ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งแรก ผู้ที่ได้ตำแหน่ง ‘อันดับหนึ่ง’ ในสมรภูมิเซียนเหินคือชายหนุ่มจากดินแดนโบราณต้าหลัวคนหนึ่งนามว่า ‘ชิงอวี่’ ตอนนี้เขาได้รับการยกย่องเป็น ‘จักรพรรดิกระบี่ชิงอวี่’ มานานแล้ว
‘กระบี่จักรพรรดิอักษรบัญชา’ ที่ถูกหลินสวินชิงมาจากเจี้ยนชิงเฉิน ก็คือกระบี่คู่กายที่คนผู้นี้แจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิ กระบี่ไม้ธรรมดานัก ทว่าเพราะเจ้าของของมันจึงแตกต่าง
ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งที่สอง อันดับหนึ่งในสมรภูมิเซียนเหินคือชายหนุ่มจากดินแดนโบราณขุมอุดรคนหนึ่งนามว่า ‘คุนหลิง’
คนผู้นี้หลังบรรลุจักรพรรดิ ก็ถูกเรียกว่า ‘จักรพรรดิคุน’ เหมือนชิงอวี่!
มีตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่หาใดเทียบประหนึ่งยักษ์ใหญ่ในตำนานทั้งสองนี้ ต่อให้เป็นหลินสวินยังไม่อาจไม่สนใจการประชันในสมรภูมิเซียนเหิน
ตอนเผชิญหน้ากับเจี้ยนชิงเฉิน สาเหตุสำคัญข้อหนึ่งที่ฝ่ายหลังไม่อยากลงมือก็เพราะยังพะวงกับสมรภูมิเซียนเหินอยู่ ตอนนั้นจึงไม่ต้องการสู้กับหลินสวินให้ตายกันไปข้างหนึ่ง
“ยามข้าไปสมรภูมิเซียนเหิน แปดดินแดนจะต้องส่งกองทัพมารุกรานแน่ จึงทำได้เพียงรบกวนทุกท่าน ถึงตอนนั้นอยู่เฝ้าระวังที่นี่ ร่วมกันป้องกันศัตรูภายนอก”
ก่อนปิดด่าน หลินสวินเรียกรวมตัวเหล่ามกุฎอริยะเพื่อประชุมกัน
“พี่หลิน เช่นนี้เสี่ยงเกินไป!”
ทันใดนั้นทุกคนพากันเอ่ยปราม
ตลกน่า ให้หลินสวินไปสู้เอาเป็นเอาตายคนเดียว พวกเขาจะทนได้อย่างไร
“ทุกท่าน ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนคราวนี้ เป้าหมายสุดท้ายของพวกเราค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณก็คือล้างความอัปยศอดสูแต่กาลก่อน แก้แค้นแทนเมธีผู้เคยสละเลือดเนื้อที่นี่เหล่านั้น”
หลินสวินเอ่ยสีหน้าจริงจังว่า “ส่วนศึกสมรภูมิเซียนเหินกลับเป็นเรื่องรอง ขอเพียงมีพวกเจ้าอยู่ ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณก็จะไม่เป็นอันตรายถึงขั้นล่มสลายโดยสิ้นเชิง”
ทุกคนต่างเงียบงัน สีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ
ความจริงแล้วพวกเขาก็รู้ดีว่าสมรภูมิเซียนเหินนั้นไม่ได้เข้าไปได้ง่ายดายปานนั้น แต่ละดินแดนอย่างมากที่สุดก็มีเพียงเก้าคนที่เข้าไปในนั้นได้
ต่อให้พวกเขาทุกคนต้องการสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหลินสวินก็ย่อมเป็นไปไม่ได้
ทว่าพวกเขายังไม่วางใจอยู่ดี ผู้ที่ครอบครองป้ายคำสั่งเซียนเหินของอีกแปดดินแดนล้วนเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งนั้น ถ้าพวกเขาร่วมมือกัน หลินสวินคนเดียวจะต้านไหวหรือ
“ทุกท่าน ข้าไม่ได้ไปคนเดียว คราวนี้มีเสี่ยวอิ๋นกับเสี่ยวเทียนไปกับข้าด้วย”
หลินสวินยิ้มพลางเอ่ยปาก
เสี่ยวอิ๋นเป็นลูกหลานหนอนกินเทพ และยังเป็นหนอนกินเทพที่บรรลุระดับมกุฎอริยะ! ความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้ ทุกคนก็ได้เห็นด้วยกันตั้งแต่ในแดนลับสนามแม่เหล็กแล้ว
และเสี่ยวเทียนก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เป็นลูกหลานเผ่าผีเสื้อมารแยกฟ้า ครอบครองอภินิหารอันน่ากลัวประหนึ่งการฉีกแยกท้องนภา ตอนนี้มันก็บรรลุมกุฎอริยะเช่นกัน
มีทั้งสองอยู่ ย่อมเป็นกำลังเสริมอันใหญ่ยิ่งแก่หลินสวินได้จริงๆ
“พี่ใหญ่ ข้ากับอาหลู่ล่ะ”
เจ้าคางคกเอ่ยอย่างอดไม่ได้
เขาไม่พอใจนัก คิดว่าหลินสวินลำเอียง พาไปแค่เสี่ยวอิ๋นกับเสี่ยวเทียน แต่กลับทิ้งเขากับอาหลู่ไว้ ไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว
หลินสวินยิ้มขึ้นพลางพูดว่า “พวกเจ้าอยู่ต้านศัตรูภายนอกจากแปดดินแดน หากเมืองแตก ข้าจะไม่เอาพวกเจ้าไว้”
เจ้าคางคกกับอาหลู่ต่างทอดถอนใจเฮือกหนึ่ง
ทุกคนเห็นดังนี้ก็รู้ว่าหลินสวินตั้งใจแน่วแน่ไปแล้ว ไม่เกลี้ยกล่อมอีก
แล้วหลินสวินก็เอ่ยปากพูดว่า “ทุกคนที่ครอบครองป้ายคำสั่งเซียนเหิน จะเอามาให้ข้าก็ได้ ข้าจะช่วยทุกคนเก็บรวบรวมชะตามรรคผลงานรบอย่างสุดความสามารถ”
เซ่าเฮ่า รั่วอู่ เย่หมัวเฮอ จี้ซิงเหยา หมีเหิงเจิน และลั่วเจียล้วนมีป้ายคำสั่งเซียนเหินอยู่คนละชิ้น แต่พวกเขาต่างปฏิเสธความปรารถนาดีของหลินสวินโดยมิได้นัดหมาย พูดว่าต้องการสังหารศัตรูเอง เก็บสะสมชะตามรรคผลงานรบด้วยการกระทำเช่นนี้
ความจริงแล้วในใจพวกเขาล้วนไม่ต้องการให้หลินสวินสู้เอาเป็นเอาตายกับศัตรูพวกนั้น เพื่อช่วยพวกเขาเก็บสะสมชะตามรรคผลงานรบ
หลินสวินเห็นดังนี้ก็ไม่คะยั้นคะยอ เพียงเอ่ยถามว่า “ในมือข้ามีป้ายคำสั่งเซียนเหินสามชิ้น สองชิ้นในนี้เป็นของดินแดนรกร้างโบราณ รวมกับที่อยู่ในมือของทุกคนยังมีเพียงแปดชิ้น ป้ายคำสั่งเซียนเหินอีกชิ้นหนึ่งอยู่ในมือใคร”
ทุกคนต่างส่ายหน้า
ของอย่างป้ายคำสั่งเซียนเหินไม่ใช่สิ่งที่ใครก็มีได้ อีกทั้งคุณค่าสูงสุดของมันก็ใช้ได้แต่ในสมรภูมิเก้าดินแดน หาไม่ก็เป็นแค่ของไร้ประโยชน์อย่างหนึ่ง
หลังทุกคนจากไป ในห้องโถงใหญ่เหลือเพียงหลินสวินกับจ้าวจิ่งเซวียนสองคน เสี่ยวอิ๋น เสี่ยวเทียน เจ้าคางคกและอาหลู่ออกไปชั่วคราวอย่างรู้งาน
สุราแรงขวดหนึ่ง ชาแก่กาหนึ่ง สำรับผลไม้โอชะสองสามอย่าง
“รู้ว่ากล่อมเจ้าไม่ได้ คืนนี้ข้าดื่มเป็นเพื่อนเจ้าเป็นอย่างไร”
จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยเสียงนุ่มนวล
“ได้สิ”
หลินสวินยิ้มขึ้นมา
ทั้งสองแนบอิงกัน ร่ำสุราลิ้มรสชา ดื่มดำกับความอบอุ่นและเงียบสงบที่เป็นของพวกเขาทั้งสองเท่านั้นจนกระทั่งฟ้าสว่าง
วันรุ่งขึ้นหลินสวินก็เริ่มปิดด่าน
ยังเหลือเวลาอีกห้าเดือนก่อนสมรภูมิเซียนเหินมาเยือน
หลินสวินคิดจะถือโอกาสนี้ทุ่มเททั้งกายใจหยั่งรู้นัยเร้นลับ ‘ไตรมรรครวมเป็นหนึ่ง ก่อเกิดหนึ่งเดียวอันสัมบูรณ์’ รังสรรค์วิชาของตนเอง!
หนึ่งเดือนผ่านไป
วิ้ง!
เสียงครวญใสน่ายำเกรงดังขึ้นในคฤหาสน์อันมืดมิดวังเวง จากนั้นดาบหักที่ขาวแวววาวโปร่งแสงก็เคลื่อนออกมาช้าๆ ลากเส้นเฉียบคมตรงแน่วเส้นหนึ่งกลางห้วงอากาศ
ราวกับแสงแรกที่ทำลายราตรีนิรันดร์
เพียงแต่แสงเส้นนี้เชื่องช้าถึงที่สุด พอสัมผัสดูโดยละเอียดก็จะพบว่ายามแสงเส้นนี้โฉบออกมา มีมหาดาราดวงแล้วดวงเล่าร่วงหล่น ที่ตามมาติดๆ คือจันทร์เต็มดวงดวงหนึ่งลอยสูงขึ้นเหนือทะเลสีมรกต…
ทันใดนั้นดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งระเบิดออกสะเทือนเลื่อนลั่น ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นความว่างเปล่า กลิ่นอายเงียบสงัดไร้สิ่งใดแผ่ขยายออกมาตามไปด้วย…
แสงนั้นเริ่มไหววูบติดๆ ดับๆ ท่ามกลางความสงัดวิเวก แสงกะพริบแต่ละครั้งก็เหมือนฉากกั้นที่กรีดผ่านอากาศ ตอกตรึงกาลเวลา
เดี๋ยวติดเดี๋ยวดับ แสงไหวเคลื่อนไม่แน่นอน ไร้รูปแบบตายตัว ดุจดั่งโชคชะตา คณากฎกรรม ไม่อาจล่วงรู้ ไม่อาจคาดเดา…
จนท้ายที่สุดพอแสงคลอนหนึ่งไหววูบ ในคฤหาสน์ก็ตกอยู่ในความมืดมิดวังเวงอีกครั้ง
ก็ในตอนนี้เองหลินสวินที่นั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้นลืมตาขึ้น
ผ่านการหยั่งรู้และอนุมาน ในวันนี้เขาหลอมนัยเร้นลับของหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้าไว้ในเตาหลอมเดียวได้ในที่สุด!
การโจมตีเมื่อกี้ก็หลอมรวมนัยเร้นลับแห่งหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้าอันได้แก่คว้าดารา สอยจันทรา เผาตะวัน นภาสงัด เกิดดับ และไม่เที่ยงแท้ หลอมหลวมอยู่ภายในกระบวนท่าเดียว
สิ่งนี้ก็คือ ‘หนึ่งกระบวนวัฏจักรฟ้า!’
มรดกนี้มาจากห้องโถงมรรคาสวรรค์ ปัจจุบันถูกหลินสวินควบคุม เปลี่ยนยากเป็นง่ายได้โดยสมบูรณ์แล้ว เหมือนหมื่นกระแสคืนแหล่งกำเนิด กลับสู่หนึ่งเดียว
‘ถ้าใช้ดาบหักด้วยมรดก ‘ปฐม’ ‘ยอด’ ‘สังหาร’ บวกกับพลังปราณระดับอริยะแท้ขั้นกลางสำแดงหนึ่งกระบวนวัฏจักรฟ้านี้… อานุภาพจะแข็งแกร่งปานไหนกัน’
หลินสวินครุ่นคิด
เพียงแต่ไม่นานเขาก็หลับตาลงอีกครั้งหนึ่ง ฝึกฝนต่อ
หนทางสู่ไตรมรรครวมเป็นหนึ่งชำนาญดีแล้ว แต่รังสรรค์วิชาของตนยังเพิ่งเริ่มเท่านั้น…
เดือนที่สอง
หลินสวินพลันลุกขึ้นยืน รีบร้อนเดินออกไปจากคฤหาสน์
เคลื่อนย้ายครั้งเดียวเงาร่างของเขาก็ปรากฏตัวนอกเมืองอย่างเงียบเชียบ ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่ได้ดึงดูความสนใจจากใคร
กลางฟ้าดินเขาเดินเชื่องช้า สีหน้าเหม่อลอย เดี๋ยวแหงนมองฟ้า เดี๋ยวก้มมองดิน ในจิตใจการหยั่งรู้ทั้งปวงรวมตัวกัน ประหนึ่งภูเขาไปกำลังจะปะทุ รู้สึกอึดอัดต้องปลดปล่อย
ก็คือที่นี่ล่ะ!
ทันใดนั้นหลินสวินหยุดก้าวเดิน
ฟ้าดินกว้างใหญ่ จักรวาลไพศาล ทิวเขารอบทิศซ้อนทับกันยืดยาวเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ เหนือผืนดิน ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่มแผ่ขยายไร้ที่สิ้นสุด
ครู่ใหญ่หลินสวินเหยียบย่างขึ้นไปในห้วงอากาศ
“เอ๊ะ!”
ที่ไกลลิบมีเสียงฉงนใจเสียงหนึ่งดังขึ้น
หมีเหิงเจินที่กำลังนำผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณกลุ่มหนึ่งลาดตระเวนอยู่ ทันใดนั้นสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ทอดสายตามองออกไปไกลๆ
ฉับพลันในจิตรับรู้ก็เห็นเงาร่างสูงผ่าเผยปรากฏขึ้นใต้เวิ้งฟ้านั้น เท้าเหยียบยอดเมฆ ร่างกายประหนึ่งหล่อขึ้นจากทองเซียนหยกเทพ กลิ่นอายน่ากลัวแข็งกร้าวถั่งโถมออกมา
เงาร่างนั้นสาดพรมประกายแสง ส่องสว่างภูผาธารา ดุจดั่งทวยเทพในตำนาน โอหังเหนือโลก
ขณะนี้ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณคนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงต่างตกตะลึง แต่ละคนจิตวิญญาณสั่นสะท้าน เผยสีหน้าประหลาดใจ
ทันใดนั้น เงาร่างนั้นก็เคลื่อนไหว นิ้วมือกำเป็นหมัด ทะยานตัวขึ้น หนึ่งหมัดหมายกระแทกเวิ้งฟ้า!
เปรี๊ยะ!
หมัดเดียวม่านฟ้าแตกสลายทันทีราวกับกระจกแผ่นหนึ่ง แยกออกเป็นรอยแยกน่าหวาดหวั่นแผ่กระจายออกไปสิบทิศราวกับใยแมงมุม
ห้วงอาหาศเหมือนกำลังยุบตัว ใกล้จะตกลงมา
ตูม!
เสียงระเบิดสะท้านฟ้าสะเทือนดินดังไปทั้งสิบทิศ เพียงแค่คลื่นเสียงก็ทำลายหมู่ภูเขาให้เป็นจุณ ฟ้าดินแตกออก สรรพสัตว์สรรพสิ่งต่างคล้ายรับไม่ไหวกำลังทรุดทลาย!
ภาพนั้นเหมือนฟ้าดินเป็นดั่งผ้าใบวาดเขียนผืนหนึ่ง ถูกหมัดนี้ฉีกทึ้งบดขยี้อย่างจัง!
น่ากลัว!
น่าสยดสยองจนไม่อาจจินตนาการได้ คาดคิดได้ยากว่ามีพลังน่าครั่นคร้ามถึงขั้นไหน ถึงสามารถสะเทือนจักรวาล ทำให้สรรพสัตว์ดับสิ้นได้ในหมัดเดียว!
หมีเหิงเจินเพียงรู้สึกว่าในสมองมีเสียงดังวิ้งราวกับถูกสายฟ้าฟาด ภาพที่เห็นตรงหน้ามีแต่ไอขุ่นมัวกว้างใหญ่ทั้งแถบ
นี่ทำให้เขาสูดหายใจเย็นอย่างอดไม่ได้ พลังหมัดน่าหวาดหวั่นนัก แม้อยู่ห่างไปไกลลิบ กลับเหมือนโจมตีที่สภาวะจิตของเขา ทำให้เขายังรู้สึกหายใจไม่ออกเสียวสันหลังวาบ
ส่วนผู้แข็งแกร่งคนอื่น แต่ละคนต่างตัวสั่นเทิ้ม ขาสั่นระริก ทั้งกายชุ่มไปด้วยเหงื่อ จิตใจเสียการควบคุม
“เร็วเข้า นั่งสมาธิฝึกฝนเดี๋ยวนี้! ได้เห็นหมัดชั้นนี้ หากสัมผัสแก่นอัศจรรย์จากในนั้นได้แม้สักนิด ก็เพียงพอให้พวกเจ้าเรียนรู้อานุภาพแห่งอริยมรรคได้อย่างลึกซึ้งแล้ว สิ่งนี้มีคุณประโยชน์ที่ไม่อาจประเมินได้ต่อการเสาะแสวงสู่ระดับอริยะของพวกเจ้า”
หมีเหิงเจินตะคอกลั่น
ทุกคนต่างรีบร้อนนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น
จากนั้นหมีเหิงเจินก็ทอดสายตามองไปไกลๆ ในใจปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ เจ้าหลินสวินนี่… บนหนทางเสาะแสวงอริยะมรรคไปถึงขั้นไหนกันแน่นะ
ในขณะเดียวกันหลินสวินรู้สึกสาแก่ใจนัก มีความรู้สึกเต็มอิ่ม พลานุภาพทั้งร่างแกร่งกล้าโชติช่วง มีแต่กลิ่นอายเชื่อมั่นไร้ศัตรู
ตอนนี้เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์หลอมเข้าไปในเตาเดียวแล้ว!
มรดกนี้แบ่งออกเป็นทลายภูผา ทลายสมุทร ทลายอากาศ ทลายวิญญาณ ทลายมังกร ทลายปักษาเพลิง ทลายอเวจี ทลายสวรรค์ ทลายจักรวาล
รวมทั้งสิ้นเก้ากระบวนท่า แต่ละท่าต่างมีพลังทำลายล้างเต็มขั้น สามารถเบิกภูผาแหวกสมุทร สามารถกำราบอเวจีกลืนกินเวิ้งฟ้า นัยเร้นลับไร้สิ้นสุด พลานุภาพยิ่งใหญ่
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เมื่อควบคุมเก้ากระบวนท่าทั้งหมดนี้ได้ถึงขั้นสมบูรณ์ ก็เหมือนควบคุมนัยเร้นลับมหามรรค สามารถสำแดงทบทวีได้อย่างสมบูรณ์
และตอนนี้ หลินสวินอนุมานนัยเร้นลับของมันทั้งหมดถึงที่สุดแล้ว กระบวนท่าหมัดทั้งเก้าทบทวีกันโดยสมบูรณ์ หลอมเข้าไปในอานุภาพของหนึ่งหมัด
พอโจมตีหมัดนี้ออกไป จะสามารถทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน อริยเทพสั่นสะท้าน เหล่าศัตรูล้วนเกิดความรู้สึกเล็กจ้อยไร้ทางสู้ ไม่อาจต้านทานได้!
หมัดนี้ เรียกได้ว่าหนึ่งหมัดสะเทือนสวรรค์!
เดือนที่สาม
หลินสวินอนุมานมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร หลอมนัยเร้นลับทั้งหมดเข้าไปในอักษร ‘เคราะห์’ รูปมังกรตัวหนึ่ง เมื่อใจไหวเคลื่อน ประหนึ่งเจินหลงออกจากหุบเหว วางเคราะห์สังหารบนโลก กวาดล้างภูผาธารา!
——