Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1589 ขลุ่ยกระดูก

จู่ๆ เสียงขลุ่ยคล้ายเสียงสวรรค์เสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือทะเลกระดูกขาวอันพิสดารน่าสะพรึงกลัว ดูไม่เข้ากันเท่าไรนัก และดูแปลกประหลาดหาใดเทียบ

หลินสวินดวงตานิ่งขึง เสี่ยวอิ๋นกับเสี่ยวเทียนที่รู้กันก่อนแล้ว เคลื่อนเข้าไปซ่อนในจิตรับรู้ของเขา

ด้านหลินสวินกำลังโคจรไอซวนหนีปกคลุมทั้งกาย ตัวเขาเหมือนหายลับไปในห้วงอากาศโดยสมบูรณ์

หลังจากเข้าใจนัยเร้นลับมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรอย่างถ่องแท้โดยสมบูรณ์ พลังไอซวนหนีก็ถูกหลินสวินอนุมานถึงขั้นใหม่เอี่ยม

ตอนนี้นอกจากคนรุ่นเดียวกันที่ครอบครองวิชาลับด้านสัมผัสที่มีเอกลักษณ์แล้ว คนอื่นถึงกับไม่อาจรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของหลินสวิน

หลังจากเคลื่อนตามเสียงขลุ่ยห่างออกมาได้ประมาณหนึ่งแล้ว หลินสวินได้เห็นภาพอันน่าเหลือเชื่อภาพหนึ่งในทันใด

วิญญาณเซียนเหินที่ปรากฏตัวจากกองกระดูกฝูงหนึ่งมารวมตัวกันแล้วเคลื่อนออกไปไกลด้วยการชักนำของเสียงขลุ่ย

ไอพิฆาตโหดเหี้ยมบนตัวพวกมันยังอยู่เหมือนเดิม น่าสยดสยองถึงที่สุดทั้งนั้น แต่เสียงขลุ่ยนั้นราวกับมีพลังมารอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้พวกมันต่างเชื่อฟังการร้องเรียกโดยมิได้นัดหมาย!

‘มรรคแห่งศาสตร์ดนตรีที่ร้ายกาจนัก!’

ในใจหลินสวินยังตกตะลึงอย่างเลี่ยงไม่ได้

ควรรู้ว่าพลังต่อสู้วิญญาณเซียนเหินแต่ละตนนั้นไม่อ่อนแอกว่ามกุฎอริยะเลย แต่กลับไม่อาจต้านทานการควบคุมของขลุ่ยนั้น ประหนึ่งสัตว์ที่ถูกทำให้เชื่อง

ทว่าเมื่อเสียงขลุ่ยนี้เข้าหูหลินสวิน กลับไม่ได้มีพลังคุกคามอะไร ฟังแล้วไพเราะเสนาะหูยิ่ง ทำให้จิตใจปลอดโปร่งเสียด้วยซ้ำ

นี่ทำให้เขาตัดสินได้ในชั่วพริบตาว่าวิชาลับศาสตร์ดนตรีนี้น่าจะสร้างขึ้นเพื่อสัตว์ร้ายอย่างวิญญาณเซียนเหิน!

หลินสวินครุ่นคิดพลางเดินหน้าต่ออย่างเงียบเชียบ เขาชักอยากไปดูเสียหน่อยว่าคนที่เป่าขลุ่ยนี้เป็นอริยเทพจากไหน

‘สิบตน สามสิบตน ห้าสิบตน…’

ตลอดทางหลินสวินพบว่าจำนวนวิญญาณเซียนเหินที่ถูกเสียงขลุ่ยควบคุมยิ่งมากขึ้น

ทว่าเมื่อมีจำนวนถึงเก้าสิบเก้าตน จู่ๆ เสียงขลุ่ยก็เปลี่ยนจากเสียงสูงเป็นทุ้มต่ำ แปรเปลี่ยนเป็นท่วงทำนองดนตรีใหม่

ทันใดนั้นหลินสวินก็เห็นว่าวิญญาณเซียนเหินเก้าสิบเก้าตนนั้นต่างเริ่มบินท่องรวมกลุ่มก้อนกัน ไอพิฆาตถาโถม เคลื่อนกวาดออกไป

แล้วก็เป็นตอนนี้เองที่หลินสวินเห็นเงาร่างร่างหนึ่ง

คนผู้นั้นเป็นเด็กสาวที่เปลือยขาขาวกระจ่างทั้งสองข้างคนหนึ่ง สวมชุดคลุมหนังสัตว์ บนหัวประดับด้วยมงกุฎหนาม รูปร่างสูงโปร่งผอมเพรียว เต็มไปด้วยความดิบเถื่อน

มือนางถือขลุ่ยที่เจียรขึ้นจากกระดูกขาวเลาหนึ่ง ก้าวย่างไปในห้วงอากาศพลางเป่าขลุ่ย กลิ่นอายยากจับต้องเก่าแก่ราวพงไพรตลบอบอวลรอบกาย

วิญญาณเซียนเหินกลุ่มนั้นตามอยู่เบื้องหลังนาง

‘กลิ่นอายของดินแดนโบราณจิ่วหลี!’

ประกายเย็นชาฉายวาบในส่วนลึกของดวงตาหลินสวิน

บนตัวผู้แข็งแกร่งที่เข้ามาในสมรภูมิเก้าดินแดนทุกคน ต่างมีป้ายคำสั่งที่มาจากดินแดนของตนชิ้นหนึ่ง

มีเพียงอาศัยป้ายคำสั่งนี้ ถึงสามารถเก็บผลงานมหามรรคได้ และอาศัยป้ายคำสั่งนี้กลับไปยังดินแดนของตนยามการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนปิดฉากลง

อย่างบนตัวหลินสวินก็มีป้ายคำสั่งรกร้างโบราณชิ้นหนึ่ง

ก็เพราะการมีอยู่ของป้ายคำสั่งนี้ ไม่จำเป็นต้องพิจารณาใดๆ ก็ถูกศัตรูสังเกตที่มาที่ไปของเขาได้ในทันที

เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวที่แต่งกายด้วยชุดกระโปรงหนังสัตว์ หัวประดับมงกุฎหนามคนนี้มาจากดินแดนโบราณจิ่วหลี ดินแดนที่ร่ำลือว่ายังคงรักษารูปลักษณ์เก่าแก่ดึกดำบรรพ์ไว้ดังเดิม

“หืม?”

ทันใดนั้นเด็กสาวชุดกระโปรงหนังสัตว์ที่อยู่ไกลออกไปคนนั้นคล้ายสังเกตอะไรได้ หันหน้ากลับมามองครั้งหนึ่ง ในขณะเดียวกันเสียงขลุ่ยก็กระจายออกมาดั่งวงคลื่น

‘ปฏิกิริยาฉับไวนัก’

หลินสวินตื่นตะลึงในใจ เขาหลบออกไปไกลๆ ทันที

ในที่สุดเด็กสาวชุดกระโปรงหนังสัตว์คนนั้นก็ไม่พบอะไรผิดปกติ หันตัวเดินหน้าต่อไป

แต่หลินสวินแน่ใจแล้วว่าเด็กสาวคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ ต่อให้เป็นมกุฎอริยะทั่วไปยังไม่มีทางเทียบนางได้

‘ก็จริง คนที่สามารถครอบครองป้ายคำสั่งเซียนเหินเข้ามาที่นี่ได้ ล้วนเป็นผู้ที่ล้ำเลิศที่สุดในแต่ละดินแดน เด็กสาวคนนี้มีปฏิกิริยาเฉียบคมปานนี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก…’

หลินสวินครุ่นคิด

เขาไม่ได้แหวกหญ้าให้งูตื่น เดินตามต่อไป

เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวชุดกระโปรงหนังสัตว์คนนี้คุ้นเคยกับทะเลทิ้งกระดูกอย่างยิ่ง ตลอดทางดูคล่องแคล่วรู้ทางดี ยามเคลื่อนไหวก็ไม่ลังเลแต่อย่างใด

อีกทั้งพอเสียงขลุ่ยของนางกระจายออกไป ตลอดทางนี้ถึงกับไม่มีวิญญาณเซียนเหินปรากฏขึ้นอีกสักตน

‘ดูท่าในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งก่อน ผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนอื่นเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดในสมรภูมิเซียนเหินอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งไปแล้ว ดังนั้นถึงได้ทำให้ผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนอย่างเด็กสาวคนนี้ หลังจากมาถึงสมรภูมิเซียนเหินคราวนี้ก็ได้เปรียบไปหมด’

หลินสวินทอดถอนใจในใจ

เทียบกับแปดดินแดนแล้ว ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณไม่เพียงขาดพลังต่อสู้ ที่หนักกว่ายังมีระยะห่างด้านรากฐานพลังด้วย

หนึ่งก้านธูปผ่านไป

ไกลออกไปทัศนียภาพแปรเปลี่ยนฉับพลัน ทิวเขาสูงตระหง่านแผ่ตัวยืดขยายสูงต่ำแถบหนึ่งปรากฏขึ้น หมู่ยอดเขาดั่งทวน แทรกตัวเข้าไปในเมฆา เติบโตงอกงามไร้ที่สิ้นสุด

กลิ่นอายโบราณปฐมกาลราวดึกดำบรรพ์ตีกระทบหน้าตามมาด้วย

‘เขาตัดหมอก!’

ในสมองหลินสวินมีชื่อสถานที่หนึ่งปรากฏขึ้น ที่นี่คือสถานที่อันมีชื่อเสียงอย่างยิ่งแห่งหนึ่งในสมรภูมิเซียนเหิน

เทือกเขาแห่งนี้มีอาณาเขตแสนกว่าลี้ ภายในหมอกหนาทึบ ยอดเขาตั้งตระหง่านดั่งต้นไม้ในพงไพร สัตว์อันตรายซ่อนตัวอยู่ไม่น้อย

แต่เช่นเดียวกัน ในเขานี้ก็ไม่ขาดวัตถุดิบเทพและของล้ำค่าที่มีน้อยนิดในโลกภายนอกบางประการ

ตามที่หลินสวินรู้มา ข่าวลือบอกว่าสมัยการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งที่หนึ่ง เคยมีมกุฎอริยะจากดินแดนโบราณเพลิงสวรรค์ผู้หนึ่งเด็ดเถาศุภโชคหยินหยางต้นหนึ่งไปจากที่นี่!

สิ่งนี้เป็นต้นไม้เทพชั้นหนึ่งในฟ้าดิน สามารถให้กำเนิด ‘ดอกตูมหยินหยาง’ ที่เป็นดั่งสมบัติอริยะดอกแล้วดอกเล่า

ดอกตูมหยินหยางแต่ละดอกล้วนเป็นวัตถุดิบหายากในการหลอมสมบัติอริยะอย่างหนึ่ง!

ถึงขั้นที่หากรอให้เถาศุภโชคหยินหยางมีลายมรรคธรรมชาติเกิดขึ้น กระทั่งรวมตัวเป็นน้ำเต้าศุภโชคได้ สิ่งนั้นจะเป็นถึงสมบัติอริยะฟ้าประทาน!

ทว่าเถาศุภโชคหยินหยางนี้เดิมทีก็หายากหาใดเทียบอยู่แล้ว ที่มีลายมรรคธรรมชาติเกิดขึ้นได้ก็ยิ่งพบเห็นได้น้อย ส่วนน้ำเต้าศุภโชคก็ไม่ต่างอะไรกับตำนาน

นอกจากเถาศุภโชคหยินหยาง เขาตัดหมอกแห่งนี้ก็ไม่ขาดวัตถุดิบเทพอื่น แต่โดยมากต่างมาพร้อมอันตราย ถึงอย่างไรส่วนลึกของเทือกเขานั้นก็มีวิญญาณเซียนเหินมากมายดำรงอยู่

เด็กสาวชุดกระโปรงหนังสัตว์เป่าขลุ่ยกระดูกอยู่จึงเข้าไปในเทือกเขาได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานนักทิวทัศน์ในครรลองสายตาเปิดกว้าง สะท้อนภาพหุบเขาราบเรียบกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง

ตอนนี้ในหุบเขาแห่งนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งรออยู่ก่อนแล้ว

หัวหน้าคือชายรูปร่างสูงใหญ่กำยำผิดธรรมดา หนวดเคราทั้งยาวทั้งแข็งดั่งทวน ใบหน้าหยาบกระด้าง มีดวงตาสีม่วงคู่หนึ่ง

เขายืนไพล่มือตรงนั้นก็มีท่าทางกดข่มราวกับทะลวงฟ้าเทียมดิน โอหังเหนือใคร ทำให้คนอื่นที่อยู่ข้างเขาต่างดูหม่นแสงลงไม่น้อย

คนผู้นี้ก็คือชืออู๋ซู่ ระดับผู้นำของค่ายทัพดินแดนโบราณจิ่วหลี!

