“ภายหน้า พวกเราต้องเปลี่ยนท่าทีที่ปฏิบัติต่อหลินสวินแล้ว…”
และมีสำนักโบราณมากมายรับรู้ได้ว่า หลินสวินในตอนนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนโดยสิ้นเชิงแล้ว
เขาคือนายเหนือหัวแห่งระดับมกุฎราชัน เป็น ‘อันดับหนึ่งในสมรภูมิเก้าดินแดน’ ที่ทั้งเก้าดินแดนต้องยอมรับไปแล้ว!
มองไปทั้งดินแดนรกร้างโบราณ ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบันก็มีคนผู้นี้เพียงคนเดียว!
“ตัวคนเดียว เป็นดั่งหนึ่งสำนัก!”
เฒ่าชราระดับอริยะบางคนสะท้อนใจ
หลินสวินในตอนนี้อาจจะอยู่เพียงชั้นอริยะแท้ของระดับอริยะ แต่ความสำเร็จในอนาคตจะต้องเหนือล้ำผู้มีระดับอริยะทุกคนในตอนนี้อย่างแน่นนอน!
เพียงคำว่า ‘มกุฎ’ ก็เพียงพอที่จะทำให้อริยะแท้ในดินแดนรกร้างโบราณเหล่านั้นก้มหัวให้ได้!
“เมื่อก่อนตอนเด็กคนนี้ถูกมองว่าเป็นตำนานในยุคปัจจุบัน ข้ายังเย้ยหยันอยู่เลย แต่ตอนนี้… ไม่ยอมรับคงไม่ได้แล้ว!”
“ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ดินแดนรกร้างโบราณในภายภาคหน้าจะกลายเป็นโลกของมกุฎรุ่นเยาว์เหล่านั้น และหลินสวินคนนี้ต้องเป็นผู้นำอย่างไร้ข้อกังขา”
การสนทนาทำนองนี้ยังเกิดขึ้นต่อไป ตามกาลเวลาที่ผันผ่าน ทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณต่างก็รู้ผลงานในสมรภูมิเก้าดินแดนของหลินสวิน
ชั่วขณะเดียว ไม่ว่าที่ใดในใต้หล้าต่างก็ไหวหวั่น ล้วนกล่าวถึงชื่อ ‘หลินสวิน’!
……
หอฤทธิ์เทพ
ท่านเมี่ยวเสวียนหัวเราะร่า เสียงหัวเราะก้องดังถึงชั้นเมฆ พึงพอใจอย่างบอกไม่ถูก
ในตอนนี้จิตใจที่เขม็งเครียดของเขานั้นก็ผ่อนคลายลงโดยสมบูรณ์ในที่สุด ตัวเขาโล่งสบาย ตื่นเต้นและปรีดาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“เจ้าหลินสวินตัวดี เป็นอันดับหนึ่งของสมรภูมิเก้าดินแดนได้จริงๆ!”
“ศิษย์พี่ ท่านพูดถูก ความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงสมรภูมิเก้าดินแดนขึ้นอยู่กับเด็กคนนี้เพียงคนเดียว และบัดนี้ ทั้งหมดนี้ก็เป็นจริงแล้ว”
ท่านเมี่ยวเสวียนให้ความรู้สึกสง่างาม สุภาพอ่อนโยนเสมอ แต่ตอนนี้เขากลับท่าทางโอหัง หัวเราะร่าไม่ว่างเว้น
จนท้ายที่สุดถึงกับเอากาสุรากาหนึ่งออกมาดื่มอย่างหนักหน่วง ร้องเสียงดังว่า “เด็กๆ เอาพู่กันกระดาษออกมา!”
เด็กรับใช้คนหนึ่งก้าวออกมาด้วยความเคารพนบนอบทันที นำพู่กันวสันตสารทกับหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์มามอบให้
ท่านเมี่ยวเสวียนนั่งบนที่นั่ง ยกพู่กันขึ้นโบกสะบัด
‘สามปีผันผ่าน การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนปิดฉากลง หลินสวินคนนี้อาศัยพลังของตนคนเดียว สะบั้นจักรวาล กดข่มแปดดินแดน…’
ตัวอักษรแต่ละบรรทัดพรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่องบนหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์อันหนาหนักยิ่งใหญ่ ราวกับรอยประทับมหามรรครอยแล้วรอยเล่า
‘ชัยชนะนี้ บุกเบิกประวัติศาสตร์ของดินแดนรกร้างโบราณ ชำระความแค้นที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน อาศัยเพียงผลงานนี้ หลินสวินก็จะมีเกียรติคุณชั่วนิรันดร์ จารึกไว้ในหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์แห่งดินแดนรกร้างโบราณไปชั่วกาล…’
แต่ละบรรทัดแต่ละประโยคต่างเกิดขึ้นจากใจ ถูกท่านเมี่ยวเสวียนเขียนไว้บนหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์อย่างลื่นไหล
จวบจนท้ายที่สุด ท่านเมี่ยวเสวียนแทบจะใช้พลังทั้งหมดที่มี จบท้ายด้วยวลีว่า ‘คุณูปการพันสมัย เกรียงไกรนักหลินสวิน’!
เขียนจบ ท่านเมี่ยวเสวียนก็เงยหน้าขึ้นดื่มอย่างหนัก หัวเราะร่าเปรมปรีดิ์
……
บนภูเขาเทพไร้มรณะ ในขณะที่ทั้งดินแดนรกร้างโบราณสะเทือนเลื่อนลั่น
พวกหลินสวิน จ้าวจิ่งเซวียน เจ้าคางคก อาหลู่และเจ้านกดำกำลังแลกเปลี่ยน ‘โชควาสนาฟ้าประทาน’
เมื่อสามปีก่อน พวกเขาเข้าไปในสมรภูมิเก้าดินแดนจากที่นี่
ตามคำพูดของข้ารับใช้วิญญาณของภูเขาเทพไร้มรณะ ป้ายคำสั่งรกร้างโบราณที่ผู้แข็งแกร่งแต่ละคนพกไว้ มีประโยชน์สะสมผลงานการสังหารศัตรูไว้ด้วย ยิ่งฆ่าศัตรูได้มากเท่าไร ผลงานที่สะสมก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
และผลงานพวกนั้นก็สามารถแลกเป็นโชควาสนาฟ้าประทานได้
ภูเขาเทพไร้มรณะก็คือหนึ่งใน ‘แดนมงคล’ ที่รวบรวมโชควาสนามหามรรคฟ้าดินเอาไว้ ปกคลุมด้วยโชควาสนามหามรรคที่แท้จริง
สมัยเข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ หลินสวินก็เคยได้สัมผัสประโยชน์ของ ‘โชควาสนามหามรรค’ มาก่อน มีประโยชน์ที่ไม่อาจประมาณได้ต่อการฝึกปราณ
โอกาสเช่นนี้ย่อมไม่อาจเสียไปได้
“คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะถึงกับสามารถทำเรื่องที่คนในอดีตทำไม่ได้ นำพาดินแดนรกร้างโบราณให้ได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนได้ในที่สุด”
ข้ารับใช้วิญญาณทอดถอนใจ
เขาจำแลงมาจากกฎระเบียบของภูเขาเทพไร้มรณะ ไม่มีคลื่นอารมณ์ความรู้สึก แต่ก็เห็นได้ชัดว่าชัยชนะครั้งใหญ่คราวนี้เป็นเรื่องใหญ่สะท้านฟ้าสะเทือนดินปานไหน
หลังจากทอดถอนใจ ข้ารับใช้วิญญาณก็ชี้ไปที่ยอดเขาของภูเขาเทพไร้มรณะแล้วพูดว่า “ที่นั่นมี ‘แท่นมรรค’ อยู่แท่นหนึ่ง นั่งสมาธิบนนั้นก็จะใช้ป้ายคำสั่งรกร้างโบราณในมือแลกกับโชควาสนามหามรรคที่สอดคล้องกันได้ ใครในพวกเจ้าจะทำก่อน”
เสียงพูดยังไม่ทันเงียบลง เสียงฟึ่บก็ดังขึ้น เจ้านกดำพุ่งขึ้นไปทันที ร้องว่า “ข้าไปก่อนล่ะ!”
“หน้าไม่อาย!” เจ้าคางคกกับอาหลู่ต่างพากันมองด้วยแววตาโกรธเคือง
เจ้านกดำกลับไม่สนใจสักนิด นั่งยองอยู่บนแท่นมรรค
ชั่วพริบตา กลิ่นอายระลอกคลื่นมหามรรคที่ราวกับไร้รูปตลบอบอวลออกมาจากบนภูเขาเทพไร้มรณะ
มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจน ว่าบนแท่นมรรคนั้นมีประกายแสงฝนมงคลงดงามนับร้อยนับพันสายปลิวลอยออกมา ปกคลุมเจ้านกดำเอาไว้ข้างใน
‘นี่ก็คือโชควาสนามหามรรคหรือ’
หลินสวินอดไหวหวั่นไม่ได้ โชควาสนา ล้วนลึกลับพิศวง ไม่อาจทำความเข้าใจได้มาแต่ไหนแต่ไร
แต่ตอนนี้พลังโชควาสนามหามรรคเหล่านั้นกลับกลายเป็นประกายแสงฝนมงคลสายแล้วสายเล่า โปร่งแสงแวววาว ลวงตาดั่งเป็นแสงแห่งเซียนทะยาน
เมื่อสัมผัสรับรู้โดยละเอียด กลับพบว่าจับสัมผัสอะไรไม่ได้ ดูลึกลับนัก
“ทุกคนล้วนมีโชควาสนาอยู่กับตัว ยิ่งเป็นผู้มีพรสวรรค์โดดเด่น โชควาสนาก็ยิ่งแข็งแกร่ง สิ่งที่จะเก็บเกี่ยวได้บนมรรคาการฝึกปราณก็ยิ่งมาก”
“ส่วนพวกที่โชควาสนาย่ำแย่เหล่านั้น แม้มีโอกาสมากองตรงหน้าก็เกรงว่าจะคว้าไว้ไม่ได้ และต่อให้คว้าไว้ได้ ก็ไร้วาสนาได้เสพสุข”
ข้ารับใช้วิญญาณเอ่ยปากชี้แนะ “ผู้ฝึกปราณบางส่วนเดิมก็เป็นคนโง่เขลาแต่กำเนิด หากได้วาสนาใหญ่ไป สำหรับเขาแล้วกลับเป็นภัย”
“สวรรค์นี่ไม่ยุติธรรมได้ปานใด”
เจ้าคางคกทอดถอนใจ
“สวรรค์นี้เคยยุติธรรมตั้งแต่เมื่อไหร่”
อาหลู่กล่าว “พวกเราฝึกปราณ ไม่ว่าจะไขว่คว้าการมีชีวิตยืนยาว หรือการไล่ตามพลังล้ำโลก เดิมทีก็เป็นการต่อต้านสวรรค์ ไม่ยินยอมยอมรับชะตาชีวิตนั่นแหละ และใครก็รู้ดีว่าชะตาชีวิตกับโชควาสนาเดิมทีก็เกี่ยวโยงกันอย่างเหนียวแน่น”
หลินสวินลอบพยักหน้า ที่เจ้าคางคกกับอาหลู่พูดล้วนเป็นความจริง ในอดีตกาลนานมา ขอเพียงเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่บนมรรคาได้ ล้วนมีจิตใจและปณิธานที่ว่า ‘ชะตาไม่เป็นไปตามฟ้าลิขิต คนย่อมพิชิตสรวงสวรรค์’
ถึงขั้นสามารถกล่าวอย่างไม่เกินเลยได้ว่า จากปุถุชนสู่อริยะ จากอริยะสู่จักรพรรดิ… แต่ละก้าวของการฝึกปราณคือการขบถฟ้าเปลี่ยนชะตาชีวิตทุกครั้ง!
เพียงแต่บางคนถือกำเนิดมาพร้อมกับโชควาสนา เกิดมาก็มีพรสวรรค์พิเศษ คุณสมบัติเหนือล้ำ ส่วนบางคนกลับโง่เขลาแต่กำเนิดราวกับไม้ผุ
นี่ก็คือความแตกต่างของชะตาและโชค
คำที่ว่า ‘สรรพสิ่งในใต้หล้าเกิดมาเท่าเทียมกัน’ เป็นเรื่องหลอกลวงมาแต่ไหนแต่ไร
บุตรเทพ เทวบุตร เซียน บุตรจักรพรรดิที่มีพรสวรรค์เหล่านั้น… จะเท่าเทียมกับเด็กน้อยจากหมู่บ้านเฟยอวิ๋นได้หรือ
ทันทีที่ถือกำเกิด ชะตาชีวิตของพวกเขาก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงมาแต่แรกแล้ว!
ไม่นานนักเจ้านกดำก็เดินลงมาจากแท่นมรรค โซซัดโซเซอย่างกับเมาเหล้า เมามายมึนงง เดาะลิ้นเอ่ยเหมือนยังไม่หายอยากว่า “นี่ก็คือโชควาสนา รวมความลึกลับของฟ้าดินตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน คลุมเครือไม่ชัดเจน มหัศจรรย์ไม่อาจเอื้อนเอ่ย…”
“นกขี้ขโมย เจ้ารู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนไปไหม”
อาหลู่ถามอย่างอดไม่ได้
เจ้านกดำชะงักไป แววตากลับมากระจ่างใสแล้วเอ่ยพึมพำว่า “บอกไม่ถูก แต่ข้ารู้สึกเหมือนยิ่งแนบชิดกับมหามรรคฟ้าดิน รู้สึก… สบายใจเหมือนปลาได้น้ำ”
“ข้าไปลองดูบ้าง”
เจ้าคางคกทนไม่ไหวนานแล้ว กระโจนเข้าไปอย่างรีบร้อน
ไม่นานนักประกายแสงฝนมงคลที่แปรสภาพจากโชควาสนามหามรรคเป็นริ้วๆ ปรากฏขึ้น เข้าปกคลุมเงาร่างของเจ้าคางคก
จ้าวจิ่งเซวียนถือโอกาสนี้เอ่ยถามว่า “พี่สวิน หลังออกจากภูเขาเทพไร้มรณะไป เจ้าคิดจะทำอะไร”
เจ้านกดำที่อยู่ข้างๆ พลันหูผึ่ง
ตอนนี้สมรภูมิเก้าดินแดนปิดฉากลง หลินสวินก็กลายเป็นมกุฎอริยะผู้สร้างวิชาแห่งตนไปแล้ว มองไปทั้งดินแดนรกร้างโบราณ ต่อให้เป็นระดับมหาอริยะยังคุกคามหลินสวินไม่ได้
เว้นเสียแต่ว่าราชันอริยะจะลงมือ!
แต่ผู้ที่น่ากลัวอย่างราชันอริยะ หากไม่ไปสนามรบแนวหน้าของดินแดนรกร้างโบราณก็กำลังปิดด่าน หากไม่พบกับสถานการณ์ชี้เป็นชี้ตายที่เกี่ยวโยงกับการล่มสลายของสำนัก ก็ไม่มีทางปรากฏตัวบนโลกได้แน่
ในช่วงเวลาแบบนี้ หลินสวินจะทำอะไร
จะไปแก้แค้นขุมอำนาจใหญ่อย่างเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ อารามกษิติครรภ์ เผ่าวิญญาณสมุทร และเผ่าอีกาทองหรือไม่
เจ้านกดำก็อยากรู้นัก
ควรรู้ว่าสมัยหลินสวินอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณ ถูกขุมอำนาจใหญ่เหล่านี้กดขี่มาไม่รู้กี่ครั้ง ผูกความแค้นเลือดที่ไม่อาจคลี่คลายได้มานานแล้ว!
หลินสวินนิ่งคิดแล้วเอ่ยว่า “ข้าตั้งใจว่าจะไปหอฤทธิ์เทพสักรอบหนึ่ง”
หอฤทธิ์เทพหรือ
จ้าวจิ่งเซวียน เจ้านกดำ และอาหลู่ต่างชะงักไป
“อืม”
หลินสวินพยักหน้า สมัยอยู่ที่ป่าต้นหม่อนในสมรภูมิกระหายเลือด เขาเคยรับปากชายหนุ่มจักจั่นทองไว้เรื่องหนึ่ง เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของสนามรบแนวหน้า ตอนนี้ก็ได้เวลาจัดการเรื่องนี้แล้ว
“ข้ายังนึกว่าเจ้าจะอดใจไม่ไหว บุกไปอารามกษิติครรภ์เพื่อระบายแค้น… ที่แท้แค่ไปหอฤทธิ์เทพ เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว”
เจ้านกดำเอ่ยปากคล้ายโล่งอก
หลินสวินถามกลับ “ถ้าข้าจะทำเช่นนี้จริง เจ้ายังคิดจะขวางข้าหรือ”
เจ้านกดำพูดอย่างจริงใจว่า “ต้องขวางอยู่แล้ว ไอ้สถานที่บ้าๆ นั่นอันตรายนัก ไปด้วยพลังของเจ้าตอนนี้ไม่แน่ว่าจะถูกจับ ต่อให้ลาหัวโล้นพวกนั้นเมตตาปรานี ก็ต้องกำราบเจ้าไปชั่วนิรันดร์แน่”
หลินสวินเลิกคิ้ว “อันตรายแค่ไหน”
เจ้านกดำคล้ายอยากจะพูดแต่ก็หยุดลง สุดท้ายถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “เจ้าน่าจะรู้ดีว่าอริยสงฆ์ตู้จี้แข็งแกร่งปานไหน แต่สุดท้าย… ก็ประสบเคราะห์ไม่ใช่หรือ”
หลินสวินตะลึง “อริยสงฆ์ตู้จี้ไม่ใช่ว่าต้องการเหยียบย่างบนวิถีสูงสุด ละเมิดเคราะห์ต้องห้าม ถึงประสบเคราะห์หรอกหรือ”
“นี่เป็นแค่เหตุผลหนึ่ง”
เจ้านกดำคล้ายไม่ต้องการพูดอะไรอีก เอ่ยอย่างคลุมเครือว่า “สรุปแล้ว เจ้าอย่าได้ดูถูกอารามกษิติครรภ์ก็พอแล้ว ในระดับมกุฎอริยะแท้เจ้าไร้ศัตรูจริงๆ แต่ถ้าอารามกษิติครรภ์เคบื่อนกำลังก้นกรุจริงๆ ก็สามารถกำราบเจ้าได้เหมือนแมลงวันตัวหนึ่ง”
พอพูดจนจบมันก็กล่าวเตือนว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจโจมตีเจ้า เพียงแต่บอกเจ้าว่าอารามกษิติครรภ์ไม่เหมือนกับแดนเร้นอริยะแห่งอื่น เหนือลาหัวโล้นพวกนั้น.. .ยังมีคนอื่น”
เจ้านกดำยื่นกรงเล็บออกมา ชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ทางเดินโบราณฟ้าดาราหรือ”
ดวงตาดำหลินสวินหดเกร็ง
เจ้านกดำยอมรับเป็นนัย ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วพูดว่า “ความจริงแล้วคนที่เจ้าเคยพบในสมรภูมิเก้าดินแดนอย่างคุนเซ่าอวี่ เซวี่ยชิงอี เจี้ยนชิงเฉินพวกนั้น ขุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาต่างก็เกี่ยวข้องกับขุมอำนาจบางกลุ่มในทางเดินโบราณฟ้าดาราไม่น้อย”
“ในดินแดนรกร้างโบราณก็ย่อมมีขุมอำนาจที่มีลักษณะเช่นนี้ อารามกษิติครรภ์เป็นเพียงหนึ่งในนั้น นอกจากนี้ตามที่ข้ารู้มา หอฤทธิ์เทพก็น่าจะเกี่ยวข้องกับบางสำนักในทางเดินโบราณฟ้าดาราด้วย”
นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้านกดำพ่นความลับออกมามากมายขนาดนี้
หลินสวินอดไหวหวั่นไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าแดนเร้นอริยะอย่างอารามกษิติครรภ์กับหอฤทธิ์เทพ จะถึงกับมีรากฐานล้ำลึกปานนี้!
——