สมรภูมิเซียนเหิน
เขาตัดหมอก
“ให้ตายเถอะ ในที่สุดก็เจอสมบัติอีกชิ้นแล้ว!”
เจ้านกดำตื่นเต้นจนถูกรงเล็บทองอร่ามไปมา ดวงตาวาววาบ
นี่คือภูเขาลูกย่อมที่อบอวลหมอกควันสีทองอ่อน สูงแค่ร้อยจั้ง หินผาที่อยู่บนนั้นสูงสลับซับซ้อน ต้นไม้ใบหญ้าล้วนทองอร่ามเหมือนหล่อจากทองคำ งดงามเป็นอย่างยิ่ง
เวลานี้พวกหลินสวินยืนอยู่หน้าหินเก่าแก่ก้อนหนึ่งที่กลางทางขึ้นเขา
บนซอกหินมีต้นหญ้าเรียวยาวราวกระบี่คมกริบต้นหนึ่งขึ้นอยู่
มันสูงหนึ่งฉื่อ หนาเท่าหัวแม่โป้ง ลำต้นที่บริสุทธิ์เหมือนทองเทพมีลายเมฆขดมากมายขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ ข้างลำต้นทั้งสองด้านยังมีใบไม้เก้าใบที่บางเหมือนปีกจักจั่นขึ้นอยู่ติดๆ กัน
เมื่อมองดูโดยละเอียด ใบไม้มากมายนั้นราวกับบันไดสวรรค์สีทองทบชั้นขึ้นไป แต่ละเส้นใบล้วนมีเปลวไฟสายหนึ่งไหลเวียนอยู่
“หญ้าวิญญาณทองเก้าใบ!”
“ทุกพันปีจึงจะออกใบมาใบหนึ่ง ทุกสามพันปีจะต้องรับพิบัติเคราะห์แห่งฟ้าดิน มีเพียงต้นที่ข้ามด่านเคราะห์แล้วไม่ดับสลายเท่านั้นจึงจะเติบโตต่อไปได้”
“นี่เป็นถึงสมบัติอริยะที่ฟ้าดินสรรสร้าง แฝงพลังแห่งวิญญาณทองแต่กำเนิด ขอแค่นำไปหลอมอีกหน่อยก็จะแปลงเป็นกระบี่บินไร้เทียมทานเล่มหนึ่งได้ พลังทำลายล้างยิ่งใหญ่มหัศจรรย์หาใดเปรียบ!”
เจ้านกดำน้ำลายแตกฟอง หน้าตาดีอกดีใจ “ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือ สมบัตินี้ยังทำหน้าที่เป็นเจตวัตถุฟ้าประทานได้ด้วย มีประโยชน์ต่อการหลอมอาวุธอริยะบริสุทธิ์อย่างไม่อาจประเมิน!”
“หญ้าวิญญาณทองเก้าใบตรงหน้านี้มีเปลวเพลิงเก้าพันปี ผ่านการหล่อหลอมของเคราะห์สวรรค์มาสามครั้งแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเก็บเกี่ยว”
หลินสวินฟังไปพลาง อีกด้านหนึ่งก็เริ่มลงมือ
เหมือนกับ ‘เถาวัลย์หยกนภาค่ำ’ ต้นนั้นที่เจอในตอนแรก ใกล้หญ้าวิญญาณทองเก้าใบนี้ถูกวางกระบวนผนึกลายมรรคไว้เช่นกัน
เจ้านกดำกล่าวเตือนอยู่ข้างๆ “เจ้าหนู ตามสัญญาตอนนั้น หญ้าวิญญาณทองเก้าใบต้นนี้ควรแบ่งให้ข้าแล้ว”
เสี่ยวอิ๋นและเสี่ยวเทียนต่างทำหน้ารังเกียจ ด้วยนิสัยของนายท่านมีหรือจะละโมบอยากได้ของของเจ้า เจ้านกขี้ขโมยนี่ใช้น้ำใจคนต่ำช้ามาประเมินวิญญูชน พาให้คนดูถูกจริงๆ!
