ค่ายทัพดินแดนโบราณต้าหลัว
ในเมืองอารักษ์มรรคอันใหญ่โต คนใหญ่คนโตจากเผ่าใหญ่ต่างๆ มารวมตัวล้อมอยู่หน้าตำหนักที่เดิมเป็นของเจี้ยนชิงเฉิน
ทุกคนต่างเดือดดาล!
ยามข่าวการตายของเจี้ยนชิงเฉินแพร่กลับมา ทั้งค่ายทัพโบราณต้าหลัวก็เหมือนผึ้งแตกรัง ไม่มีใครทำใจเชื่อเรื่องนี้ได้
ดังนั้นพวกเขาจึงมารวมตัวกันโดยมิได้นัดหมาย ต้องการคำอธิบายจากฉินเซียวเซิงที่คุมอำนาจในค่ายทัพดินแดนโบราณต้าหลัวในปัจจุบันแทบจะทันที!
ภายในตำหนัก ฉินเซียวเซิงสีหน้าคล้ำเขียว จิตสังหารน่าหวาดหวั่นแผ่ออกมาทั่วกาย
ปึง!
โต๊ะตั่งเบื้องหน้าเขาระเบิดกระจุยดังลั่น
ฉินเซียวเซิงเก็บกลั้นจิตสังหารในใจไว้ไม่อยู่แล้ว คำรามขึ้นว่า “พวกสวะ สืบหามานานขนาดนี้ดันสืบไม่ได้ว่าเรื่องนี้เป็นหลินสวินคนนั้นทำ! ตอนนี้เป็นอย่างไร ทั้งใต้หล้ายังรู้เร็วกว่าพวกเราว่าฆาตกรเป็นใคร!”
ในตำหนักยังมีบุคคลขอบเขตมกุฎอยู่บ้าง เป็นบริวารรู้ใจของฉินเซียวเซิง พวกเขารู้ความจริงชัดแจ้ง เดิมนึกว่าจะปิดบังข่าวการตายของเจี้ยนชิงเฉินเช่นนี้ไปได้ตลอด
จะคิดได้อย่างไรว่าผู้ร้ายอย่างหลินสวินกลับแจ้นออกมาเองเสียแล้ว!
ตอนนี้ทั้งค่ายทัพดินแดนโบราณต้าหลัวต่างตกอยู่ในความสั่นสะเทือน โกลาหลกันไปหมด
“ผู้อาวุโสฉิน ด้านนอกยังมีคนจำนวนมากรอคอยท่าทีของท่านอยู่ขอรับ”
มีคนเอ่ยเสียงค่อย
ฉินเซียวเซิงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ฝืนเก็บกลั้นความโกรธในใจเอาไว้แล้วลุกขึ้นยืน เดินออกไปนอกตำหนักด้วยสีหน้าแน่วแน่
เรื่องนี้ไม่อาจปกปิดได้แล้ว ยิ่งผัดออกไปนานก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ของค่ายทัพดินแดนโบราณต้าหลัวยิ่งโกลาหล
ต้องตัดสินใจแล้ว
ฉินเซียวเซิงคิดถ้อยคำไว้แล้ว เจ้าหลินสวินไม่ได้ยอมรับว่าเป็นคนลงมือหรอกหรือ เช่นนั้นก็รอรับความแค้นกับไฟโทสะจากทั้งค่ายทัพดินแดนโบราณต้าหลัวเถอะ!
……
วันนี้ในดินแดนโบราณต้าหลัวมีข่าวกระจายออกมา ยืนยันข่าวการตายของเจี้ยนชิงเฉิน ทันใดนั้นดินแดนใหญ่ต่างๆ ก็สะเทือนกันหมด!
“บุคคลแห่งยุคอย่างเจี้ยนชิงเฉิน… ถึงกับตายแล้วจริงๆ!”
“การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนในอดีตไม่เคยมีเรื่องอย่างบุคคลระดับผู้นำเสียชีวิตมาก่อน คิดไม่ถึงว่าคราวนี้จะเกิดเหตุไม่คาดฝัน”
“ฆ่าเจี้ยนชิงเฉินโดยไม่มีใครรู้ใครเห็น หลินสวินคนนี้จะน่ากลัวเกินไปแล้ว ไอ้หมอนี่เรียกได้ว่าเป็นศัตรูยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของแปดดินแดนไปแล้ว!”
เสียงที่ปนเปไปด้วยความตื่นตะลึง ประหลาดใจและหวาดหวั่นดังขึ้นในค่ายทัพดินแดนต่างๆ
วันนี้ชื่อของหลินสวินก็เหมือนมหาคีรีหนักอึ้งหาใดเทียบลูกหนึ่ง ทับอยู่บนอกของผู้แข็งแกร่งทุกคนในแปดดินแดน
พลานุภาพมหาศาลของเขากดทับไปทั้งสมรภูมิเก้าดินแดน ไม่เป็นรองผู้ใดในยุค!
……
‘ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ก็น่ารับปากเซวี่ยชิงอีไป…’
ในค่ายทัพดินแดนโบราณขุมอุดร คุนเซ่าอวี่นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
เมื่อได้รู้ข่าวว่าพวกเซวี่ยชิงอีพ่ายแพ้ย่อยยับและเจี้ยนชิงเฉินตายไป เขาไม่ได้มีความสุขที่ผู้อื่นรับเคราะห์ เพียงรู้สึกเศร้ากับความตายของพวกเดียวกัน
ในส่วนลึกของจิตใจ ถ้าบอกว่าไม่เสียใจคงเป็นเรื่องโกหก
……
“ดูท่าเซวี่ยชิงอีจะพูดถูก ข้าประเมินหลินสวินต่ำไปแล้ว เพียงแต่ใครจะไปคิดได้ว่าดินแดนรกร้างโบราณจะถึงกับมีคนร้ายกาจเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น”
ค่ายทัพดินแดนโบราณจิ่วหลี ชืออู๋ซู่สีหน้าแปรผันไม่หยุด ครู่ใหญ่ก็ถอนหายใจยาวอย่างอดไม่ได้
เขารู้ว่ายามแดนลับสนามแม่แหล็กมาเยือน หากรับคำแนะนำของเซวี่ยชิงอี ด้วยการร่วมมือกันของบุคคลระดับผู้นำทั้งแปดดินแดนต้องฆ่าหลินสวินได้แน่
ที่น่าเสียดายก็คือพลาดโอกาสงามเช่นนี้ไปแล้ว
……
‘ต่อแต่นี้ไป ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณจะต้องกวาดล้างขุมอำนาจ ผงาดขึ้นอย่างแข็งกร้าว ที่ต้องกลัวเป็นพิเศษก็คือหลินสวินนี่!’
ดินแดนโบราณเพลิงสวรรค์ เลี่ยเฉียนดวงตาเปล่งประกายลุกโชน เขารับรู้ได้ว่าสถานการณ์ทั้งสมรภูมิเก้าดินแดนเปลี่ยนไปแล้ว
หากไม่สังหารหลินสวิน ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณจะไม่อาจถูกเหยียบย่ำทำลายได้อีก!
‘ไม่แน่บางที สมรภูมิเซียนเหินอาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว…’
เลี่ยเฉียนกำมือแน่นอยู่เงียบๆ
……
“ไอ้โง่ไร้สมองฝูงหนึ่ง! หากไม่ใช่เพราะพวกเขาปฏิเสธที่จะร่วมกันเคลื่อนไหว นิ่งเฉยดูดาย จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร ตอนนี้เป็นอย่างไร ค่ายทัพใหญ่สามค่ายอย่างดินแดนโบราณมารโลหิตของข้า ดินแดนโบราณหม่อนบูรพา และดินแดนโบราณอสูรดาวบาดเจ็บล้มตายกันหมด ส่วนดินแดนรกร้างโบราณของอีกฝ่ายกลับถือโอกาสนี้ผงาดขึ้น!”
“ตอนนี้ต่อให้สารเลวอย่างเลี่ยเฉียนกับชืออู๋ซู่จะเสียใจ… ก็สายไปแล้ว!”
โลกมารโลหิต ในห้องโถงใหญ่ชั้นเก้าของหอชัยชนะ เซวี่ยชิงอีผมเผ้ายุ่งเหยิง สีหน้าเหี้ยมเกรียม ส่งเสียงดังลั่นดุจอสนีบาต สีหน้าเต็มไปด้วยความแค้นที่ไม่ปิดบังสักนิด
ความพ่ายแพ้ย่อยยับคราวนี้ ดินแดนโบราณมารโลหิตของเขาเสียหายรุนแรงยับเยินมากที่สุด!
ไม่เพียงมีมกุฎอริยะหลายสิบคนกับอริยะแท้สี่ร้อยกว่าคนประสบเคราะห์ แม้แต่ต้นกล้าชั้นดีที่หวังจะบรรลุมกุฎอริยะบางส่วนยังถูกสังหารจนหมด
และถ้ารวมกับการบาดเจ็บล้มตายที่หลินสวินได้ทำไว้ตอนก่อเรื่องในโลกมารโลหิต… ไม่อาจประเมินได้ว่าเสียหายมากมายปานไหน
เอ่ยอย่างไม่เกินจริงว่าในค่ายทัพแปดดินแดนตอนนี้ กำลังพลของค่ายทัพดินแดนโบราณมารโลหิตถูกตัดกำลังให้อ่อนแอลงเกินครึ่ง รากฐานเสียหายหนัก!
นี่จะไม่ให้เซวี่ยชิงอีแค้นได้อย่างไร
“นายน้อย คุนเซ่าอวี่แห่งดินแดนโบราณขุมอุดรส่งข่าวมาว่าต้องการร่วมมือกับท่าน ลงมือสังหารหลินสวินยามสมรภูมิเซียนเหินมาเยือนด้วยกัน”
ชายชราคนหนึ่งรีบร้อนมาส่งข่าว
“บอกเขาไป ไม่ว่าง!”
เซวี่ยชิงอีแค้นนัก กัดฟันเอ่ย
“นายน้อย ชืออู๋ซู่แห่งดินแดนโบราณจิ่วหลีส่งข่าวมา กล่าวขออภัยท่านเรื่องคราวก่อน หากเป็นไปได้เขาหวังจะร่วมมือกับท่าน…”
ไม่นานนักก็มีข่าวส่งมาอีก
“คราวก่อนไม่ใช่เขาหัวเราะเยาะเย้ยว่าข้าเซวี่ยชิงอีใจเสาะหรือ ร่วมมือบ้าอะไร ข้ามันต่ำต้อยไม่อาจเอื้อม!”
เซวี่ยชิงอีไฟโทสะแผดเผา เขาไม่อาจลืมได้ ตอนชืออู๋ซู่ปฏิเสธข้อเสนอของเขาคราวก่อน ถ้อยคำที่พูดออกมานั้นบาดหูและไม่น่าฟังขนาดไหน
จากนั้นมีข่าวแล้วข่าวเล่าส่งมาไม่ขาดสาย ล้วนมาจากบุคคลระดับผู้นำจากดินแดนอื่น ในถ้อยคำล้วนแฝงไปด้วยเจตนาขอโทษ
ในขณะเดียวกันก็ต้องการเชิญเซวี่ยชิงอีมาร่วมมือกันกำจัด ‘มหาศัตรูอันดับหนึ่ง’ อย่างหลินสวินเมื่อสมรภูมิเซียนเหินมาเยือนด้วย
เซวี่ยชิงอีที่กำลังโกรธเกรี้ยวแค้นเคืองอยู่จะตอบรับง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไร
ถูกเขาปฏิเสธทั้งหมดทันทีโดยไม่แม้แต่จะคิด!
“เล่นอะไรกัน ตอนข้าขอร้องพวกเจ้า พวกเจ้าแต่ละคนยังเอือมระอาไม่อยากร่วมมือ ตอนนี้รับรู้ได้ถึงความน่ากลัวของหลินสวิน แต่ละคนก็นั่งไม่ติดที่แล้ว ไม่รู้สึกว่าน่าขันหรือ”
เซวี่ยชิงอีแค้นนัก
ที่สำคัญคือกำลังพลของดินแดนโบราณมารโลหิตบาดเจ็บล้มตายหนักหน่วงเกินไปแล้ว ถูกหลินสวินคนเดียวตัดเฉือนจนแทบแหลกสลาย นี่ทำให้ดวงใจเซวี่ยชิงอีหลั่งเลือด
แต่หลังจากใจเย็นลงได้หลายวัน สุดท้ายเซวี่ยชิงอีก็ต้องยอมรับว่าหากไม่รับปากว่าจะร่วมมือ คิดจะกำจัดหลินสวินแทบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เจ้าหมอนี่ร้ายกาจบ้าระห่ำเกินไป ทั้งพลังต่อสู้ก็โดดเด่นเหนือธรรมดา อาศัยเพียงพลังของบุคคลระดับผู้นำคนเดียว ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้สักนิด!
‘หกเดือน หรือก็คืออีกครึ่งปี สมรภูมิเซียนเหินก็จะมาเยือน’
‘ถึงตอนนั้นผู้แข็งแกร่งที่ถือป้ายคำสั่งเซียนเหินทุกคนก็จะถูกเคลื่อนย้ายเข้าไปในสมรภูมิเซียนเหินนั่น เพื่อช่วงชิง ‘ชะตามรรคผลงานรบ’….’
‘ชะตามรรคผลงานรบเกี่ยวข้องกับปัญหาว่าจะเข้าไปในแหล่งสถานคุนหลุนได้หรือไม่ เป้าหมายสุดท้ายที่บุคคลระดับผู้นำอย่างพวกเราเข้าร่วมการต่อสู้แห่งเก้าดินแดน ก็เพื่อเก็บสะสมชะตามรรคผลงานรบให้เพียงพอ มีคุณสมบัติไปแหล่งสถานคุนหลุนแห่งนั้น’
‘ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลินสวินนั่นจะต้องไป พวกคุนเซ่าอวี่ ชืออู๋ซู่ก็ต้องเข้าร่วมด้วย หากข้าปฏิเสธไม่ร่วมมือกับพวกเขา สถานการณ์ในสมรภูมิเซียนเหินนั่นย่อมไม่สู้ดีแน่…’
ครุ่นคิดครู่ใหญ่ในที่สุดเซวี่ยชิงอีก็ถอนหายใจ รับรู้ได้ว่าต่อให้ใจตนโกรธเคืองและอัดอั้นอย่างไร แต่ถ้าคิดจะแก้แค้นก็ทำได้เพียงรับปากว่าจะร่วมมือกับพวกคุนเซ่าอวี่
นอกจากนี้ไม่มีทางอื่นแล้ว!
วันนี้คุนเซ่าอวี่แห่งดินแดนโบราณขุมอุดรส่งคำเชิญมาอีกครั้ง…
นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว
เหมือนคุนเซ่าอวี่ก็รู้ว่าหลังจากเซวี่ยชิงอีใจเย็นลงจะต้องไม่ปฏิเสธอีก ดังนั้นจึงไม่ได้ล้มเลิกการเชื้อเชิญ
คราวนี้เซวี่ยชิงอีก็ตกลงแล้ว
……
ทะเลผาดำ
วันนี้เป็นวันที่สิบที่หลินสวินทำสมาธิแล้ว
เขาสีหน้าเรียบเฉย ประกายกระจ่างผุดผ่องพลิ้วลอยไปทั้งร่าง ท้ายทอยปรากฏรูปจำลองอริยมรรควงหนึ่ง รุ้งเทพโอบล้อม แสงเหินดุจพิรุณ ฉายส่องห้วงอากาศราวกับหุบเหวแห่งหนึ่ง
ส่วนภายในร่างกายของเขา พลังต้นกำเนิดอริยะที่พลุ่งพล่านแปรสภาพเป็นมหาสมุทรสีทองอร่าม ห้อตะบึงในสี่รยางค์ร้อยกระดูก เปล่งประกายโชติช่วงดุจดั่งอาทิตย์แรงกล้าไม่เสื่อมคลาย
พร้อมๆ กับการกลืนกินของ ‘ถ้ำผสาน’ พลังต้นกำเนิดอริยะเหล่านี้ก็ยิ่งบริสุทธิ์และกล้าแข็งมากขึ้นไปด้วย
ทันใดนั้นภายในถ้ำผสาน ‘ภูเขามรรคต้นกำเนิด’ ผุดขึ้นจากพื้นแล้วเติบใหญ่ขึ้นไม่หยุด!
แม้ยังมีขนาดเท่าหัวแม่โป้ง แต่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเขาลูกน้อยกลายเป็นยอดเขาลูกหนึ่ง!
ภูเขามรรคต้นกำเนิดก็คือที่อยู่ของรากฐานอริยมรรค บนนั้นมีมรรควิถีกับพลังต้นกำเนิดทั้งร่างรวมตัวกัน ภูเขามรรคต้นกำเนิดยิ่งแข็งแกร่งและสูงตระหง่านเท่าไร ก็หมายความว่ารากฐานอริยมรรคของผู้ฝึกปราณยิ่งมั่นคงและทรงพลังขึ้นเท่านั้น
และภูเขามรรคต้นกำเนิดของหลินสวินในตอนนี้ก็พลันแปรสภาพ ปรากฏบรรยากาศเทียมฟ้าบังดิน ท่วงทำนองอัศจรรย์แกร่งกล้าหาใดเทียบ!
ตูม!
ชั่วพริบตานี้บนตัวหลินสวินก็มีคลื่นน่าตื่นตะลึงพุ่งทะลุเมฆาขึ้นมา ฝ่าชั้นเมฆให้กระจายออกไป น้ำทะเลปั่นป่วน ห้วงอากาศสั่นไหว
พลังวิญญาณในพื้นที่สามพันลี้จากสี่ด้านแปดทิศถูกดูดกลืนอย่างบ้าคลั่ง แทรกเข้าไปในตัวหลินสวินเพียงผู้เดียว
ฉับพลันรอบกายหลินสวินก็มีละอองแสงปลิวว่อน รุ้งเทพไหลเวียน กลิ่นอายคลื่นอริยมรรคที่กระจายออกมาแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนไม่รู้เท่าไร!
“ระดับอริยะแท้ขั้นกลาง!”
น้ำทะเลสีดำปั่นป่วน เผยให้เห็นเงาร่างอรชรขาวเปล่งปลั่งราวหิมะร่างหนึ่งดุจดั่งเทพธิดากำลังอาบกายอยู่ ลำคอนางยาวระหง ไหล่ที่โผล่ออกมาขาววิจิตร น้ำทะเลสีดำซัดสาดถั่งโถม ทำให้หน้าอกอิ่มทั้งสองข้างเบื้องหน้าพอมองเห็นรำไร
เพียงแต่จ้าวจิ่งเซวียนกลับเหมือนไม่รู้สึก แววตกตะลึงปรากฏขึ้นบนใบหน้างามกระจ่างเหนือธรรมดาของนาง ดวงตาจ้องเขม็งที่หลินสวินซึ่งอยู่ไกลออกไป
หากนางจำไม่ผิด ราวหนึ่งปีก่อนหลินสวินถึงเพิ่งเหยียบย่างเข้าสู่ระดับมกุฎอริยะ ตอนนี้เขาถึงกับเลื่อนขั้นอีกแล้วหรือ
หนทางเสาะแสวงในอริยมรรคยากกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก ออกเดินแต่ละก้าวจำเป็นต้องสิ้นเปลืองเวลา กำลังวังชาและวาสนาไปไม่รู้เท่าไร!
สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับอริยะบางคน ปิดด่านคร่าวๆ ครั้งหนึ่งยังใช้เวลาเป็นพันเป็นร้อยปี แต่ต่อให้ทำเช่นนี้ระดับพลังปราณก็อาจไม่สูงขึ้น
แต่หลินสวินกลับทะลวงขั้นอีกครั้งในหนึ่งปี!
‘ยังเป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ…’
จ้าวจิ่งเซวียนลอบพึมพำ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและเปรมปรีดิ์ เนตรงามเคลื่อนมอง อบอุ่นอ่อนโยนดั่งวารี
จู่ๆ นางก็ตัวแข็งทื่อ สังเกตได้ว่าสายตาเร่าร้อนหนึ่งมองมาที่ร่างตน แล้วจึงรับรู้ได้ว่าตอนนี้ตนสวมชุดเพียงชั้นเดียวลอยอยู่ในน้ำ เผยออกมาทั้งที่ควรเห็นและไม่ควร…
ดังคาด ก็เห็นว่าหลินสวินยืนยิ้มอยู่กลางอากาศ สายตากำลังพินิจนางอยู่โต้งๆ
จ้าวจิ่งเซวียนหน้าแดงร้อนผ่าวอย่างยิ่ง เงาร่างดำลงไปในก้นทะเลอย่างรวดเร็วประหนึ่งนางมังกรท่องสมุทร ก่อให้เกิดลมคลื่นเพราะเขินอาย
ด้านหลินสวินหัวเราะร่าขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ขวัญตาดั่งธรรมะ โฉมสะคราญพาอิ่มเอม
——