ท่ามกลางละอองแสงปลิวว่อน ทันใดนั้นมีเงาร่างหนึ่งถลาออกมาจากทางเข้าแดนลับสนามแม่เหล็ก ร่างกายเจิดจรัสไปหมด
“ข้าแจ้งมรรคเป็นอริยะ อสนีวาโยโกรธา หมู่มัจฉาโหดเหี้ยม ชาวโลกทั้งหลาย ใครจะรับรู้ความล้ำเลิศของข้าได้”
คนผู้นั้นแต่งกายชุดเขียวทั้งตัว ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาสีทองเจิดจ้า ทั้งยังพูดจาโอ้อวดหลงตัวเองเช่นนี้ ไม่ใช่เจ้าคางคกแล้วจะเป็นใคร
เสียงหัวเราะร่าอาจหาญเปิดเผยเสียงหนึ่งดังขึ้นตามมาติดๆ “สหายยุทธ์จิน เหตุใดจึงชิงมาก่อนก้าวหนึ่ง ไม่สู้แล้วหรือ”
ก็เห็นว่าเซี่ยวชางเทียนก้าวเท้าออกมา ผมยาวปลิวไสว ดวงตาเรียวราวสายฟ้า
“หึ คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า!”
แทบจะในเวลาเดียวกัน เจตกระบี่ทะลวงเมฆาที่ดุดันหาใดเทียบปรากฏขึ้นในที่นั้น มารกระบี่เย่เฉินที่ผมสีม่วงทั้งหัวปลิวไสวสะพายกระบี่ออกมา เงาร่างจองหอง
ตูม!
แต่ไม่นานนักก็มีพลังบ้าคลั่งที่แผ่กลิ่นอายโบราณรเวิ้งว้างออกมาปรากฏขึ้น อาหลู่ที่เงาร่างสูงใหญ่ดั่งหอคอยเหล็กยกกระบองเหล็กเล่มหนึ่งพุ่งออกมา
เขาฉีกยิ้ม ฟันขาวสะอาดราวหิมะ ท่าทางหยาบกระด้าง “มาๆๆ ใครไม่พอใจมาตีกับข้าได้ตามสบาย!”
ปึง!
แต่พอเสียงพูดอาหลู่เพิ่งเงียบลง เงาร่างเขาก็ซวนเซ ร้องเสียงดังเจ็บปวดว่า “โอ๊ย เสี่ยวอิ๋นจื่อ เจ้ามาลอบโจมตีข้าทำบ้าอะไร!”
เงาร่างของเสี่ยวอิ๋นเคลื่อนออกมาจากร่างเขา ชุดสีขาวโพลน แขนทั้งสองข้างกอดอก ใบหน้าเล็กที่หล่อเหลาหาใดเทียบเต็มไปด้วยความโอหังและเย็นชา “เจ้าไม่ได้อยากสู้กันหรอกหรือ ข้าเพียงแต่สงเคราะห์ไอ้โง่ตัวใหญ่อย่างเจ้าเท่านั้นเอง”
“กล้าสู้อีกรอบไหมล่ะ”
อาหลู่ร้องเสียงดังท้าทาย
“เอาจริงหรือ”
เสี่ยวอิ๋นเลิกคิ้ว กิริยาท่าทางเช่นนี้เหมือนกับหลินสวินเจ้านายของเขาอย่างกับแกะ
ยามเอ่ยวาจา ผีเสื้อสีดำสนิทอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแรกกำเนิดตัวหนึ่งโรยตัวลงบนไหล่ของเสี่ยวอิ๋นอย่างแผ่วเบา
พอมองเห็นผีเสื้อตัวนี้ อาหลู่ก็หุบปากทันควัน เขาไม่กลัวเสี่ยวอิ๋น แต่ถ้าเป็นเสี่ยวอิ๋นกับเสี่ยวเทียนอยู่ด้วยกัน… ทำให้เขาปวดเศียรเวียนเกล้าได้
ควรรู้ว่าในแดนลับสนามแม่เหล็ก เจ้าสองคนนี้ร่วมมือกันก็เหมือนดาวพิฆาตคู่หนึ่งแท้ๆ เหิมเกริมไม่หวั่นกลัว ทำเอาผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไรหนีหัวซุกหัวซุน
“พวกเจ้าตีกันตามสบาย ข้าไม่อยากผสมโรง”
ละอองแสงคล้ายรุ้งทอสายหนึ่งไหลเวียน เผยเงาร่างของจี้ซิงเหยาที่บุคลิกสง่างาม บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว
ข้างกายนาง ลั่วเจียยืนอย่างน่ามองอยู่ นุ่มนวลดั่งกล้วยไม้ สง่างามเด่นล้ำ
“ฮ่าๆๆ ทุกท่านน่าสนใจดีจัง พวกเรามาแลกเปลี่ยนวิชากันดีไหม”
เสียงหัวเราะร่าอันอ่อนโยนดังขึ้น พวกหมีเหิงเจินกับเย่หมัวเฮอกรูกันออกมา
ชั่วขณะเดียวบริเวณทะเลแถบนี้ก็มีเงาร่างมากมายยืนอยู่กลางอากาศ ท่วงทำนองมรรคศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียนรอบกาย แต่ละคนพลานุภาพเหลือคณา
ดุจดั่งหมู่ดาวเปล่งประกายบนเวิ้งฟ้า ส่องสว่างไปทั้งทะเลนี้!
เห็นภาพเช่นนี้หลินสวินยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ความรู้สึกภาคภูมิในใจเกิดขึ้นมาเอง ก้าวออกมาข้างหน้าเอ่ยว่า “หากทุกท่านต้องการแลกเปลี่ยนวิชา ก็รวมข้าไปด้วยคนหนึ่งจะเป็นอย่างไร”
“ไม่เอา!”
ทุกคนแทบจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน คิดยังไม่คิดก็ปฏิเสธไปแล้ว
ล้อเล่นอะไรกัน แลกเปลี่ยนวิชากับเจ้าเทพมารหลิน จะต่างอะไรกับรนหาที่ตาย
หลินสวินถูกปฏิเสธจนทำตัวไม่ถูก ออกจะจนใจอย่างห้ามไม่อยู่ “แค่แลกเปลี่ยนวิชาเท่านั้นเอง ทำไมต้องตื่นเต้นกันแบบนี้ด้วย”
ทุกคนยังส่ายหัวดังเดิม
มีเพียงอาหลู่ที่กระตือรือร้นอยากลองดู ร้องขึ้นมาว่า “พี่ใหญ่ ไม่งั้นพวกเรามาเล่นกันไหม”
ไม่ทันรอให้หลินสวินเอ่ยปาก เสี่ยวอิ๋นกับเสี่ยวเทียนก็ปรากฏตัวหน้าอาหลู่ อาหลู่อัดอั้นนัก เอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “ช่างเถอะ ไม่เล่นแล้ว!”
ทุกคนต่างหัวเราะเสียงดังอย่างห้ามไม่อยู่
ไม่นานนักก็มีบุคคลขอบเขตมกุฎเดินออกมาจากแดนลับสนามแม่เหล็ก เพียงเห็นว่าสีหน้าออกจะเศร้าซึมไม่มากก็น้อย
ในกลุ่มนั้นก็มีเพื่อนที่หลินสวินผูกมิตรไว้อย่างเยวี่ยเจี้ยนหมิง เซียวชิงเหอ
หลินสวินมองออกแทบจะในปราดเดียวว่าพวกเขาไม่ได้บรรลุมกุฎอริยะ ก็ทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้
แม้ในแดนลับสนามแม่เหล็กจะมีวาสนาใหญ่ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะช่วงชิงมาได้ นี่ก็คือความจริง
ยังดีที่ในสมรภูมิเก้าดินแดนไม่ขาดโอกาสบรรลุมกุฎอริยะ ไม่มีแดนลับสนามแม่เหล็กแล้ว ภายหน้าก็ยังมีวาสนาอื่นมาเยือนอีก
ด้วยการสอบถาม หลินสวินจึงรู้ว่าผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณที่เข้าไปในแดนลับสนามแม่เหล็กคราวนี้ มีทั้งสิ้นยี่สิบเก้าคนที่บรรลุมกุฎอริยะ
นี่เป็นความสำเร็จที่น่าตกใจแล้ว
อย่างใน ‘แดนลับนรกโลกันตร์’ คราวก่อน สุดท้ายก็มีผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนเพียงสิบเจ็ดคนคว้าโอกาสนี้บรรลุระดับมกุฎอริยะ
“พี่ใหญ่ เข้าไปในแดนสนามแม่เหล็กคราวนี้ สาเหตุที่ข้ากับพวกเจ้าคางคกบรรลุมกุฎอริยะได้ ข้อแรกก็เพราะศักยภาพของพวกเราแข็งแกร่งพอ แต่ก็เป็นเพราะสหายยุทธ์คนอื่นตั้งใจหลีกทางให้ด้วย”
เจ้าคางคกพลันสื่อจิตเสียงเบาว่า ‘พวกเขารู้กันหมดว่าพวกเราสนิทชิดเชื้อกับเจ้า และคราวนี้ที่เข้าไปในแดนลับสนามแม่เหล็กได้ก็หนีไม่พ้นความช่วยเหลือของเจ้า ดังนั้นในการประชันในแดนลับสนามแม่เหล็ก ถึงไม่ได้ทำให้พวกเราพบกับอุปสรรคขนาดนั้น จึงแจ้งมรรคได้อย่างราบรื่น’
หลินสวินชะงักไป ในใจปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ เอ่ยว่า ‘วางใจเถอะ ภายหน้าข้าจะช่วยพวกเขาช่วงชิงโอกาสมากยิ่งขึ้น’
เจ้าคางคกพยักหน้า
ก็ในวันนั้นเอง ทุกคนออกจากทะเลผาดำกลับไปที่เมืองอารักษ์มรรค!
……
“ตอนนี้ในสมรภูมิเก้าดินแดน ค่ายทัพดินแดนโบราณมารโลหิตไม่น่ากลัวแล้ว ค่ายทัพดินแดนโบราณอสูรดาวกับดินแดนโบราณหม่อนบูรพาก็บาดเจ็บล้มตายไปมากยิ่งนัก ไม่อาจสร้างภัยคุกคามที่แท้จริงให้พวกเราดินแดนรกร้างโบราณได้อีก”
“ส่วนเจี้ยนชิงเฉินตายแล้ว ค่ายทัพดินแดนโบราณต้าหลัวกลายเป็นมังกรไร้หัว”
ในเมืองอารักษ์มรรค เซ่าเฮ่ากำลังสนทนากับรั่วอู่ วิเคราะห์ภาพรวมในสมรภูมิ
“ที่ควรค่าให้หวาดหวั่นก็เหลือเพียงค่ายทัพจากสี่ดินแดนอย่างขุมอุดร เพลิงสวรรค์ ยอดหยินและจิ่วหลี”
รั่วอู่พยักหน้า ยิ้มเอ่ยว่า “สถานการณ์เช่นนี้แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมากนัก พอคำนวณโดยละเอียด ตั้งแต่สมรภูมิเก้าดินแดนเปิดจนถึงตอนนี้ยังไม่ถึงสองปี สถานการณ์ของพวกเราค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณก็แตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิงแล้ว”
เซ่าเฮ่าก็ยิ้มขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ทอดถอนใจเอ่ยว่า “หากเป็นก่อนหน้านี้ ข้าไม่กล้าจินตนาการจริงๆ ว่าภายในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าดินเช่นนี้ได้”
ต่างกันจริงๆ
ในตอนแรกผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณทำได้เพียงหลบซ่อน หลบหนี และอดทนอยู่เงียบๆ ถูกข่มเหงรังแก เหยียบย่ำและสังหาร ถูกมองว่าเป็นแพะสองขา
แต่ตอนนี้พวกเขาได้ครอบครองเมืองอารักษ์มรรคที่แข็งแกร่งไม่อาจถูกทำลาย หยัดยืนอย่างมั่นคงแล้ว! ไม่ต้องหวาดกลัวตื่นตระหนกอีก!
และความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะหลินสวินคนเดียว!
“จริงสิ วันนี้ก็คือวันที่แดนลับสนามแม่เหล็กปิดฉากลง หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน ต่อแต่นี้ไปพวกเราค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณจะมีมกุฎอริยะเพิ่มขึ้นกลุ่มหนึ่ง!”
เซ่าเฮ่าพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ ลุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เอ่ยว่า “ไป พวกเราไปดูที่หอกำแพงเมืองกัน ไปต้อนรับพวกเขาที่ได้ชัยชนะกลับมา!”
วันนี้ ในเมืองอารักษ์มรรคผู้แข็งแกร่งมากมายหยุดทำธุระที่ทำอยู่ มารอหน้าเมืองด้วยกันกับเซ่าเฮ่าและรั่วอู่
สีหน้าแต่ละคนต่างเจือไปด้วยแววรอคอย
เทียบกับความพ่ายแพ้ย่อยยัยและความอัปยศอดสูในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งก่อน สถานการณ์ของค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณของพวกเขาในสมรภูมิเก้าดินแดนตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว!
นี่ทำให้แต่ละคนเต็มไปด้วยความตั้งตาคอยอนาคตอย่างเต็มเปี่ยม ไม่มองโลกในแง่ร้ายและสิ้นหวังอย่างแต่ก่อนอีก
“กลับมาแล้ว!”
ทันใดนั้นมีคนร้องเสียงดังตื่นเต้น
ก็เห็นว่าในห้วงอากาศไกลออกไป รุ้งเทพราวสายฝนมืดฟ้ามัวดิน แสงสีเจิดจรัสกำลังส่งเสียงหวีดหวิวมาทางนี้
ที่นำหน้ามาคือหลินสวิน!
ทันใดนั้นสายตาทุกคู่ในเมืองอารักษ์มรรคต่างมองไปทางเดียวกัน ทุกคนต่างส่งเสียงไชโยโห่ร้องออกมาอย่างอดไม่ได้
วันนี้หลินสวินนำจ้าวจิ่งเซวียนกับมกุฎอริยะยี่สิบเก้าคน รวมถึงเหล่าผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณกลับมาจากทะเลผาดำ ทำให้อึกทึกครึกโครมไปทั้งเมือง
คืนนี้ในเมืองเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะรื่นเริง งานสร้างสรรค์มากมาย คลื่นเสียงเซ็งแซ่อื้ออึง ย้อมท้องฟ้ายามราตรีด้วยบรรยากาศยินดีปรีดา
ตั้งแต่นี้ไปหากรวมหลินสวิน จ้าวจิ่งเซวียน เซ่าเฮ่าและรั่วอู่เข้าไปด้วย ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณก็มีมกุฎอริยะสามสิบสามคนแล้ว!
คนเหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลแห่งยุครุ่นเยาว์จากดินแดนรกร้างโบราณ พลังแฝงน่าตื่นตะลึง พรสวรรค์เหนือธรรมดา หนทางข้างหน้าไร้ขีดจำกัด
เส้นทางสู่การผงาดขึ้นของบุคคลขอบเขตมกุฎแต่ละคนจากดินแดนรกร้างโบราณต่างเต็มไปด้วยความยากลำบาก อุปสรรคและการเคี่ยวกรำ ไม่เหมือนกับแปดดินแดนอื่น
ความเคี่ยวกรำเช่นนี้เหมือนการหล่อหลอมสูงสุด ยามพวกเขาผงาดขึ้นเป็นมกุฎอริยะ พลังต่อสู้ที่มีก็ย่อมไม่อาจเทียบกับผู้แข็งแกร่งแปดดินแดน!
พูดอย่างไม่เกินเลยได้ว่าดินแดนรกร้างโบราณไม่ขาดอัจฉริยะ สิ่งที่ขาดก็มีเพียงแค่หนทางสู่มกุฎมรรคาที่พวกเขาเสาะหาเท่านั้น!
ตั้งแต่วันนี้ไป ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณไม่ต้องหดหัวอยู่ในเมืองอารักษ์มรรคอีก เริ่มลาดตระเวนและควบคุมโลกรกร้างโบราณได้อย่างแท้จริง
เพราะที่นี่เดิมทีก็ถือเป็นอาณาเขตของพวกเขาอยู่แล้ว!
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะพวกเขาอ่อนแอ ไม่อาจไปป้องกัน แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว แม้มีศัตรูมาเยือน พวกเขาก็ไม่กลัวแล้ว
ส่วนข่าวที่ว่าค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณมีมกุฎอริยะเพิ่มขึ้นยี่สิบเก้าคนก็รู้กันทั้งสมรภูมิอย่างรวดเร็ว
ในชั่วขณะเดียว เสียงทอดถอนใจ ชิงชังและจนใจดังขึ้นไม่รู้เท่าไร
ค่ายทัพทั้งแปดดินแดนต่างรับรู้ได้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปแล้ว ดินแดนรกร้างโบราณต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เปรียบดั่งแพะสองขาตัวหนึ่งแปลงกายเป็นสัตว์อสูรเขี้ยวแหลมคมตัวหนึ่ง มีรากฐานพลังและความสามารถที่จะงัดข้อกับพวกเขาได้!
“ยอมให้พวกเขาจองหองไปก่อน รอสมรภูมิเซียนเหินมาเยือน พอหลินสวินตาย ดูซิว่าดินแดนรกร้างของพวกเขาจะยังกล้าจองหองได้อีกไหม!”
โลกขุมอุดร คุนเซ่าอวี่ดวงตาอบอวลไปด้วยไอสังหารราวทะเลไพศาลซัดสาด
“หลินสวิน ถ้าเจ้าไม่ตาย ไม่แน่ว่าดินแดนรกร้างโบราณอาจจะล้างความอัปยศในอดีต พลิกสถานการณ์ที่ต้องพ่ายแพ้ไปได้จริงๆ น่าเสียดาย ในสมรภูมิเซียนเหินเจ้าย่อมไม่มีทางหนี”
โลกจิ่วหลี ชืออู๋ซู่เสียงดังกึกก้องสะเทือนทั้งโถงใหญ่ ทำให้เมฆสิบทิศแตกออก
“เหลือเพียงห้าเดือนก่อนสมรภูมิเซียนเหินจะมาเยือน ใกล้แล้ว… ใกล้แล้ว…”
โลกยอดหยิน จู๋อิ้งคงพึมพำ ไอสังหารน่าหวาดหวั่นผุดขึ้นในดวงตา
เสียงเจือความแค้นและไอสังหารทำนองนี้ดังขึ้นในโลกเพลิงสวรรค์ มารโลหิต อสูรดาว หม่อนบูรพาในเวลาเดียวกัน
บุคคลระดับผู้นำเหล่านั้นล้วนกำลังรอคอย รอคอยเวลาที่สมรภูมิเซียนเหินจะมาเยือน!
ขณะเดียวกันหลินสวินกลับเริ่มปิดด่าน เข้าสู่การฝึกฝน
สมรภูมิเซียนเหินเป็นสถานที่โกลาหลปั่นป่วนแห่งหนึ่ง ผู้ที่สามารถเข้าไปในนั้นได้ต่างเป็นผู้แกร่งกล้าที่ครอบครองป้ายคำสั่งเซียนเหิน
นี่ก็กำหนดไว้เช่นกันว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในนั้นคือการประชันกันของผู้เป็นยอดขอบเขตมกุฎที่แท้จริง เป็นการประลองของผู้มีระดับมกุฎอริยะที่หาได้ยากที่สุด!
กล่าวอย่างไม่เกินเลยได้ว่า ผู้ใดสามารถครองความเป็นหนึ่ง พลังกดข่มเหล่าคนระดับเดียวกันได้ ผู้นั้นก็จะเป็นอันดับหนึ่งในระดับมกุฎอริยะรุ่นเยาว์!
ความจริงแล้วในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งก่อน สมรภูมิเซียนเหินก็มีความหมายพิเศษทำนองนี้เช่นกัน
และสำหรับบุคคลระดับผู้นำแล้ว ไม่ได้เรียบง่ายเพียงเก็บรวบรวมชะตามรรคผลงานรบเท่านั้น
ยิ่งหมายความว่า เมื่อผ่านการชิงชัยครั้งนี้ไป ก็จะตัดสินได้ว่าใครกันที่เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเก้าดินแดน!
ลมเมฆเก้าดินแดน รอเพียงเซียนเหิน!
——