เจ้านกดำมองข้ามอย่างสิ้นเชิง มันหน้าด้านเสมออยู่แล้ว
…
ขณะเดียวกันในโลกฟากหนึ่งที่อยู่ไกลจากสมรภูมิเซียนเหินไปไม่รู้เท่าไร บนยอดเขาสูงอัศจรรย์งามวิจิตรที่เต็มไปด้วยไอเซียนลูกหนึ่ง
เมฆาลอยล่องหมอกระยับ ฝูงอีกาทองสยายปีกบิน พรมแสงทองงามตระการลงมา เคลือบทับสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่ที่เรียงรายเป็นระเบียบอยู่บนเทือกเขาชั้นหนึ่งจนเป็นประกายทองดูศักดิ์สิทธิ์
“น่าชังนัก เจ้าหัวขโมยหน้าไม่อายนั่น เห็นชัดว่าคิดจะกวาดสมบัติที่พวกเราถนอมไว้ในสมรภูมิเซียนเหินไปจนเกลี้ยง!”
บนยอดเขาเจียงเหิงแค้นจนกัดฟันกรอด นัยน์ตาคู่งามเต็มไปด้วยความเดือดดาล
ใบหน้านางเหมือนหยกงาม นัยน์ตาดุจน้ำพุใสสะอาด สวมชุดกระโปรงสีเขียวน้ำทะเล ยืนสันโดษอยู่ในทะเลหมอกบนยอดเขา เจิดจรัสไร้ใครเทียมราวกับเซียนสาวผู้สำรวมตน
แม้ยามนี้จะโกรธอยู่ก็ยังมีความงามที่น่าตกตะลึง
ข้างหน้าเจียงเหิงมีจานแปดทิศที่ทำจากกระดองเต่าใบหนึ่งลอยคว้างอยู่ ควบรวมเป็นม่านแสง
ในม่านแสงนั้นปรากฏเป็นเงาร่างของพวกหลินสวิน!
นี่คือ ‘จานดารากระสายยา’ ที่เชื่อมต่อกับกระบวนผนึกลายมรรคใกล้หญ้าวิญญาณทองเก้าใบ เมื่อใช้สมบัตินี้จะสังเกตการเติบโตของหญ้าวิญญาณทองเก้าใบได้
ตอนนั้นเจียงเหิงก็ใช้สมบัตินี้สำรวจโอสถเทพที่ถนอมไว้ในสมรภูมิเซียนเหิน จึงพบว่าเถาวัลย์หยกนภาค่ำต้นนั้นถูกหลินสวินเก็บเอาไป
“ศิษย์น้องเจียงเหิง สมรภูมิเซียนเหินมีความเกี่ยวข้องกับแหล่งสถานคุนหลุนในตำนาน เป็นแดนลี้ลับที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง ทุกร้อยปีพวกเราจึงจะเปิดอุโมงค์อากาศเข้าไปในนั้นได้ครั้งหนึ่ง”
ข้างๆ จู่ๆ ชายชุดขาวคนหนึ่งก็ปรากฏตัวกล่าว “ก่อนหน้านี้พวกเราใช้ไปแล้วครั้งหนึ่ง นี่ก็หมายความว่าพวกเราไม่มีทางลงมือได้อีกแล้ว”
ชายชุดขาวร่างผอมบาง สองมือไพล่หลัง ผมสีเทาอ่อน นัยน์ตาเฉียบคมส่องประกายวาววามแหวกอากาศ ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามที่ยิ่งใหญ่ไร้สิ้นสุด
เห็นได้ชัดว่าเขายังหนุ่ม ท่าทางสง่างาม บนตัวมีกลิ่นอายแห่งกาลเวลาไม่เท่าไร แต่ลักษณะพลังของเขากลับน่ากลัวกว่ามกุฎอริยะ!
“ศิษย์พี่ใหญ่ หลายวันนี้เจ้าหัวขโมยนั่นขโมยของมีค่ามากมายอย่าง ‘บุปผาเขียวเย็นระอุ’ ‘รากขันธ์ห้า[1] ปีกหงส์’ ‘ไม้พิภพแสงทมิฬ’ ไปแล้ว”
เจียงเหิงยังกล่าวโกรธเคือง “แล้วไหนจะ ‘เถาวัลย์หยกนภาค่ำ’ และ ‘หญ้าวิญญาณทองเก้าใบ’ ต้นนี้อีก สมบัติที่พวกเราสำนักยุทธ์เสวียนจีถนอมไว้ในนั้น แทบจะถูกเจ้าโจรนี่ขโมยไปหมดแล้ว! พวกเราจะมองตาปริบๆ ต่อไปหรือ”
ชายชุดขาวที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่ใหญ่ยิ้ม แววตาล้ำลึก ไอพลังเฉียบคมน่าพรั่นพรึงพวยพุ่งกล่าว
“เทียบกับเจดีย์สมบัตินั่นบนตัวเจ้านี่แล้ว สมบัติพวกนี้ไม่นับว่ามีค่าอะไร ยามวาสนาของแหล่งสถานคุนหลุนปรากฏ ข้าจะให้เขาคายของที่กินไปออกมาเป็นสิบเท่าร้อยเท่าแน่!”
เสียงฉะฉานดังก้องดุจระฆังอรุณกลองสายัณห์ เผยให้เห็นความมั่นใจหาใดเปรียบ
เจียงเหิงดวงตาแวววาว “ใช่ เจ้าหัวขโมยนี่มีป้ายคำสั่งเซียนเหินติดตัว ภายหน้าจะต้องไปแหล่งสถานคุนหลุนแน่ ถึงตอนนั้นค่อยหาตัวเขาแล้วคิดบัญชีนี้ให้เต็มที่!”
“จริงสิ”
เจียงเหิงฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้กล่าวว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เจดีย์สมบัติในมือเจ้าหัวขโมยนั่นมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ถึงต้านการโจมตีของวงอสนีสุริยันได้”
วงอสนีสุริยันคือหนึ่งในยอดสมบัติพิทักษ์สำนักของสำนักยุทธ์เสวียนจี เกิดจากต้นกำเนิดฟ้าประทานของโลกอสนีแกร่งแห่งหนึ่ง
หลายปีก่อน บุคคลระดับจักรพรรดิคนหนึ่งของสำนักยุทธ์เสวียนจีลงมือด้วยตัวเองเพื่อกำราบสมบัตินี้ เมื่อหลอมละลาย ‘โลกอสนีแกร่ง’ นั้นทั้งใบแล้วจึงฉวยโอกาสกำราบสมบัตินี้และชิงมาได้ในคราเดียว
จากนั้นด้วยสมบัตินี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ ทั้งสะสมต้นกำเนิดมรรคอสนีฟากหนึ่งไว้ภายใน จึงกลายเป็นหนึ่งในมหาสมบัติพิทักษ์สำนักของสำนักยุทธ์เสวียนจีได้อย่างสมเหตุผล
แต่เจดีย์สมบัตินั้นกลับขวางการโจมตีอันดุเดือดของวงอสนีสุริยันได้ ทั้งยังทำให้ศิษย์พี่ใหญ่ลงมือด้วยตัวเอง นี่จะไม่ให้เจียงเหิงอยากรู้อยากเห็นได้อย่างไร
“เจดีย์นี้มีความเป็นมายิ่งใหญ่ ก่อนหน้านี้ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดก็มีชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้า เกริกก้องสะท้านสวรรค์ ครอบครองอานุภาพที่คาดไม่ถึงแล้ว”
ชายชุดขาวแววตาส่องประกาย เสียงทุ้มต่ำ “เพียงแต่… ข้ายังไม่แน่ใจอยู่บ้างว่าจะใช่เจดีย์สมบัติในตำนานนั้นหรือไม่”
“ไม่แน่ใจหรือ”
ชายชุดขาวพยักหน้า หว่างคิ้วเจือความรู้สึกหวนถึงความหลัง “ถูกต้อง ด้วยก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว เจดีย์นี้หายไปจากโลกในการต่อสู้ใหญ่ครั้งหนึ่ง ศึกใหญ่นั้น…”
“มีสำนักระดับจักรพรรดิหกแห่งพินาศย่อยยับ โลกสิบเก้าแห่งถูกทำลายล่มสลาย แค่บุคคลระดับจักรพรรดิที่บาดเจ็บล้มตายยังมีสามสิบกว่าคน!”
“นอกจากนี้ยังมีกึ่งจักรพรรดิ ราชันอริยะ มหาอริยะไม่รู้เท่าไรร่วงหล่นในศึกใหญ่นั้น ทั่วทั้งฟ้าดาราต่างร้องเสียงหลงสั่นสะเทือนไปตามกัน!”
กล่าวถึงตอนท้าย สีหน้าของชายชุดขาวก็เจือความตกตะลึงสายหนึ่ง
นั่นเป็นยุคมืดที่พอจะสร้างแรงสะเทือนชั่วกัปกัลป์ การทำลายล้างและเข่นฆ่าสังหารส่งผลกระทบต่อโลกและสิ่งมีชีวิตไม่รู้เท่าไร ความสูญเสียของการบาดเจ็บล้มตายทำให้ใครๆ ต่างไม่อาจลืม!
“‘ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ’ ในสมัยดึกดำบรรพ์หรือ”
เจียงเหิงก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ สูดหายใจเย็นเยียบอย่างอดไม่อยู่
ศึกนั้นเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้ยิ่งใหญ่ระดับจักรพรรดิ เป็นการต่อสู้ของขุมอำนาจสำนักดึกดำบรรพ์มากมายที่ครองอาณาเขตอยู่บนฟ้าดารา
ศึกนั้นยังถูกเรียกว่า ‘ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ’!
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านจะบอกว่าเจดีย์สมบัตินั่นเป็นไปได้สูงว่าจะเคยปรากฏตัวในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิหรือ”
ยามนี้เจียงเหิงตกตะลึงแล้ว
ชายชุดขาวพยักหน้าน้อยๆ กล่าว “นี่ก็คือจุดที่ข้าไม่กล้าแน่ใจ ถึงอย่างไรเจ้าก็รู้ว่าหลังจากศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิปิดฉาก สมบัติบางส่วนที่เคยมีอานุภาพสะเทือนใต้หล้า เกือบทั้งหมดล้วนถูกทำลายไปในการต่อสู้ที่ดุเดือด มีน้อยมากที่สืบทอดต่อกันมาได้อย่างสมบูรณ์”
เจียงเหิงอดถามไม่ได้ “เจดีย์สมบัตินั่นชื่อว่าอะไรกันแน่”
ชายชุดขาวตบบ่าของเจียงเหิงกล่าว “เจดีย์นี้เกี่ยวพันกับความยิ่งใหญ่ สำนักที่อยู่เบื้องหลังมันก็เป็นสถานที่ที่ราวกับสิ่งต้องห้ามแห่งหนึ่งในสมัยดึกดำบรรพ์ ไม่มีใครกล้าพูดถึงส่งเดช รอภายหน้าเมื่อไปที่แหล่งสถานคุนหลุนและจับเจ้าหมอนั่นได้แล้ว ข้าค่อยบอกเจ้า”
พร้อมกันนี้จานกระดองเต่าแปดทิศพลันส่งเสียงกัมปนาทแปลกประหลาด ภาพที่เดิมปรากฏแตกละเอียดกระจัดกระจาย
ใบหน้างามของเจียงเหิงพลันมืดทะมึน กัดฟันกล่าว “หญ้าวิญญาณทองเก้าใบก็ถูกเจ้าโจรนั่นชิงไปแล้ว!”
ชายชุดขาวกลับจมสู่ห้วงความคิด
‘นอกจากเจดีย์นั่นแล้ว ทำไม ‘เตาศุภโชครวมปราณ’ ถึงปรากฏขึ้นพร้อมกัน’
‘ยามศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิในสมัยดึกดำบรรพ์เปิดฉาก เห็นชัดว่าได้ทำลายต้นกำเนิด ‘โลกรกร้างโบราณ’ ที่เป็นแกนสำคัญของเก้าดินแดนไปนานแล้ว…’
‘หรือว่าเรื่องนี้ยังมีความลับอื่นอีก’
‘ดูท่าว่ายามแหล่งสถานคุนหลุนเปิดออก คงต้องจับเจ้านั่นมาไต่สวนดีๆ สักรอบจึงจะได้ ตอนนั้นดินแดนที่มีระดับจักรพรรดิล้มตายมากที่สุดก็คือโลกรกร้างโบราณ!’
บนเวิ้งฟ้าที่ห่างออกไปพลันมีเจียวหลงเขียวยาวสิบกว่าจั้งตัวหนึ่งโฉบมาร้องเรียก “ศิษย์สืบทอดจีเฉียนรับคำสั่ง!”
ชายชุดขาวพลันสีหน้าจริงจัง ประสานมือคารวะ
จีเฉียน
ศิษย์สืบทอดอันดับหนึ่งคนปัจจุบันของสำนักยุทธ์เสวียนจี มกุฎมหาอริยะที่ทรงอำนาจคนหนึ่ง หากอยู่ในเก้าดินแดนล้วนสามารถเปิดสำนักตั้งพรรค ได้รับความเคารพเลื่อมใสจากผู้คนนับไม่ถ้วน
แต่ตอนนี้กลับหน้าตาถ่อมตน โค้งคำนับด้วยความเป็นศิษย์!
แค่นี้ก็เห็นได้แล้วว่ารากฐานของสำนักยุทธ์เสวียนจีแข็งแกร่งแค่ไหน
…
ผ่านไปหลายวัน
สมรภูมิเซียนเหิน
“ในที่สุดก็จะจบแล้ว…”
พวกคุนเซ่าอวี่ เซวี่ยชิงอี จู๋อิ้งคงก้าวออกมาจากอุโมงค์ใต้ดินที่ซ่อนตัว สายตามองไปบนเวิ้งฟ้า ล้วนมีความรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
บนเวิ้งฟ้าปรากฏรอยแยกสีทองสายหนึ่ง มีพลังกฎระเบียบประหลาดลึกลับสายหนึ่งแผ่ออกมาจากรอยแยกนั้นรางๆ
วันนี้เป็นวันที่สิบของการเปิดสมรภูมิเซียนเหิน และเป็นวันที่สมรภูมิเซียนเหินใกล้จะปิดฉากเช่นกัน
“ก็ไม่รู้ว่าค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณจะถูกเหยียบย่ำไปแล้วหรือไม่”
คุนเซ่าอวี่พึมพำ
“แน่นอนว่าไม่มีทางผิดจากที่คาด!”
จู๋อิ้งคงกล่าวหนักแน่น มีตัวหมากที่แฝงในค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณซุ่มโจมตีอยู่ ด้วยแผนนอกในตีประสาน ต่อให้เมืองอารักษ์มรรคที่หลินสวินนั่นสร้างไว้แข็งแกร่งแค่ไหนก็ป่วยการ
“หวังให้เป็นเช่นนั้นเถอะ”
เซวี่ยชิงอีทอดถอนใจ
ต่อให้เหยียบย่ำค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณแล้วอย่างไร ถ้าหลินสวินนั่นไม่ตาย ภายหน้าก็จะกลายเป็นภัยใหญ่ของค่ายทัพแปดดินแดนอยู่ดี!
“ควรไปแล้ว”
ขณะเดียวกันในเขาตัดหมอก หลินสวินเงยหน้าขึ้น แววตาล้ำลึกส่องประกาย
การมาสมรภูมิเซียนเหินครั้งนี้ สำหรับเขาแล้วเรียกได้ว่าเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ หากเป็นไปดังคาด ภายหน้าสถานการณ์ของสมรภูมิเก้าดินแดนต้องเปลี่ยนไปแน่!
ถึงอย่างไรกำลังพลชั้นยอดของค่ายทัพแปดดินแดนก็ถูกล้างบางจนแทบไม่เหลือ เหลือแค่พวกคุนเซ่าอวี่ เซวี่ยชิงอี จู๋อิ้งคงสามคน แน่นอนว่าไม่อาจสร้างคลื่นลมอะไรได้อีก
สิ่งเดียวที่หลินสวินวางใจไม่ลง ก็คือความปลอดภัยของค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณ
……………………
[1] ขันธ์ห้า หมายถึงกองรูปธรรมและนามธรรมทั้งห้าที่ก่อเกิดเป็นตัวตนหรือชีวิต ประกอบด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