ชื่อของเขาเอาความหมายมาจาก ‘ไม่อาจอภัย’ มีกลิ่นอายอหังการเหมือนเจ้าตัว

“อวิ๋นอี เจ้ากลับมาแล้ว!”

พอเห็นหญิงสาวชุดกระโปรงหนังสัตว์คนนั้นนำวิญญาณเซียนเหินเก้าสิบเก้าตนกลับมา ดวงตาสีม่วงของชืออู๋ซู่เปล่งประกาย เข้าไปต้อนรับ

“พี่ชือ ภารกิจลุล่วง”

เด็กสาวชุดกระโปรงหนังสัตว์ที่ถูกเรียกว่าอวิ๋นอีพยักหน้า

“พวกเรากำราบวิญญาณเซียนเหินได้เก้าสิบเก้าตัวแล้ว ก็ได้เวลาไปรวมตัวกับพวกคุนเซ่าอวี่แล้ว”

ชืออู๋ซู่ยิ้มเอ่ย

“เขา คุนเซ่าอวี่ จะเอาวิญญาณเซียนเหินมากมายขนาดนี้ไปทำอะไร”

อวิ๋นอีเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้

“ไม่ใช่คุนเซ่าอวี่ จู๋อิ้งคงต่างหากที่ต้องการ เจ้าหมอนี่คิดจะวาง ‘กระบวนค่ายกลพันผี’ กระบวนหนึ่ง ยิ่งวิญญาณเซียนเหินที่จับมาได้มีมากเท่าไร พลังของกระบวนค่ายกลก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่จะใช้ต่อกรเจ้าสวะตัวจ้อยหลินสวินนั่น”

ชืออู๋ซู่ก็ไม่ปิดบัง เอ่ยตอบมา

อวิ๋นอีจึงตะลึงงัน พูดว่า “ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน”

“ห่างจากที่นี่ไม่ถึงหมื่นลี้”

ชืออู๋ซู่ชี้ไปไกลๆ ที่ส่วนลึกของเขาตัดหมอก

“แต่ต่อให้เป็นการวางกระบวนค่ายกล จู๋อิ้งคงมีวิธีอะไรที่ทำให้หลินสวินคนนี้ออกมาติดกับเองหรือ”

อวิ๋นอีนิ่วหน้าพูด

ชืออู๋ซู่หัวเราะร่า “ล่อให้ศัตรูเข้าไปติดจนออกไม่ได้ก็พอแล้ว นิสัยเจ้าหมอนั่นดุดันหาใดเทียบ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพพันธมิตรเจ็ดดินแดนร่วมกันลงมือครั้งแรก หรือศึกทะเลผาดำ เขายังกล้าต้านทานด้วยพลังของตัวเองคนเดียว”

“ถ้าเขารู้ที่ซ่อนตัวของพวกเรา เขาจะทนไหวได้อย่างไร”

พอฟังจนจบอวิ๋นอีก็ยิ้มอย่างอดไม่ได้ เอ่ยว่า “ดูท่าพี่ชือกับพวกคุนเซ่าอวี่จะวางแผนการรบไว้พร้อมสรรพ เข้าใจเบื้องลึกของหลินสวินนั่นกันดีแล้ว เช่นนี้ก็ดี ทุ่มแรงทั้งหมดให้สำเร็จในครั้งเดียว รอฆ่าเขาแล้ว ข้าจะต้องไปหาชะตามรรคผลงานรบดีๆ”

“ไป ตอนนี้พวกเราจะออกเดินทางกัน”

ชืออู๋ซู่โบกมือเอ่ย

คราวนี้เขานำมกุฎอริยะดินแดนโบราณจิ่วหลีอย่างอวิ๋นอีมาด้วยกันแปดคน ก็เพื่อจับวิญญาณเซียนเหิน

ตอนนี้ภารกิจสำเร็จแล้ว ก็ได้เวลาจากไปแล้ว

เสียงขลุ่ยสูงต่ำระลอกแล้วระลอกเล่าดังขึ้นอีกครั้ง อวิ๋นอีเป่าขลุ่ยกระดูกตามหลังชืออู๋ซู่ ทว่าก็ในตอนที่พวกเขากำลังเตรียมเคลื่อนไหวนี้เอง ความเปลี่ยนแปลงผิดธรรมดาพลันเกิดขึ้น

โฮก!

จู่ๆ ในหมู่วิญญาณเซียนเหินเก้าสิบเก้าตัวนั้นก็มีตัวหนึ่งไม่รู้ไปถูกอะไรกระตุ้นเข้า พลันส่งเสียงคำรามดั่งสายฟ้า พุ่งกระโจนออกไป

เสียงขลุ่ยสูงต่ำนั้นถูกเสียงคำรามขัดขวาง

ที่ตามมาติดๆ คือวิญญาณเซียนเหินตัวอื่นที่เดิมถูกควบคุมไว้กระสับกระส่ายขึ้นมาทันใด กลับไปดุร้าย พลันจู่โจมไปทางพวกชืออู๋ซู่

ชั่วขณะเดียวที่นั่นโกลาหลขึ้นมาทันใด

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

“บัดซบ!”

อวิ๋นอีสีหน้าถมึงทึง กำลังเตรียมจะเป่าขลุ่ยกระดูกต่อ จู่ๆ ไอหนาวสะท้านอันตรายผุดขึ้นมาในหัวใจ ทำให้นางเคลื่อนตัวหลบหนีทันทีโดยไม่ลังเล

ฉึบ!

เงากระบี่ราวว่างเปล่าสายหนึ่งเคลื่อนผ่านตำแหน่งเดิมที่นางอยู่ ฝ่ายหลังที่เป็นเงากระบี่ก็คือเงาร่างของเสี่ยวอิ๋น

เพียงแต่ไม่ทันรอให้อวิ๋นอีถอนหายใจโล่งอก ผีเสื้อสีดำหม่นที่งดงามแจ่มจรัสหาใดเทียบตัวหนึ่งกระพือปีกเบาๆ

จากนั้นพลังเฉียบคมหาใดเทียบคู่หนึ่งที่ตัดห้วงอากาศขาดโฉบพุ่งออกไปอย่างรุนแรง

แย่แล้ว!

นางหน้าเปลี่ยนสีทันที พลันโบกขลุ่ยกระดูกในมือเพื่อต่อต้าน

ท่ามกลางเสียงคำรามลั่นอันน่ากลัว แม้พูดได้ว่าท้ายที่สุดการลอบโจมตีที่เหนือความคาดหมายเช่นนี้ถูกอวิ๋นอีรับไว้ได้ แต่กลับทำให้ไหล่ของนางถูกฟันบาดเจ็บ ขลุ่ยกระดูกในมือแทบจะถูกซัดกระเด็นออกไป

“ศัตรูจู่โจม!”

อวิ๋นอีส่งเสียงร้องแหลมขุ่นเคือง

ความจริงแล้วไม่ต้องให้นางเตือนสักนิด ที่นั่นในตอนนี้โกลาหลถึงที่สุด

หลังจากวิญญาณเซียนเหินเก้าสิบเก้าตนสูญเสียการควบคุมไป ก็เหมือนมกุฎอริยะเก้าสิบเก้าคนร่วมกันออกโจมตีโดยแท้ ส่งผลให้พวกชืออู๋ซู่ตกอยู่ในการต่อสู้ทันที

ชั่วขณะเดียวที่นี่มีแสงเทพระเบิด เสียงโครมครามดั่งอสนี เสียงก่นด่าสาปแช่งคำรามดาลเดือดดังขึ้นไม่ขาดสาย

ใครก็คิดไม่ถึงว่าเพิ่งเข้าสมรภูมิเซียนเหินมาไม่ถึงสองชั่วยาม ก็ประสบกับโจมตีดุเดือดที่มาโดยกะทันหัน

นี่ทำให้สีหน้าพวกเขาดูไม่น่าดูนัก

ไกลออกไปหลินสวินมองดูภาพนี้ สีหน้าเรียบเฉยไม่หวั่นไหว การต่อสู้ที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นนี้ย่อมเป็นฝีมือของเขา

——

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

BRCO, Tian Jiao Zhan Ji, 天骄战纪
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset