ในเวลาต่อมาหลินสวินพาซย่าจื้อออกจากเมืองอารักษ์มรรค เดินไปในสมรภูมิเก้าดินแดน
ระหว่างที่เดินท่องภูผาธารา ก้าวเดินแช่มช้าใต้หมู่ดาว
ตลอดทางหลินสวินวางเรื่องราวทางโลกทั้งหมดไป นำของอร่อย ของน่าสนุก ของน่าสนใจที่เก็บรวบรวมได้หลายปีมานี้ออกมาหมด
แต่ที่ทำให้หลินสวินทำหน้าไม่ถูกก็คือ ซย่าจื้อชอบกินเพียงอย่างเดียว ไม่สนใจของน่าสนุก ของน่าสนใจเหล่านั้นสักนิด
อีกทั้ง ที่ซย่าจื้อชอบที่สุดยังเป็นการกินเนื้อ ทั้งต้ม ทอด จี่ ย่าง อบ ตุ๋น เคี่ยว… ขอเพียงเป็นเนื้อย่อมไม่ปฏิเสธ
นี่ทำให้หลินสวินรำพึงอย่างอดไม่ได้ ว่ากินได้นับเป็นโชค
ซย่าจื้อพูดน้อยมาตลอด อยู่เคียงข้างหลินสวินเงียบๆ เช่นนั้น บางคราวหลินสวินก็อยากจะแหย่นางอย่างห้ามไม่อยู่ แต่กลับถูกนางใช้สายตาราวกับมอง ‘เด็กน้อย’ ทำให้พ่ายไป
พอเป็นช่วงเวลาเช่นนี้ หลินสวินจะเขินอายอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็กลั้นขำ แล้วก็หัวเราะเสียงดัง เหมือนมีแต่ต่อหน้าซย่าจื้อเท่านั้นตนเองถึงจะเหมือน… ‘เด็กน้อย’ เช่นนี้ได้
ซย่าจื้อหนึ่งคน เหล้าหนึ่งกา เดินเตร่ด้วยกันไปตลอดทาง เป็นสุขได้อย่างข้าจะมีกี่คน
น่าเสียดาย ทิวทัศน์อันงดงามนั้นสั้นเสมอ
ครึ่งเดือนผ่านไป สุดท้ายซย่าจื้อก็ยังจะจากไป
“หลินสวิน รอข้ากลับมานะ”
ยังเหมือนตอนจากกันแต่ก่อน คราวนี้ซย่าจื้อก็เอ่ยปากอย่างจริงจังเช่นนี้
“ไปเถอะๆ”
หลินสวินก็คิดตกแล้ว หยิบน้ำเต้าสุราออกมา โบกมือบอกลา
ซย่าจื้อกลับเดินเข้ามา เข้าสู่อ้อมกอดของหลินสวิน ร่างสูงโปร่งเพรียวบางนุ่มลื่นราวหยกอ่อน กลิ่นหอมคลุมเครือเย็นกระจ่างอบอวล
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กอดซย่าจื้อไว้แน่นๆ คล้ายกลัวแต่ว่าครู่ต่อมาอีกฝ่ายก็จะหายไป
“อยากแต่งนางก็ได้ แต่เจ้าต้องเอาชนะข้าก่อน”
จู่ๆ ซย่าจื้อก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่คาดคิด ทำเอาหลินสวินตัวแข็งทื่อฉับพลัน สีหน้าชะงักงันไปครู่หนึ่ง มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย
‘นาง’ ย่อมหมายถึงจ้าวจิ่งเซวียน
เพียงแต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่าซย่าจื้อจะยังพะวงกับเรื่องนี้อยู่
“ได้!”
ครุ่นคิดครู่หนึ่งหลินสวินก็เกิดใจกล้าขึ้นมาทันที “ไม่งั้น ตอนนี้ก็ลองดูไหม”
ซย่าจื้อช้อนตามองดูสีหน้าอยากลองสู้ของหลินสวินแล้วพูดว่า “เจ้ารีบร้อนขนาดนี้เชียวหรือ”
หลินสวินเก้อเขินในทันใด เอ่ยว่า “งั้นคราวหน้าก็แล้วกัน”
ซย่าจื้อถอยหลังไปสองก้าว จู่ๆ ทวนยาวกระดูกขาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ แทงเข้าไปในอากาศเบาๆ ครั้งหนึ่ง แล้วบุกเข้ามาหาหลินสวิน
เรียบง่าย ไม่ฉูดฉาด
แต่ในสายตาหลินสวิน ทวนนี้กลับเหมือนคมประกายที่แหลมคมที่สุดในโลก สามารถแทงทะลุได้ทุกสิ่ง ไม่ว่าตนจะหลบหนีอย่างไรก็ไม่อาจหลบประกายคมนี้ได้!
ความรู้สึกนั้นก็เหมือนดั่งมหามรรคมาเยือน ทวนก็คือมรรค มรรคก็คือทวน มรรคอยู่ทุกแห่งหน ไปถึงทุกแห่งหน ทวนก็เช่นกัน!
ชั่วขณะนี้เวลาเหมือนช้าลงหาใดเทียบ
นัยน์ตาของหลินสวินหดรัด ความสามารถในการต่อสู้ที่เคี่ยวกรำด้วยการเข่นฆ่าชิงชัยมาหลายปี ทำให้เขาตอบสนองอย่างหนึ่งในชั่วพริบตา…
ถอย!
แต่ก็ในตอนนี้เอง ทุกอย่างตรงหน้าล้วนหายลับไป มรรคไม่ดำรง ทวนไม่มีอยู่ ไกลออกไปซย่าจื้อยืนอยู่เพียงลำพัง สุขุมเยือกเย็น
หลินสวินถอนหายใจเบาๆ เขาตัดสินได้โดยสมบูรณ์แล้วว่าซย่าจื้อไร้ศัตรูในระดับนี้ ต่อให้ประมือกันจริงๆ บางทีตนอาจมีความหวังที่จะชนะ แต่ไม่มาก
ซย่าจื้อเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “ยังอยากลองไหม”
นี่ไม่ใช่การโอ้อวดแสนยานุภาพ แต่กลับทำให้หลินสวินยิ้มเจื่อน เอ่ยว่า “พวกเราสองคน ไยต้องมาต่อสู้กันเอาตอนนี้”
ซย่าจื้อร้องอืม เดินออกมาข้างหน้า ใบหน้าเล็กเพริศพริ้งจนสามารถล่มเมืองล่มนครได้นั้นพลันคลี่ยิ้มซุกซน เอ่ยว่า “หลินสวิน เจ้าน่ารักเหมือนเซี่ยวเซี่ยวเลย”
“เซี่ยวเซี่ยวเป็นใคร” หลินสวินชะงักไป
ครู่ต่อมาเขาก็เห็นกระต่ายน้อยขนสีชมพูอ่อนๆ ตัวเท่ากำปั้นตัวหนึ่งปรากฏอยู่ที่ไหล่ของซย่าจื้อ ดวงตาดำขลับทั้งสองเต็มไปด้วยไอวิญญาณ
กระต่ายน้อยเผยอปากฉีกยิ้มขึ้นมา เผยให้เห็นฟันกระต่ายสีขาวโพลนเปล่งปลั่งคู่หนึ่ง ดูน่าขันหาใดเทียบ
แต่หลินสวินสีหน้าเกือบมืดทะมึน ซย่าจื้อถึงกับบอกว่าตนน่ารักเหมือนกระตายสีชมพูตัวหนึ่งหรือนี่
หากเรื่องนี้กระจายออกไป เหล่าผู้กล้าในดินแดนรกร้างโบราณจะมองเขาอย่างไร
ซย่าจื้อกลับยิ้มสดใส เย้าแหย่กระต่ายน้อยสีชมพูบนไหล่แล้วพูดว่า “เจ้าดูสิ พอเซี่ยวเซี่ยวยิ้มขึ้นมาน่ารักมาก”
กระต่ายน้อยสีชมพูยิงฟันอย่างให้ความร่วมมือ ยิ้มอย่างปรีดา ส่งเสียงจี๊ดๆๆ ออกมา เหมือนก้อนกลมขนปุยสีชมพูกลิ้งไปกลิ้งมาบนไหล่ของซย่าจื้อ
ใบหน้าดั่งดรุณี เงาร่างสะโอดสะอง งดงามดุจนางเซียนที่ไม่แปดเปื้อนโลกีย์ในโลกหล้า น้อยนักที่จะเผยรอยยิ้มสดใสเช่นนี้
ก็ในตอนนี้เอง จู่ๆ หลินสวินก็พบว่า ไม่ว่าซย่าจื้อจะแข็งแกร่งหรือสะสวยเพียงไหน แต่ในส่วนลึกของจิตใจ นางยังใสซื่อบริสุทธิ์ราวกับเด็กน้อย
เพียงแต่ตลอดมานางเผยออกมาน้อยนัก
ชั่วขณะหนึ่ง มองดูซย่าจื้อที่ขณะนี้กลิ่นอายมีชีวิตชีวา งดงามสดใสเปล่งประกาย สีหน้าหลินสวินก็ปรากฏแววเหม่อลอย จิตใจหวั่นไหว
“ไปแล้วนะ”
ไม่นานนักซย่าจื้อก็จากไปอย่างปุบปับฉับไว
นิสัยนางไม่ชักช้ายืดยาดแต่ไหนแต่ไร
กลางห้วงอากาศ เงาร่างนางเดินไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ที่ไหล่ กระต่ายสีชมพูฉีกยิ้มพลางโบกมือน้อยบอกลาหลินสวิน
หลินสวินเห็นภาพเช่นนี้เข้าก็ขำอย่างอดไม่ได้เสียแล้ว โบกมือให้
ประตูว่างเปล่าราวรัตติกาลมืดมิดบานหนึ่งปรากฏอยู่บนเวิ้งฟ้า เงาร่างของซย่าจื้อเดินเข้าไปในนั้นแล้วหายลับไปเช่นนี้
“ประตูบานนั้น สามารถเพิกเฉยต่อพลังกฎระเบียบฟ้าดินของสมรภูมิเก้าดินแดนได้ ที่ที่ซย่าจื้อไปเป็นสถานที่แบบไหนกันแน่”
ดวงตาดำหลินสวินลุ่มลึก เขาเคยเห็นประตูรัตติกาลบานนี้มาก่อน
ตอนซย่าจื้อออกจากทะเลหมากดารา ก็เข้าไปในประตูนี้เช่นกัน
เพียงแต่หลินสวินกลับเพิ่งค้นพบในขณะนี้ ว่าประตูรัตติกาลบานนี้ไม่ธรรมดาปานไหน!
……
ซย่าจื้อไปแล้ว
สำหรับค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณแล้ว นอกจากทอดถอนใจบ้าง ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตอะไร
ค่ายทัพแปดดินแดนถูกตีพ่าย บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน จึงทำให้ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณได้ทรัพย์หลังศึกมหาศาลราวมหาสมุทร
หลังทรัพย์หลังศึกเหล่านี้ได้รับการจัดระเบียบและจัดสรรให้แต่ละคน
ต่อให้เป็นคนที่ไม่ได้เข้าร่วมในศึกอย่างจ้าวจิ่งเซวียนก็ได้ส่วนแบ่งไปส่วนหนึ่ง
พวกเสี่ยวอิ๋น เสี่ยวเทียน เจ้านกดำก็ต่างได้ผลเก็บเกี่ยว
ในกลุ่มนี้คนที่ได้ผลเก็บเกี่ยวมากที่สุดย่อมเป็นหลินสวิน เพราะทรัพย์หลังศึกที่เดิมเป็นส่วนของซย่าจื้อนั้นก็มอบให้เขาไปหมด
หลินสวินเพียงสะสางสมบัติอริยะที่ตนได้มาสักหน่อย ก็ตกใจสะดุ้งโหยงอย่างอดไม่ได้ ถึงกับมีมากกว่าสี่ร้อยชิ้น!
ทั้งในนี้ยังไม่ขาดสมบัติอัศจรรย์มรรคอริยะอันล้ำค่าหาได้ยาก!
นอกจากนี้ยังมีวัตถุดิบเทพ ลูกกลอนโอสถ ของล้ำค่าอัศจรรย์ คัมภีร์ลับ แร่ธาตุ… แน่นขนัดนับไม่ถ้วน
หลังจากนั้น สำหรับค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณแล้วเหลือเพียงสองเรื่อง
เรื่องแรกก็คือตามไล่สังหารล้อมโจมตีขุมอำนาจศัตรูส่วนที่เหลือซึ่งหลบหนีไปตามที่ต่างๆ ดังคำกล่าวที่ว่าฉวยโอกาสยามรุ่งเรืองสังหารศัตรูที่เหลือรอด ไม่ปล่อยศัตรูไปให้กลายเป็นภัยในภายหลัง!
ปฏิบัติกับศัตรู ต้องเย็นชาดั่งลมสารทกวาดใบไม้
เรื่องนี้นำโดยเซ่าเฮ่าและรั่วอู่ สั่งการควบคุมผู้แข็งแกร่งค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณ และเริ่มออกเคลื่อนไหวไปแล้ว
ส่วนเรื่องที่สองเป็นการหาวาสนาบรรลุมกุฎอริยะ
เหลือเวลาอีกหนึ่งปีก่อนการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนปิดฉากลง
ในหนึ่งปีนี้จะยังมีแดนลับมหัศจรรย์ไม่น้อยมาเยือนสมรภูมิ ในนั้นไม่ขาดแดนลับที่มีวาสนาบรรลุมกุฎอริยะเหมือนอย่าง ‘นรกโลกันตร์’ และ ‘สนามแม่เหล็ก’
และในค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณ ยังมีผู้แข็งแกร่งที่ครอบครองคุณสมบัติบรรลุมกุฎอริยะ แต่กลับยังไม่อาจบรรลุมกุฎอริยะอยู่ไม่น้อย
ส่วนเรื่องนี้มอบให้เจ้านกดำ เจ้าคางคกและอาหลู่มาทำ
ด้านหลินสวินวางมือจากทุกอย่างแล้ว ใช้ความคิดจิตใจไปกับการสร้างเมือง
เมืองอารักษ์มรรคในตอนนี้อาจเรียกได้ว่าแข็งแกร่งแล้ว แต่หลังจากผ่านเรื่องค่ายทัพแปดดินแดนรวมกำลังรุกรานคราวก่อน ทำให้หลินสวินรับรู้ได้ว่า ถ้าต้องการให้เมืองนี้ไม่เสื่อมคลายแม้ในภายภาคหน้า เท่านี้ยังไม่เพียงพอยิ่งนัก!
สามเดือนผ่านไป
เมืองอารักษ์มรรคเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่เอี่ยม กำแพงเมืองสีทองเปล่งพลังชีวิตไพศาล เชื่อมพลังแห่งฟ้าดิน ประหนึ่งสถานพำนักของอริยเทพในตำนาน
เวลาสามเดือน หลินสวินหลอมวัตถุดิบเทพจำนวนมาก ทั้งสร้างกระบวนค่ายกลอริยะใหม่ทั้งหมด นามว่า ‘กระบวนค่ายกลยอดยุทธ์ควบคุมห้วงอากาศ’ บนฐานของกระบวนค่ายกลสี่ยอดแปดพิทักษ์
กระบวนค่ายกลนี้สามารถใช้พลังห้วงอากาศโดยรอบ แปรเป็นผนึกยอดยุทธ์ กีดกันศัตรูที่อยู่ห่างไปแปดพันจั้งได้ อานุภาพสุดหยั่ง
เช่นนี้แล้วต่อให้ศัตรูปรากฏตัวในที่ที่ห่างไปแปดพันจั้งก็จะต้องถูกจู่โจม ชดเชยข้อบกพร่องใหญ่ของค่ายกลสี่ยอดแปดพิทักษ์
อีกทั้งหลังปรับปรุงเมืองแล้ว ก็จะยิ่งมั่นคงด้วยการซึมซาบพลังแห่งกระบวนผนึกอริยะมรรค
พูดง่ายๆ ก็คือ เมืองเดียวก็เหมือนดั่งสมบัติอริยะป้องกันชิ้นหนึ่ง และหากบ่มเพาะในกระบวนค่ายกลใหญ่ คุณภาพก็ยิ่งสูงขึ้น
พอทำทุกอย่างนี้เสร็จ หลินสวินก็วางเรื่องที่อยู่ในมือโดยสิ้นเชิง ตัดสินใจว่าจะสร้างพลังแห่งตนก่อนการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนจะจบลง!
และเป็นในวันนี้เอง ที่หลินสวินออกจากเมืองอารักษ์มรรค
เวิ้งฟ้าสีคราม เมฆขาวเป็นก้อนๆ ราวสำลี
เบื้องหน้าทะเลสาบเขียวมรกตราวอัญมณีแห่งหนึ่ง หลินสวินนั่งขัดสมาธิอยู่ริมฝั่ง มือถือเบ็ดตกปลาที่ทำจากไม้ไผ่อันหนึ่ง ข้างกายมีน้ำเต้าสุราเปลือกเขียววางอยู่ใบหนึ่ง เขากำลังลงเบ็ด ท่วงท่าผ่อนคลาย
ลมเย็นพัดเอื่อย คลื่นมรกตไหวกระเพื่อม ด้านบนมีเมฆขาวเต็มฟ้าคราม โดยรอบว่างเปล่าเงียบสงบ
หนึ่งวันผ่านไป
หลินสวินจิตใจว่างเปล่า ไม่มีความคิดใดในสมอง ตกปลาอยู่ริมทะเลสาบมรกตเพียงลำพัง ไม่ไหวติงแม้สักนิด
สามวันผ่านไป
การขับเคลื่อนพลังรอบกายหลินสวินหายไปสิ้น ว่างเปล่าไร้สิ่งใด ไม่มีระลอกคลื่นใดแม้สักนิด
เจ็ดวันผ่านไป
นกที่มีปีกงามจรัสหลากสีตัวหนึ่งบินมา โรยตัวลงบนไหล่หลินสวินอย่างแผ่วเบา ใช้จะงอยปากจัดระเบียบขนนก ไม่รู้สึกสักนิดว่าที่ที่ตนทิ้งตัวลงเป็นสิ่งมีชีวิต
สิบวันผ่านไป
หลินสวินลืมตา ข้อมือที่จับเบ็ดตกปลาไว้สั่นเล็กน้อย
ซ่า
ภาพที่น่าตกตะลึงปรากฏขึ้น ทะเลสาบกว้างใหญ่ไพศาลที่มีขอบเขตพันหมู่ถูเส้นเอ็นที่บางราวเส้นผมเส้นหนึ่ง ‘ตก’ ขึ้นมา
ผิวน้ำลอยสูงขึ้นช้าๆ ทั้งทะเลสาบไม่นานก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ประหนึ่งผลึกน้ำโปร่งใสขนาดมหึมาอันหนึ่ง เผยประกายงดงามพร่างพร้อยใต้ท้องนภา
ในผลึกมีหินผาก้อนกรวดมากมายหลากสี มีพืชน้ำโบกไหวกรีดกราย และมีหมู่ปลาที่รวมตัวเป็นฝูงแหวกว่ายไปมา…
ทะเลสาบใหญ่โตถูก ‘ตก’ มาถึงกลางอากาศ แต่กลับไม่มีน้ำหยดลงมาสักหยด ทิวทัศน์ของทะเลสาบปรากฏขึ้นในสายตาจนหมด
อีกทั้งทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่า เดิมทีทะเลสาบสายนี้ก็ลอยอยู่กลางอากาศอยู่แล้ว กลมกลืนสอดคล้องกับธรรมชาติแถบนี้อย่างบอกไม่ถูก
หลินสวินมองดูภาพนี้ กลับนิ่วหน้าอย่างอดไม่ได้
ซ่า!
ครู่ต่อมาทะเลสาบก็ตกลงไปที่พื้นอีกครั้ง ปรากฏการณ์ประหลาดมลายสิ้น
หลินสวินถือเบ็ดตกปลาว่างเปล่า เอ่ยพึมพำว่า “มัจฉาเปลือยเปล่าหลุดพ้นหุบเขาเร้น กลับไปมาตามอิสระไร้อุปสรรค ใจไร้กังวลจึงจะเป็นแก่นแท้แห่งสภาวะจิตเหนือธรรมดา น่าเสียดาย สภาวะจิตเหนือธรรมดาเพียงไหน ก็ไม่มีประโยชน์กับการสร้างวิชาแห่งตน…”
“วิชานี้ ต้องหาในตัวเอง!”
พูดจบหลินสวินก็ลุกขึ้นยืน สองมือไพล่หลัง เหยียบย่างไปในทะเลสาบ
——