Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1584 วางแผนเซียนเหิน

ระดับอริยะแท้ขั้นกลาง!

ดูเหมือนเป็นเพียงการก้าวออกไปก้าวหนึ่งในพลังปราณระดับอริยะแท้ แต่สำหรับหลินสวินแล้ว กลับเป็นว่าพลังทั้งสามสายอย่างหลอมจิต หลอมปราณและหลอมกายได้แปรสภาพอีกครั้ง

นี่ก็คือนัยเร้นลับ ‘ไตรมรรครวมเป็นหนึ่ง ก่อเกิดหนึ่งเดียวอันสัมบูรณ์’

ไม่เพียงพลังมรรคาทั้งสามหลอมรวม แต่เป็นวิธีบำเพ็ญมรรคที่รวมชิ้นส่วนต่างๆ ให้สมบูรณ์ หมื่นมรรครวมเป็นหนึ่ง

เพียงไม่กี่คำ เก็บซ่อนความลึกลับไว้ทั้งหมด!

‘คำว่าไร้ศัตรูในระดับนี้… ใกล้แล้ว…’

ด้วยรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังทั้งกายอย่างละเอียด หลินสวินจึงรู้สึกมั่นใจไร้ศัตรูขึ้นมา

คราวนี้เขาก็ยิ่งตระหนักได้อย่างลึกซึ้งว่า คำพูดของจ้าวหยวนจี๋จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิจื่อเย่าที่กล่าวตอนเขาออกจากโลกชั้นล่างครั้งแรกนั้นยอดเยี่ยมปานไหน

การแปรสภาพของสภาวะจิต การเพิ่มพูนของพลังปราณ ความแกร่งกล้าของจิตวิญญาณ ความแข็งแกร่งของพลังกาย ว่ากันถึงแก่นแล้วล้วนเป็นการแปรเปลี่ยนของพลังแห่งตนทั้งสิ้น!

พลังเช่นนี้สามารถทำให้เจ้าเป็นนายเหนือหัว ต้านทานอมตะมหาเคราะห์ ทั้งยังสามารถหลอมมรรคบรรลุอริยะ เข้าสู่วิถีแห่งจักรพรรดิ

มหามรรคนี้ก็เป็นพลังอย่างหนึ่ง เพียงต้องหยั่งรู้และเข้าใจ

หมื่นวิชานี้ก็เป็นวิธีใช้พลังเช่นกัน แม้แต่ความรู้ ประสบการณ์ การศึกษาที่เจ้าครอบครอง ไหนเลยจะไม่ใช่พลังที่อยู่ภายในอย่างหนึ่ง

พูดง่ายๆ พลัง ก็คือมหามรรค!

เบื้องหน้าพลังสัมบูรณ์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสติปัญญาเทียมฟ้ากลยุทธ์ตะลึงโลกเพียงใด ก็ต้องถูกโจมตีให้แหลกเป็นจุณ!

หลินสวินในตอนนั้นยังมีพลังปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณเท่านั้น ความเข้าใจต่อคำพูดนี้ยังตื้นเขินนัก แต่ด้วยการเพิ่มพูนของพลังปราณในหลายปีนี้ พร้อมๆ กับประสบการณ์ที่เพิ่มพูนและหูตาที่เปิดกว้างยิ่งขึ้น เขาก็ยิ่งรู้สึกว่านัยเร้นลับนี้ไร้ที่สิ้นสุดตามไปด้วย

มหามรรคเรียบง่ายที่สุด ยามความเพริศแพร้วโรยสิ้น การแบ่งสูงต่ำ แข็งแกร่งอ่อนแอ อยู่ที่ ‘พลัง’ เท่านั้น!

‘แปดยอดนภาคราม ไม่ควรค่าให้พูดถึงแล้ว!’

ขณะนี้หลินสวินจิตใจสงบนิ่ง ในวิถีเสาะแสวงมรรคา มองไปทั้งสมรภูมิเก้าดินแดน แปดยอดนภาครามก็ไร้ความหมายดั่งเบญจมาศหลังงานเช็งเม้ง

วิถีทางที่ตนต้องการเสาะแสวงอาจจะยังไม่ใช่ขั้นสมบูรณ์สูงสุดของมหามรรค แต่ก็ไม่อาจเปรียบเทียบกับคนรุ่นเดียวกันส่วนใหญ่ได้!

หลินสวินในตอนนี้ยืนง่ายๆ อยู่เช่นนั้นก็สง่างามดั่งอริยเทพ หากอยู่ในโลกภายนอกก็เปรียบเหมือนมังกรเทพจากสวรรค์ ทำให้ผู้คนในโลกเคารพได้

แต่หลินสวินรู้ดีว่าหนทางภายหน้ายังยาวไกล บนโลกนี้ก็ไม่เคยขาดภูเขาที่สูงยิ่งขึ้นกว่าเดิม ฟ้าดินที่กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่า รอให้ตนไปป่ายปีน ไปพิชิต!

“พี่ชายเทพมาร เจ้าดูสิ”

ทันใดนั้นเสียงร่าเริงแจ่มใสเสียงหนึ่งดังขึ้น จ้าวจิ่งเซวียนเคลื่อนตัวออกมาจากน้ำทะเล สวมชุดกระโปรงม่วง ผมยาวดำขลับเกล้าขึ้น ใบหน้างามเพริศแพร้วผิดธรรมดางดงามทั้งยามสุขยามโกรธ

นางมาตรงหน้าหลินสวิน แกว่งป้ายคำสั่งชิ้นหนึ่งไปมาตรงหน้าเขา

พี่ชายเทพมาร…

พอได้ยินชื่อเล่นนี้หลินสวินก็กระตุกมุมปากครู่หนึ่งอย่างอดไม่ได้ ขำขื่นไม่ว่างเว้น แต่ครู่ต่อมาเขาก็ถูกป้ายคำสั่งในมือจ้าวจิงเซวียนดึงดูด

มันมีขนาดเท่าฝ่ามือ ราวกับเจียระไนขึ้นจากหยกมันแพะ ไอเทพหนาแน่น ละอองแสงเหมือนโผบิน อบอวลไปด้วยประกายแสงสีเขียวอ่อนศักดิ์สิทธิ์เป็นริ้วๆ ดูลึกลับหาใดเทียบ

“ป้ายคำสั่งเซียนเหินหรือ”

หลินสวินตกตะลึง

“ใช่แล้ว ข้าพบจากทรัพย์หลังศึก”

จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มเอ่ย

ศึกใหญ่ซึ่งเกิดขึ้นที่ชายฝั่งทะเลผาดำก่อนหน้านี้ไม่นาน คนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ทำให้พวกเซวี่ยชิงอีกพ่ายแพ้ยับเยินกลับไป

นี่ก็ทำให้จ้าวจิ่งเซวียนกวาดทรัพย์หลังศึกมาได้มากมาย เพียงแค่สมบัติอริยะนานาชนิดยังมีมากหลายร้อยชิ้น แต่โดยมากล้วนไม่สมบูรณ์ ถูกทำให้เสียหายระหว่างการต่อสู้

ทว่าภายในนั้นไม่ขาดสมบัติอริยะของล้ำค่าบางประการ

นอกจากนี้ยังมีสมบัติล้ำค่าอย่างลูกกลอนวิญญาณ วัตถุดิบเทพ สมุนไพรเทพมากมายหลายชนิด ต่างกองเป็นภูเขาได้

นี่เป็นถึงลาภลอยใหญ่เท่าฟ้าก้อนหนึ่ง!

อย่างป้ายคำสั่งเซียนเหินชิ้นนี้ก็เป็นสิ่งที่จ้าวจิ่งเซวียนพบจากทรัพย์หลังศึกเหล่านี้ เจ้าของป้ายเป็นใครก็สืบหาไม่ได้แล้ว

แต่ภายในกลับเห็นได้ชัดว่ามีชะตามรรคผลงานรบสะสมอยู่เก้าสิบสามสาย!

“ดูของข้า”

พอหลินสวินพลิกฝ่ามือ ป้ายคำสั่งเซียนเหินถึงสามชิ้นก็ปรากฏออกมา

ชิ้นหนึ่งเป็นของตน ชิ้นหนึ่งเป็นของอาหู ส่วนอีกชิ้นได้มาจากทรัพย์หลังศึกที่รีดมาจากเจี้ยนชิงเฉิน

จ้าวจิ่งเซวียนเหมือนถูกโจมตี มือกุมหน้าผากเอ่ยว่า “ที่แท้เจ้าต่างหากที่เป็นเศรษฐีบ้านนอก”

หลินสวินยิ้มขึ้นมา

เดิมทีเขายังคิดจะมอบป้ายคำสั่งเซียนเหินของเจี้ยนชิงเฉินชิ้นนั้นให้จ้าวจิ่งเซวียน แต่เห็นได้ชัดว่าไม่จำเป็นแล้ว

“ข้าขอดูป้ายคำสั่งเซียนเหินของเจ้าหน่อย”

จ้าวจิ่งเซวียนฉวยมา พอพลิกดูเล็กน้อยเนตรงามก็เบิกกว้างอย่างห้ามไม่อยู่ เอ่ยตกตะลึงว่า “ชะตามรรคผลงานรบแปดร้อยสามสิบเก้าสายหรือ เจ้าถึงกับฆ่าอริยะไปมากขนาดนี้เชียว”

หากต้องการรวบรวมชะตามรรคผลงานรบ ก็ต้องล่าสังหารคู่ต่อสู้ระดับผู้กล้าไม่ก็อริยะ ทุกครั้งที่ฆ่าได้คนหนึ่งก็จะได้รับชะตามรรคผลงานรบสายหนึ่ง

ชะตามรรคผลงานรบแปดร้อยสามสิบเก้าสาย แค่คิดก็รู้ว่าจำนวนอริยะกับผู้กล้าที่ตายด้วยน้ำมือหลินสวินมากมายขนาดไหน!

จ้าวจิ่งเซวียนมองดูป้ายคำสั่งเซียนเหินของเจี้ยนชิงเฉินอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ ภายในบันทึกชะตามรรคผลงานรบไว้สี่ร้อยสิบสาย ยังไม่ถึงครึ่งของหลินสวินด้วยซ้ำ

สิ่งเดียวที่ทำให้จ้าวจิ่งเซวียนสงบใจลงก็คือ ในป้ายคำสั่งเซียนเหินของอาหู กระทั่งตอนนี้ยังว่างเปล่า

ต่อให้เป็นเช่นนี้ดวงตากระจ่างที่นางมองหลินสวินก็ยังเจือแววประหลาดอยู่ดี “พูดกันว่าเจ้าคือเทพมารหลินที่ฆ่าคนไม่เลือกหน้า ดูท่าจะเป็นเช่นนี้จริงๆ เสียแล้ว”

หลินสวินเขกหน้าผากขาวเปล่งปลั่งของนางทีหนึ่ง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าคิดว่าข้าชอบฆ่าคนแต่กำเนิดสินะ”

จ้าวจิ่งเซวียนเม้มปากยิ้ม รอยยิ้มมีเสน่ห์เย้ายวน เอ่ยว่า “อย่าโกรธสิ ต่อให้เจ้าคลั่งไคล้การฆ่าคนข้าก็ชอบ”

หลินสวินใจเต้น รั้งเอวบางจนแขนเดียวโอบรอบได้ของอีกฝ่ายเอาไว้ แล้วก้มลงไปจูบ

จ้าวจิ่งเซวียนหมายเล่นตัวสักหน่อยแต่ก็เปลืองแรงเปล่า ลงท้ายก็ครางเสียงอื้อคราหนึ่ง ตัวนางจมดิ่งลงไปในความหวานละมุนคล้ายถูกไฟร้อนแรงสุมอก

……

เวลาเคลื่อนคล้อย วันแล้ววันเล่าผ่านไป

ผ่านไปแล้วยี่สิบกว่าวันหลังจากแดนลับสนามแม่เหล็กมาเยือน

คลื่นลมในโลกรกร้างโบราณสงบราบเรียบ ไม่มีร่องรอยของศัตรูปรากฏขึ้นอีก ส่วนในค่ายทัพแปดดินแดนก็ต่างจำศีล เหมือนลดธงศึกหยุดเสียงกลอง

สมรภูมิเก้าดินแดนอันกว้างใหญ่ถึงกับเงียบสงบอย่างแปลกประหลาด

แต่นี่ย่อมเป็นอาการอย่างหนึ่งที่ว่า ในความมืดมิดยังมีกระแสคลื่นซ่อนเร้นไหวเคลื่อนไม่รู้เท่าไร!

‘หากคิดจะช่วยอาหูเก็บสะสมชะตามรรคผลงานรบให้มากพอ ก็ทำได้เพียงเข้าไปในสมรภูมิเซียนเหินนั่นแล้ว…’

วันนี้หลินสวินนั่งลอยล่องบนเมฆมงคลที่อยู่เหนือน้ำทะเลก้อนหนึ่ง จมสู่ภวังค์

ในค่ายทัพแต่ละดินแดนต่างมีป้ายคำสั่งเซียนเหินเก้าชิ้น รวมทั้งสิ้นมีแปดสิบเอ็ดชิ้น

หากต้องการกระตุ้นป้ายคำสั่งเซียนเหิน มีโอกาสเข้าไปในแหล่งสถานคุนหลุน ก็ต้องเก็บรวบรวมชะตามรรคผลงานรบให้ได้หนึ่งพันสาย

ดูเหมือนง่าย แต่หลินสวินกลับรู้ดีว่าการเก็บสะสมชะตามรรคผลงานรบนั้นยากเย็นแค่ไหน!

ถ้าคำนวณด้วยจำนวนที่ล่าสังหารอริยะ ป้ายคำสั่งเซียนเหินชิ้นหนึ่งก็ต้องล่าคู่ต่อสู้ระดับอริยะแท้ให้ได้หนึ่งพันคน

ป้ายเก้าชิ้น ก็คืออริยะเก้าพันคน

ป้ายแปดสิบเอ็ดชิ้น ก็คืออริยะแปดหมื่นหนึ่งพันคน!

แต่มองดูทั้งสมรภูมิเก้าดินแดน อย่าว่าแต่มีอริยะแปดหมื่นหนึ่งพันคนเลย เอาค่ายทัพเก้าดินแดนทั้งหมดมารวมกัน อย่างมากที่สุดก็มีไม่ถึงหนึ่งหมื่นคน

นี่ก็หมายความว่า แม้กล่าวว่ามีป้ายคำสั่งเซียนเหินแปดสิบเอ็ดชิ้น แต่ไม่มีทางที่ป้ายคำสั่งเซียนเหินทุกชิ้นจะรวบรวมชะตามรรคผลงานรบได้เพียงพออย่างเด็ดขาด!

อิงตามที่อาหูว่าไว้ หลังจากการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งแรก สุดท้ายมีป้ายคำสั่งเซียนเหินเจ็ดชิ้นเท่านั้นที่สะสมชะตามรรคผลงานรบได้ครบ

ส่วนการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งที่สอง มีเพียงห้าชิ้น

ด้วยถึงอย่างไรต่อให้จำนวนอริยะอาจมีมากมายมหาศาล แต่ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องถูกผู้แข็งแกร่งที่ถือป้ายคำสั่งเซียนเหินสังหาร!

จากจุดนี้ แค่คิดก็รู้ว่าหมายจะเก็บสะสมชะตามรรคผลงานรบที่ป้ายคำสั่งเซียนเหินชิ้นหนึ่งต้องใช้ จะยากลำบากเพียงไหน

และตอนนนี้ หลินสวินยังแบกภารกิจที่ต้องช่วยอาหูสะสมชะตามรรคผลงานรบด้วย คิดจะทำให้ได้ตามเป้าหมายก็ยิ่งดูลำบากเสียแล้ว

ทว่า จริงๆ แล้วก็มีวิธี นั่นก็คือ ‘สมรภูมิเซียนเหิน’!

มีเพียงผู้ที่ถือป้ายคำสั่งเซียนเหินเท่านั้น ที่ยามสมรภูมิเซียนเหินมาเยือนจึงจะถูกดึงเข้าไปข้างในเพื่อชิงชะตามรรคผลงานรบ

ลือกันว่าในสมรภูมิเซียนเหินมี ‘วิญญาณเซียนเหิน’ มากมาย แต่ละตนต่างมีพลังต่อสู้ไม่ด้อยกว่ามกุฎอริยะแท้ น่ากลัวหาใดเทียบ

แต่ขอเพียงล่าสังหารมันได้ก็จะเก็บชะตามรรคผลงานรบได้สายหนึ่ง

ที่สำคัญที่สุดก็คือ ในแดนลับนี้หากผู้ถือป้ายคำสั่งเซียนเหินเข่นฆ่ากันเอง จะสามารถชิงชะตามรรคผลงานรบที่อยู่ในป้ายคำสั่งเซียนเหินของอีกฝ่ายมาได้!

ตามที่หลินสวินเข้าใจ การชิงชัยในสมรภูมิเซียนเหินในอดีต การเข่นฆ่าทำนองนี้พบเห็นได้บ่อยนัก

“ถ้าข้าเป็นบุคคลระดับผู้นำอย่างคุนเซ่าอวี่ จะต้องเลือกร่วมมือกันโจมตีเจ้าถึงตายในสมรภูมิเซียนเหินแน่”

จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยเตือนเสียงค่อย

หลินสวินเห็นด้วยอย่างยิ่ง พูดว่า “นี่มันแน่อยู่แล้ว เกรงว่าตอนนี้พวกเขาคงชังข้าเข้ากระดูกดำ มองข้าเป็นภัยคุกคามชั้นหนึ่งไปนานแล้ว แต่ว่า…”

เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ยิ้มเอ่ยว่า “อย่างนี้สิยิ่งดี ข้ากำลังกังวลว่าจะไม่มีทางรวมชะตามรรคผลงานรบได้มากพอ ถ้าพวกเขามาเยือนถึงที่ ข้ายิ้มรับทีละคนก็พอแล้ว”

จ้าวจิ่งเซวียนถลึงตาใส่เขา “เจ้าฟังไม่ออกหรือว่าข้าเป็นห่วง”

หลินสวินยิ้มพลางโอบจ้าวจิ่งเซวียนไว้ในอ้อมกอด ใช้มือลูบผมเรียบลื่นเป็นประกายดุจผ้าไหมของอีกฝ่าย กลิ่นกายอ่อนๆ วนเวียนอยู่ที่ปลายจมูก ในใจรู้สึกสงบสบายอย่างบอกไม่ถูก

“เจ้าก็รู้ว่านี่คือการต่อสู้แห่งเก้าดินแดน พวกเราดินแดนรกร้างโบราณแพ้ย่อยยับไปสองครั้งแล้ว คราวนี้ในเมื่อข้ามาแล้ว ก็ต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีพลิกสถานการณ์นี้”

“สมรภูมิเซียนเหินคราวนี้ก็คือโอกาสที่ดียิ่งครั้งหนึ่ง พวกเขาอยากฆ่าข้า มีหรือข้าจะไม่คิดกำจัดพวกเขา”

“ลองคิดดูว่าถ้าบุคคลระดับผู้นำอย่างพวกคุนเซ่าอวี่ถูกกำจัดทีละคน ขุมอำนาจค่ายทัพที่พวกเขาอยู่ก็จะกลายเป็นมังกรไร้หัว ได้รับความเสียหายอย่างหนัก!”

“ถึงตอนนั้นค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณก็จะสามารถถือโอกาสผงาดขึ้นแล้วกวาดล้างให้ราบทีละค่าย”

พูดถึงตรงนี้ในดวงตาดำของหลินสวินก็เผยแววโอหังและแน่วแน่ “เช่นนี้แล้ว การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนคราวนี้ จะต้องปิดฉากลงด้วยชัยชนะยิ่งใหญ่ของดินแดนรกร้างโบราณของข้า!”

จ้าวจิ่งเซวียนแนบอิงอยู่ในอ้อมกอดหลินสวิน ดวงตางามจับจ้องใบหน้าของหลินสวิน พอได้ยินคำพูดทีเจือไปด้วยความเชื่อมั่นและวาดหวังของเขาก็ไม่รู้สึกว่าโง่งมแล้ว

เจ้าเหมือนดั่งเซียนจากสวรรค์ ในโลกใครเล่าจะกล้าเป็นศัตรู

“ดังนั้นคราวนี้ข้าต้องไปแน่ อาจจะอันตรายหาใดเทียบ แต่ขอเพียงชนะก็จะเปลี่ยนสถานการณ์ของสมรภูมิเก้าดินแดนได้!”

หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบ

เหนือน้ำทะเลไพศาล ทั้งสองอิงแอบกันบนเมฆมงคล ไกลออกไปคลื่นขึ้นสูงและลงต่ำ ฟ้าดินกว้างไกลดุจภาพเขียน

หลายวันต่อมา

ประตูแดนลับสนามแม่เหล็กที่สร้างขึ้นเหนือห้วงอากาศเกิดคลื่นกฎระเบียบฟ้าดินอัศจรรย์คลุมเครือ ละอองแสงประกายศักดิ์สิทธิ์ปลิวว่อน

หลินสวินสองมือไพล่หลัง ยืนเคียงกับจ้าวจิ่งเซวียน พากันทอดสายตามองไป

หนึ่งเดือนแล้ว การช่วงชิงวาสนาในแดนลับสนามแม่เหล็กกำลังจะปิดฉากลงในที่สุด จะมีผู้เป็นเลิศจากดินแดนรกร้างโบราณบรรลุมกุฎอริยะในนี้กี่คนกันแน่

——

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

BRCO, Tian Jiao Zhan Ji, 天骄战纪
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset