บนเวิ้งฟ้าพลังกฎระเบียบกำลังซัดโหม ใกล้จะก่อตัวเป็นทางน้ำวนอยู่รางๆ
หลินสวินรออยู่เงียบๆ
การมาสมรภูมิเซียนเหินครั้งนี้ นอกจากจะฆ่าศัตรูจนทำให้เขาได้ประโยชน์อย่างมหาศาลแล้ว ตอนนี้ในมือของเขายังมีป้ายคำสั่งเซียนเหินแปดแผ่นที่รวบรวมชะตามรรคผลงานรบได้เพียงพอด้วย
นอกจากนี้ทรัพย์หลังศึกที่ได้มาจากการกำจัดศัตรูก็ยิ่งน่าตื่นตาตื่นใจ วัตถุดิบเทพ สมบัติ ของล้ำค่ามากมายกองพะเนินเหมือนภูเขา มูลค่ามหาศาลไม่อาจประเมิน!
อย่างน้อยในช่วงนี้ไม่ว่าจะเป็นการฝึกปราณหรือหลอมสมบัติอริยะ ล้วนไม่จำเป็นต้องกังวลว่าวัตถุดิบจะไม่พอไปอีกนาน
เปรียบเทียบกันแล้ว ความก้าวหน้าของระดับปราณก็น่าตกตะลึงยิ่งนัก
โดยเฉพาะหลังจากหลอมเถาวัลย์หยกนภาค่ำต้นนั้น การฝึกปราณหนึ่งวันก็เหมือนร้อยวัน ทำให้พลังปราณอริยะแท้ขั้นกลางของหลินสวินบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์
ใช้เวลาไม่นานก็จะถือโอกาสก้าวเข้าสู่ระดับอริยะแท้ขั้นปลายได้!
หากความเร็วของการฝึกปราณเช่นนี้แพร่ออกไป ต้องทำให้ใต้หล้าสั่นสะเทือนแน่
ถึงอย่างไรสมรภูมิเก้าดินแดนก็เพิ่งเปิดมาแค่สองปีเท่านั้น
ในสองปีนี้หลินสวินก้าวสู่ระดับมกุฎอริยะจากระดับมกุฎราชันคนหนึ่งได้อย่างราบรื่น จนถึงตอนนี้ก็มีพลังปราณขั้นกลางระดับสมบูรณ์ในการฝึกอริยมรรคแล้ว ความเร็วของการเลื่อนขั้นเช่นนี้เรียกได้ว่าสะเทือนใต้หล้า!
สิ่งที่คาดไม่ถึงที่สุดคือหลินสวินไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นเพราะอยากเลื่อนขั้นปราณอย่างเดียว แต่ละก้าวของเขาล้วนเคี่ยวกรำจนแน่นหนา เหนือกว่าทุกคนในรุ่นเดียวกัน
มิฉะนั้นเขาคงไม่มีทางครอบครองพลังต่อสู้ที่เกือบจะเรียกได้ว่าไร้คู่ต่อกรในหมู่คนรุ่นเดียวกัน!
โดยทั่วไปการเสาะแสวงอริยมรรค แต่ละก้าวล้วนยากลำบาก เหมือนในดินแดนรกร้างโบราณ บนโลกนั้นแทบจะพบเห็นร่องรอยของบุคคลระดับอริยะได้น้อยนัก เพราะอะไร
ง่ายมาก ด้วยกำลังปิดด่านฝึกปราณอยู่!
สำหรับบุคคลระดับอริยะแท้พวกนี้ การปิดด่านร้อยพันปีเพื่อทะลวงขั้นแทบจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน
แต่การที่หลินสวินบรรลุอริยะได้ในเวลาสั้นๆ แค่สองปี ทั้งยังเลื่อนขั้นในระดับอริยะได้หลายต่อหลายครั้ง มีความเกี่ยวข้องกับการมาสมรภูมิเก้าดินแดนครั้งนี้เป็นอย่างมาก
มีแค่อยู่ในสมรภูมิเก้าดินแดน จึงจะมีโชควาสนาพอจะทำให้มกุฎอริยะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว!
หากตอนนั้นหลินสวินไม่เลือกเข้ามาในสมรภูมิเก้าดินแดน แล้วอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณต่อไป เกรงว่าคงไม่มีทางบรรลุมกุฎอริยะได้เร็วขนาดนี้แน่
“นายท่าน สมรภูมิเซียนเหินใกล้จะปิดฉากแล้ว ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งที่สามนี้ ท่านน่าจะได้ฉายาว่า ‘อันดับหนึ่งในเก้าดินแดน’ ได้แล้ว!”
เสี่ยวอิ๋นกล่าวยินดีทันใด
“ข้าเคยได้ยินว่าในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งก่อน พวกที่กลายเป็นอันดับหนึ่งในเก้าดินแดน หลังจากนั้นล้วนก้าวสู่ระดับมหาจักรพรรดิ ด้วยพลังของท่านตอนนี้ ภายหน้าการบรรลุจักรพรรดิต้องไม่ใช่เรื่องยากอย่างแน่นอน”
เสี่ยวเทียนพยักหน้าอยู่ข้างๆ รู้สึกแบบเดียวกัน
การต่อสู้ในสมรภูมิเซียนเหินครั้งนี้ นายท่านได้กำราบผู้คนในระดับเดียวกันด้วยท่าทางไร้คู่ต่อกร สมกับเป็นอันดับหนึ่ง!
เจ้านกดำเหมือนไม่พอใจ กล่าวเยาะหยันออกมา “อย่าลืมสิ ข้าเป็นคนช่วยนายท่านของพวกเจ้าจากเงื้อมมือของมกุฎมหาอริยะคนหนึ่ง ว่ากันตามจริงข้าต่างหากที่เป็นอันดับหนึ่งในเก้าดินแดนได้อย่างสมชื่อคู่ควร!”
เสี่ยวอิ๋นโวยทันที “เจ้านกขี้ขโมย กล้าประลองกับนายท่านของข้าเพื่อแบ่งสูงต่ำไหมเล่า”
สีหน้าของเสี่ยวเทียนก็เปลี่ยนเป็นไม่เป็นมิตรขึ้นมา
เจ้านกดำลูกตากลอกกลิ้งหมุนวน เหล่มองหลินสวินกล่าวหยั่งเชิง “เจ้าหนู มาเล่นกันหน่อยไหม”
หลินสวินยิ้มสดใส ตกปากรับคำอย่างยินดี “ได้สิ!”
เจ้านกดำพลันยิ้มแห้งกล่าว “ช่างเถอะๆ สมรภูมิเซียนเหินนี้จะปิดฉากอยู่แล้ว จะมาต่อยตีอะไรกันอีก ข้าถอยให้ก้าวหนึ่ง พวกเราเป็นอันดับหนึ่งในเก้าดินแดนคู่กันก็แล้วกัน”
“เป็นอันดับหนึ่งคู่กันหรือ ไม่น่าฟังเกินไปแล้ว ทางที่ดีแบ่งสูงต่ำกันไปเลยจะดีกว่า”
หลินสวินพูดพลางก้าวออกไปก้าวหนึ่ง
กลับเห็นเจ้านกดำพุ่งหลบห่างออกไปเหมือนนกหวาดธนู ทำให้เสี่ยวอิ๋นและเสี่ยวเทียนหัวเราะเยาะขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่
เจ้าหมอนี่แค่มองก็รู้แล้วว่าร้อนตัว!
หลินสวินถอยกลับไม่ลงมือ แต่เจ้านกดำกลับรู้สึกหน้าร้อนผ่าว ไม่พูดถึงเรื่องอันดับหนึ่งในเก้าดินแดนไปพักหนึ่ง
วู้ม!
ไม่นานบนเวิ้งฟ้าปรากฏอุโมงค์น้ำวนขนาดมหึมาหนึ่ง
“ไป!”
หลินสวินพาเสี่ยวอิ๋น เสี่ยวเทียนและเจ้านกดำทะยานสู่ฟากฟ้าไปพร้อมกันโดยไม่ลังเล
…
โลกรกร้างโบราณ เมืองอารักษ์มรรค
ศึกใหญ่สิ้นสุดไปหลายวันแล้ว นอกเมืองบนสนามรบที่พังพินาศ น้ำเลือดและซากศพที่กระจายอยู่ทั่วนั้นถูกจัดการไปนานแล้ว
ยามนี้ล้วนสะอาดหมดจด ไม่แปดเปื้อนโลกีย์
ในเมืองมีเสียงหัวเราะเริงร่ายินดีดังครึกครื้นอย่างต่อเนื่อง บนหน้าของผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณทุกคนต่างเจือความผ่อนคลายและเชื่อมั่นจากก้นบึ้งหัวใจ
ทัพพันธมิตรแปดดินแดนออกโจมตีเต็มกำลัง แต่สุดท้ายก็ได้แต่สลัดขนหนีกลับ เหลือไว้เพียงซากศพและกลิ่นคาวเลือดนองพื้น พูดได้ว่าล้มตายกันเป็นเบือ
จากบันทึกภายหลัง แค่มกุฎอริยะที่ถูกฆ่าล้วนมีมากกว่าร้อยคน!
สำหรับค่ายทัพแปดดินแดน นี่เรียกได้ว่าเป็นการโจมตีอย่างหนักหน่วง ภายหน้าคงถูกลิขิตให้ไม่อาจรวบรวมกำลังพลที่มีขนาดแบบเดียวกันมารุกรานไปได้อีกนาน
ส่วนค่าตอบแทนที่ดินแดนรกร้างโบราณต้องจ่าย ก็มีแค่กระบวนค่ายกลสี่ยอดแปดพิทักษ์ถูกทำลาย แต่ไม่ปรากฏเลขคนตายสักตัวเหมือนปาฏิหาริย์!
“แม่นางซย่าจื้อคนนั้นแข็งแกร่งเกินไปแล้ว เหมือนกับคนที่ไร้คู่ต่อกร ข้ายังแคลงใจ เกรงว่าแม้แต่ผู้อาวุโสหลินสวินก็คงไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้”
“นี่เจ้าพูดอะไร ต่อให้แม่นางซย่าจื้อแข็งแกร่งแค่ไหนก็เป็นคนรู้ใจของผู้อาวุโสหลินสวิน นี่ก็คือสิ่งที่ทำให้ข้านับถือผู้อาวุโสหลินสวินที่สุด”
“จริงสิ วันนี้ถึงเวลาที่สมรภูมิเซียนเหินปิดฉากแล้ว ก็ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสหลินสวินจะกลับมาอย่างปลอดภัยหรือไม่…”
“ถุย! ปากอัปมงคล!”
ในที่นั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์แบบเดียวกันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“เจ้าว่าเมื่อพี่ใหญ่กลับมาจะทักทายใครก่อน”
ขณะเดียวกันเจ้าคางคกและอาหลู่หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ในที่ลับ มองเงาร่างทั้งสองที่ยืนห่างออกไปบนกำแพงเมือง ล้วนมีความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง
บรรยากาศดูพิกลเกินไปแล้ว!
บนกำแพงเมือง ซย่าจื้อยืนโดดเดี่ยว เงาร่างสูงเพรียวปกคลุมด้วยความมืดแห่งรัตติกาลนิรันดร์ราวกับรูปปั้น หลังจากการต่อสู้เมื่อหลายวันก่อนปิดฉากลงก็ยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้นมาตลอด ไม่เอ่ยวาจา
ส่วนจ้าวจิ่งเซวียนก็ไม่รู้ว่าคิดอะไร ไปยืนรออยู่ตรงนั้นเช่นกัน ซย่าจื้อยืน นางก็ยืน ไม่มีความคิดจะจากไปแม้แต่น้อย
“แน่นอนว่า…”
อาหลู่กำลังจะพูดอะไร แต่กลับพบว่าคำถามนี้ดูเหมือนง่าย ก็แค่ทักทายกันเท่านั้น แต่ความจริงไม่ง่ายเลยแม้แต่น้อย
ไม่ว่าจะทักทายใครก่อน ก็ดูเหมือน… จะทำให้อีกคนไม่สบายใจ!
อาหลู่กล่าวพึมพำ “เรื่องแบบนี้แม้พวกเราจะเป็นพี่น้องก็ช่วยอะไรไม่ได้ ได้แต่ให้พี่ใหญ่ตามหาความสุขด้วยตัวเองแล้ว”
“เจ้าดูสิ แม่นางจิ่งเซวียนทั้งสวยทั้งฉลาด หน้าตาดุจภาพวาด งามผุดผ่องราวกับเซียน สมเป็นยอดหญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าจริงๆ สิ่งที่หาได้ยากก็คือนางกับพี่ใหญ่ต่างชอบพอกัน ประหนึ่งคู่ที่ฟ้าดินสรรสร้าง”
เจ้าคางคกหน้าตาทอดถอนใจ “แต่เช่นเดียวกัน แม่นางซย่าจื้อเองไม่ได้ด้อยไปกว่ากันแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้วนางก็ใช้ชีวิตมากับพี่ใหญ่ ความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนม ทั้งความงามของแม่นางซย่าจื้อ อาหลู่ เจ้าก็เห็นว่านั่นคือหญิงงามแห่งยุคที่นำภัยพิบัติมาสู่ชาติบ้านเมืองได้ งามจนสามารถทำให้ฟ้าดินไร้สี! พี่ใหญ่ประคบประหงมนางเสียจนเข้ากระดูก”
“หญิงสาวสองคนนี้ ไม่ว่าคนไหนก็ล้วนทำให้วีรบุรุษนับไม่ถ้วนเทิดทูน แต่ทั้งสองกลับมีความสัมพันธ์ซับซ้อนซ่อนเงื่อนกับพี่ใหญ่ซะอย่างนั้น”
พูดถึงตรงนี้เจ้าคางคกหน้าตาสับสน ถอนใจยาวกล่าว “เลือกไม่ได้ เลือกไม่ได้จริงๆ!”
อาหลู่หน้าตาทอดถอนใจเช่นกัน กล่าวว่า “ให้ตายเถอะ พวกเราแค่ดูยังรู้สึกสับสน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพี่ใหญ่ เขาต้องเจ็บปวดกว่าแน่”
เจ้าคางคกแค่นหัวเราะในคอกล่าว “ความสุขของคนมากภรรยาไม่ใช่สิ่งที่เสพสุขได้ง่ายดายเช่นนั้น โดยเฉพาะคนอย่างแม่นางจิ่งเซวียนและแม่นางซย่าจื้อ แต่ละคนต่างเป็นยอดหญิงงามในใต้หล้า มีหรือจะยอมลดตัวไปปรนนิบัติผู้ชายคนเดียวร่วมกับคนอื่น”
ขณะที่ทั้งสองคนพูดกันพึมพำ บรรยากาศบนกำแพงเมืองกลับพิกลยิ่งนัก
ซย่าจื้อยืนอยู่ตรงนั้น แสงแห่งรัตติกาลนิรันดร์ปกคลุมไปทั้งตัว ไม่มีใครสังเกตเห็นใบหน้าของนาง ดูลึกลับและทำให้ผู้คนรู้สึกกริ่งเกรง
แต่แค่ยืนอยู่ตรงนั้น นางก็เป็นช่วงเวลานิรันดร์ที่ถูกจับตามองมากที่สุดแล้ว
จ้าวจิ่งเซวียนสวมชุดกระโปรงสีม่วงอ่อน ผมสีดำทิ้งตัวลงมา ใบหน้าไร้สิ่งแต่งแต้ม หน้าตางามผุดผ่องดุจภาพวาด ร่างสูงเพรียวบาง ผิวขาวผ่องเกลี้ยงเกลา นางยืนอยู่ตรงนั้นตามอารมณ์ก็มีกลิ่นอายสูงส่งจากภายในสู่ภายนอก
นี่มีความเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมวัยเด็กของนาง และมีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับสายเลือดเจินหลงที่ไหลวนอยู่ในตัวนางด้วย
ทั้งสองคนยืนอยู่ตรงนี้มาหลายวันแล้ว
ไม่ว่าใครก็มองออกว่าบรรยากาศระหว่างพวกนางสองคนมีบางอย่างผิดแปลกไป ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นเซ่าเฮ่า รั่วอู่ หรือพวกเซี่ยวชางเทียนจึงเลือกจะถอยออกมาตั้งแต่พริบตาแรก
กระทั่งบนกำแพงเมืองที่กว้างใหญ่นั้น หลายวันมานี้มีแต่เงาร่างของพวกนางสองคนยืนอยู่ตรงนั้น
“หวังว่าหลินสวินจะกลับมาโดยเร็วเถอะ มิฉะนั้นข้าเป็นห่วงจริงๆ ว่าทั้งสองคนจะเกิดความขัดแย้งอะไรขึ้น”
เซ่าเฮ่าทอดถอนใจ
เขากำลังร่ำสุราอยู่กับพวกเซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉิน
เยี่ยเฉินยิ้มกล่าว “ว่าไปแล้ว เจ้าหลินสวินนี่ก็บรรลุมกุฎอริยะ ถึงเวลาเลือกคู่บำเพ็ญแล้ว ก็ไม่รู้ว่าในใจเขาชอบพอใครมากที่สุด”
เซี่ยวชางเทียนกล่าว “หากเปลี่ยนเป็นข้า ขอแค่ข้าชอบพอก็จะคว้ามาไว้ข้างกายให้หมด จะยุ่งยากไปทำไม”
เยี่ยเฉินพูดจาเหน็บแนมทันที “ทำไมข้าได้ยินมาว่าตอนเด็กเจ้าเคยถูกเด็กผู้หญิงคนหนึ่งรังแกมาก่อน บีบจนเจ้าต้องเปลือยก้นหนีหัวซุกหัวซุนไปทั่ว เกือบร้องไห้หาพ่อแม่ ตั้งแต่นั้นมาเจ้าก็เอ็ดตะโรว่าชีวิตนี้ไม่คิดจะสัมผัสหญิงใดแล้วไม่ใช่หรือ”
เซี่ยวชางเทียนหน้าแข็งทื่อ พลันบันดาลโทสะ “ข้าก็ได้ยินมา ว่าตอนเด็กเจ้าเยี่ยเฉินถูกลูกพี่ลูกน้องหญิงกลุ่มหนึ่งเล่นกอดจูบกันทุกวัน นี่่ยังไม่นับเรื่องที่เจ้าชอบทำอย่างว่าตั้งแต่เด็ก ไม่รู้สึกละอายบ้างหรือ”
ใบหน้าของเยี่ยเฉินมืดทะมึนขึ้นมาในชั่วขณะเดียว ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “นั่นมันตอนเด็กไม่รู้ความ!”
เซี่ยวชางเทียนโจมตีกลับ ไม่ถอยแม้แต่น้อย “ตอนเด็กข้าเปลือยก้นวิ่งเล่นแล้วจะทำไม”
เซ่าเฮ่านั่งอยู่ข้างๆ อยากจะหัวเราะก็ไม่กล้าหัวเราะ อึดอัดจนหน้ากระตุก เจ้าสองคนนี้เหมือนตั้งดวงมาขัดกันจริงๆ เจอหน้ากันทีไรก็ตีกันทุกที ไม่มีใครยอมใคร สุดยอดจริงๆ
“กลับมาแล้ว!”
ทันใดนั้นนอกเรือนมีเสียงประหลาดใจยินดีของรั่วอู่ดังขึ้น
เวลานี้ผู้ฝึกปราณในเมืองอารักษ์มรรคต่างสังเกตเห็น ว่าบนเวิ้งฟ้าที่ห่างออกไปนั้นพลันปรากฏทางน้ำวนมหึมาหนึ่ง
รุ้งเทพแพรวพราวสายหนึ่งพุ่งโฉบออกมาตามกัน พลันกลายเป็นเงาร่างสูงตระหง่านหนึ่งกลางอากาศ ชุดสีขาวพระจันทร์พลิ้วไหว โดดเด่นไร้มลทินราวกับเทพเซียน
เป็นหลินสวิน!
ซย่าจื้อ จ้าวจิ่งเซวียนที่เดิมยืนรออยู่บนกำแพงเมืองมาตลอด แทบจะเหลือบสายตามองไปพร้อมกัน
………………….