อยคน รวมถึงผู้แข็งแกร่งอริยะแท้แปดร้อยกว่าคน

นอกจากนี้ยังมีระดับผู้นำอย่างสือพั่วไห่กับฮว่าหงเซียวร่วมกันสั่งการ แค่สังหารหลินสวินคนเดียวเท่านั้น เป็นเรื่องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือแท้ๆ

แต่ทำไมถึง… แพ้แล้ว

ปฏิกิริยาแรกของจู๋อิ้งคงก็คือ ข่าวผิดหรือเปล่า

แต่ด้วยการบรรยายของจู่อิ้งเสวี่ย จู๋อิ้งคงก็สีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ อย่างห้ามไม่อยู่ หากเป็นเช่นนี้จริง จะไม่ใช่ว่าหลินสวินคนเดียวก็สู้จนพวกเซวี่ยชิงอีเป็นตุ๊กตาดินไร้ค่าเลยหรือ

เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร

ไม่นานนักเสียงทะลวงอากาศระลอกหนึ่งดังขึ้น มกุฎอริยะจากดินแดนโบราณยอดหยินบางคนทะลวงอากาศเข้ามา แต่ละคนสีหน้าตกตะลึง หวาดวิตกว้าวุ่น

“นายน้อยแย่แล้วขอรับ ที่แดนลับสนามแม่เหล็ก พวกเซวี่ยชิงอีพ่ายแพ้ย่อยยับ!”

“ตามที่อริยะดินแดนโบราณอสูรดาวที่โชคดีรอดชีวิตมาได้คนหนึ่งว่าไว้ ในสนามรบมีมกุฎอริยะเกือบร้อยถูกสังหาร พวกเซวี่ยชิงอี สือพั่วไห่กับฮว่าหงเซวียนยังสู้หลินสวินคนเดียวไม่ได้ ถูกเล่นงานจนหนีเอาตัวรอดกระเจิดกระเจิง!”

“นายน้อย ที่นี่ไม่เหมาะจะอยู่นานนะขอรับ!”

ในเสียงสับสนปนเปทำให้จู๋อิ้งคงรู้ถึงที่มาที่ไปของศึกครั้งนั้นในที่สุด เขาสูดหายใจหนาวเยือกเฮือกหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ ในใจสั่นสะท้าน

หลินสวินคนนี้ เหตุใดถึงร้ายกาจเช่นนี้

หรือเขาสร้างวิชาแห่งตน มีรากฐานพลังที่ไร้ศัตรูใดเทียบเทียมในระดับนี้ไปแล้ว

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนคนเดียวจะรับการจู่โจมของพวกเซวี่ยชิงอีได้นี่!

ทันใดนั้นความกังขานับไม่ถ้วนผุดขึ้นในใจของจู๋อิ้งคง ทำให้สีหน้าเขาปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ จิตใจไม่สงบ

“ท่านพี่ พวกเราต้องรีบออกไปหรือไม่”

จู๋อิ้งเสวี่ยตกใจจนดวงหน้างามซีดเผือดไปแล้ว แค่ได้ยินข่าวยังทำให้นางหนาวสะท้านในใจ น่าเหลือเชื่อเกินไป และน่าประหวั่นพรั่นพรึงเกินไปด้วย!

——

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

BRCO, Tian Jiao Zhan Ji, 天骄战纪
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset