ความโกลาหลคละคลุ้ง สายฟ้าสีขาวหิมะวาบแปลบปลาบอย่างเงียบๆ
เสียงร่ำไห้ที่เปี่ยมด้วยความโศกเศร้านั้นก็ดังมาจากเงาร่างสีขาวที่ประหนึ่งเซียนผีสายนั้นนั่นเอง
หลินสวินหนังศีรษะชาหนึบ จิตใจมีแต่ความรู้สึกพังทลาย
เสียงร้องไห้นั้นเจือพลังเศร้าโศกแปลกพิกลสายหนึ่ง กระทบจิตใจ ดุจดั่งศรเย็นเยียบที่พุ่งพรวดออกมา หมายเสียบจ้วงหัวใจ!
“ไป!”
ซุ่นจี้คว้าหลินสวินหมับเดียวแล้วเบี่ยงอ้อมออกไปไกลๆ
จนกระทั่งตอนที่มองไม่เห็นภาพประหลาดปั่นป่วนนั่นแล้ว ซุ่นจี้จึงกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน
“ตำนานเล่าขานว่านั่นคือวิญญาณวีรชนที่เป็นพวกสูงสุดคนหนึ่งในดึกดำบรรพ์ ยามมีชีวิตเป็นจักรพรรดิฝีมือเลิศล้ำ พลังต่อสู้สะท้านอดีตสะเทือนปัจจุบัน เคยบุกเข้าไปในอาณาเขตแปดดินแดนตัวเปล่า ฆ่าฟันจนศัตรูขวัญผวาถ้วนหน้า แค่เอ่ยถึงก็หน้าถอดสี”
ถึงจะเป็นเพียงตำนานเล่าขาน แต่ก็ยังทำให้ผู้คนสะท้านสะเทือน สามารถตะลุยผ่านแปดดินแดน พลังต่อสู้ระดับนั้นจะเย้ยฟ้าท้าโลกปานใด
“น่าเสียดาย สมัยดึกดำบรรพ์ที่นอกกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิแห่งนี้ การต่อสู้ระดับจักรพรรดิดุเดือดอย่างไม่เคยมีมาก่อน สุดท้ายจักรพรรดิคนนี้ก็โรยร่วงภายใต้การปิดล้อมของศัตรูเพราะพลังกายถดถอย”
“ตอนตาย สิ่งเดียวที่นึกเสียใจก็คือไม่อาจได้พบภรรยาของตนอีกครั้ง ตอนนี้วิญญาณวีรชนของเขาวนเวียนอยู่ที่นี่ กาลเวลาไร้สิ้นสุดผ่านไป วิญญาณวีรชนไม่ดับสูญ ยังคงร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้าเช่นนี้ร่ำไป”
กล่าวถึงตรงนี้ซุ่นจี้ก็ทอดถอนใจอีกครั้ง
ในสมัยดึกดำบรรพ์ การต่อสู้ครั้งนั้นรบกันจนฟ้าพลิกดินคว่ำ ฆ่าจนจักรวาลตลบหมุน ดินแดนรกร้างโบราณถูกแปดดินแดนร่วมมือกันปิดล้อม จักรพรรดิคนนั้นทุ่มสุดชีวิต ผลสุดท้ายก็ยังไม่อาจหลีกเลี่ยงจุดจบที่ต้องดับสลายได้
ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ล้วนไม่มีใครไม่ทอดถอนใจ
หลินสวินอึ้งงันจิตใจปั่นป่วน เนิ่นนานกว่าจะกล่าวพึมพำ “ผู้อาวุโสคนนี้เป็นคนที่รักมั่นจริงๆ”
“เฮ้อ ตั้งแต่โบราณกาลมากรักรังแต่จะฝากแค้น ใครจะไปกล้าจินตนาการว่าคนผู้นี้จะเป็นมหาจักรพรรดิมรรคมารที่แข็งแกร่งที่สุดในสมัยดึกดำบรรพ์คนหนึ่ง เลือดเย็นไร้ปรานีจนโลกขนานนามให้ว่า ‘จักรพรรดิมารไร้ใจ’”
ซุ่นจี้รำพันไม่หาย
จักรพรรดิมารไร้ใจ!
หลินสวินจำชื่อนี้ไว้ในใจ จักรพรรดิมรรคมารยุคหนึ่ง ได้ฉายามาจากความเลือดเย็นโหดเหี้ยม ก่อนตายกลับเสียดายที่ไม่อาจได้พบหน้าภรรยา!
มุ่งหน้าต่อไปไม่นาน ซุ่นจี้ก็พาหลินสวินเข้าสู่พื้นที่ที่คล้ายแดนเซียนแห่งหนึ่ง ที่นี่แสงเซียนพวยพุ่ง ตำหนักเก่าแก่ตั้งเรียงราย มีประกายเทพไหลร่วงจากฟากฟ้า สว่างใสงดงาม
ซุ่นจี้ยืนอยู่หน้าตำหนักสำริดแห่งหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ที่นี่ก็คือที่พำนักของท่านเซิ่น เจ้ารออยู่ที่ก็แล้วกัน”
หลินสวินเอ่ยถาม “ผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าท่านเซิ่นจะกลับมาเมื่อไหร่”
ซุ่นจี้ขบคิดครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้ากล่าว “พูดยาก ช่วงหลายปีมานี้ศัตรูแปดดินแดนมารุกรานบ่อยครั้ง โดยเฉพาะ ‘ด่านสมุทร’ บนฐานทัพที่สามสิบเจ็ด สถานการณ์การต่อสู้รุนแรงที่สุด ตอนนี้พวกท่านเซิ่นต่างเฝ้าปกปักที่ด่านสมุทรกันหมด…”
ได้ฟังคำอธิบายของซุ่นจี้ หลินสวินถึงได้รู้ว่ากำแพงเมืองด่านจักรพรรดิกว้างขวางอย่างยิ่ง ทอดข้ามโลกว่างเปล่าไม่รู้เท่าไหร่
ด้วยเหตุนี้จึงแบ่งออกเป็น ‘ฐานทัพ’ หนึ่งร้อยแปดแห่ง แต่ละฐานทัพล้วนมีด่านหนึ่งแห่ง
ลำพังแค่ระยะห่างระหว่างแต่ละด่านยังเป็นไปได้สูงว่าอาจห่างกันหลายโลก คิดอยากข้ามผ่านไป จำเป็นต้องอาศัยค่ายกลเคลื่อนย้ายชนิดพิเศษ!
เหมือนอย่างระหว่าง ‘ด่านสมุทร’กับ ‘ด่านตะวัน’ ที่พวกหลินสวินอยู่ในตอนนี้ มีระยะทางห่างกันหลายสิบด่าน เส้นทางไกลโพ้นเหนือจินตนาการ
“มีเพียงเกิดเรื่องใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์รบแนวหน้า จึงจะสามารถจุด ‘ไฟสัญญาณข่าวจักรพรรดิ’ ส่งข่าวไปยังแต่ละด่าน เจ้าหนู ธุระของเจ้าหากไม่เร่งร้อน ข้าแนะนำให้เจ้ารอไปก่อนดีกว่า ไฟสัญญาณข่าวจักรพรรดิจะใช้มั่วซั่วไม่ได้”
ซุ่นจี้เอ่ย
หลินสวินขบคิดครู่หนึ่งแล้วตอบตกลง
เขามาครั้งนี้ก็แค่ถูกไหว้วานจากชายหนุ่มจักจั่นทอง ให้นำใบหิมะน้ำแข็งใบนั้นมาด้วย ไม่ถึงขั้นเป็นเรื่องใหญ่อะไร
……
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา หลินสวินก็พักอยู่ในที่พักของท่านเซิ่นในด่านตะวัน แค่รอให้ท่านเซิ่นกลับมา
ด่านตะวันกว้างใหญ่ยิ่ง ถึงจะบอกว่าเป็นฐานทัพแห่งหนึ่งของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ แต่ความเป็นจริงอาณาเขตทอดยาวของเมืองนั้นพาดข้ามระหว่างโลกที่พังทลายเคว้งเคว้งสามแห่ง
ระดับกึ่งจักรพรรดิที่เฝ้าอยู่ที่นี่มีทั้งหมดสามสิบกว่าคน นอกจากนี้ยังมีราชันอริยะสองสามร้อยคนกระจายตัวอยู่ด้วย
ตอนที่ไม่มีศึก สัตว์ประหลาดเฒ่า ที่กระทืบเท้าเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้ดินแดนรกร้างโบราณสั่นสะเทือนเหล่านี้ หากไม่ฝึกปราณก็ไปทำธุระของตน
สำหรับการมาของหลินสวิน ถึงแม้จะดึงดูดสายตาไม่น้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่มีใครสนใจ ‘เจ้าตัวน้อย’ แบบนี้อีก
หลินสวินเองก็อยู่อย่างสุขสงบ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามุ่งหน้ามากำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ บางครั้งก็จะเดินเล่นรอบๆ มองดูความยิ่งใหญ่ของคนสมัยโบราณ หวนรำลึกอดีตสะท้อนปัจจุบัน
แต่เวลาส่วนใหญ่เขาจะเร่งฝึกปราณ
ตอนนี้มรรควิถีสามสายอย่างการหลอมปราณ หลอมกาย หลอมจิตของเขาอยู่ในสภาพ ‘ไตรมรรครวมเป็นหนึ่ง ก่อเกิดหนึ่งเดียวอันสัมบูรณ์’ นานแล้ว ปราณก็บรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับอริยะแท้แล้วเช่นกัน
ก้าวต่อไปก็คือ ‘ระดับมหาอริยะ’!
มหาอริยะ ความสูงส่งอยู่ที่คำว่า ‘มหา’
ใหญ่ยิ่งไร้ขอบเขต มหาลักษณ์ไร้รูป มหาสำเนียงเสียงแผ่ว!
นับตั้งแต่อดีจจนปัจจุบัน ไม่ว่าเผ่าพันธุ์ใดภาษาไหน อักษร ‘ใหญ่’ (大) ล้วนประกอบด้วย ‘หนึ่ง’ (一) และ ‘คน’ (人)
‘หนึ่ง’ นี้ก็คืออุบัติฟ้าห้าสิบ รอดพ้นเพียง ‘หนึ่ง’!
ใช้ ‘หนึ่ง’ นี้พาด ‘คน’ กลายเป็น ‘ใหญ่’ มีนัยว่ามหามรรคอยู่ในใจผู้คน!
ระดับมหาอริยะ ก็คือการบำเพ็ญปราณในระดับอริยะ โดยแปรสภาพเป็น ‘มหามรรคอยู่ในใจ กายข้าไร้ขอบเขต’
ฟ้าดินมีความงามมหาวิจิตรแต่เก็บเงียบ กายข้ามีมหามรรคแต่ไร้ขอบเขต!
และตอนนี้ ระยะห่างระดับมหาอริยะของหลินสวิน ก็ห่างเพียงแค่ก้าวเดียว
หนึ่งก้าวย่างขึ้นไป ก็เหมือนขึ้นสู่ฟ้า มีอานุภาพยิ่งใหญ่ไร้จำกัด ก้าวขึ้นไปไม่ได้ ชั่วชีวิตนี้ก็ได้แต่ติดอยู่ที่ระดับอริยะแท้ ไม่อาจก้าวหน้าได้
นี่ก็คือบานประตูที่เหมือนปราการธรรมชาติอย่างหนึ่ง!
สำหรับหลินสวินแล้ว สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดก็คือฝ่าทะลวงและไตร่ตรองว่าควรทลายระดับขั้นอย่างไร ควรใช้มรรคาแห่งมกุฎบรรลุกายแห่งมหาอริยะได้อย่างไร
แต่เขาเองก็รู้ว่าเร่งไม่ได้ การเสาะแสวงระดับอริยะ แต่ละก้าวแสนตรากตรำ เขาเพิ่งเป็นมกุฎอริยะเมื่อสามปีก่อน ความเร็วในการฝึกปราณเช่นนี้ก็เรียกได้ว่าน่าสะพรึงสะท้านโลกแล้ว
หนำซ้ำการทลายระดับเลื่อนขั้น ย่อมไม่ใช่แค่หมั่นฝึกปราณบำเพ็ญเพียรแล้วจะทำได้สำเร็จอย่างแน่นอน
ยังต้องการวาสนาหยั่งรู้มรรค ต้องการจุดเปลี่ยนในการเลื่อนระดับ ต้องการจิตใจเด็ดเดี่ยว ‘ดั่งแกะดั่งเกลา ดั่งสลักดั่งขัด’ มาขัดเกลาตนเองด้วย
ตำหนักสำริดกว้างใหญ่เงียบสงบ เมื่ออยู่ในนั้นประหนึ่งตัดขาดจากโลก ทำให้ผู้คนไม่ล่วงรู้ถึงการเคลื่อนคล้อยของเวลา
วันนี้หลินสวินตื่นขึ้นจากการนั่งสมาธิ คำนวณเวลาครู่หนึ่ง ผ่านไปครั้งเดือนแล้ว แต่ท่านเซิ่นยังคงเงียบหายไร้ข่าวคราว ไม่เคยหวนกลับมาเลย
หลินสวินทอดถอนใจคราหนึ่ง หยัดตัวลุกขึ้นแล้วสาวเท้าเดินไปด้านนอก
แสงท้องฟ้ามืดครึ้ม ดาวใหญ่ดวงแล้วดวงเล่าผลุบโผล่โคจร ศิลาอุกกาบาตที่แหลกสลายกลายเป็นหินยักษ์ที่ดูคล้ายแผ่นดินผืนหนึ่ง ลอยเด่นเหนือห้วงอากาศ
หลินสวินย่างเท้าก้าวไปข้างหน้า ช่วงหลายวันมานี้ เขาคุ้นเคยกับทุกสิ่งในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ไม่ได้เก้ๆ กังๆ เหมือนตอนแรกเริ่มแล้ว
‘พวกสัตว์ประหลาดเฒ่า’ ที่เฝ้าประจำการอยู่ที่นี่พวกนั้นแทบไม่มีแก่ใจไยดี ‘เจ้าหนูน้อย’ อย่างเขาด้วยซ้ำ
ไกลออกไปจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะวุ่นวายดังขึ้นระลอกหนึ่ง ในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิที่สงบเย็นชาเคร่งขรึมนี้ เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างดึงดูดสายตาผู้คนทีเดียว
หลินสวินอึ้งไป อดขยับเข้าใกล้ไม่ได้
ไกลออกไปมีเขาลูกเล็กเขียวขจีที่กลิ่นอายชวนดึงดูดคละคลุ้ง น้ำตกไหลน้ำแร่กระเซ็น แสงระเรื่อไหลเวียน
เงาร่างกลุ่มหนึ่งกำลังห้อมล้อมอยู่บนพื้นที่ราบเบื้องหน้าเนินเขาเขียว มีทั้งชายหญิง มีทั้งเด็กและคนแก่
กลิ่นอายของทุกคนล้วนเก็บงำเอาไว้ แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังทำให้คนรู้สึกบีบคั้นหาใดเปรียบ ก็เหมือนกับสิงโตเหิมหาญกลุ่มหนึ่ง ต่อให้ซ่อนเขี้ยวเล็บ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสิงโตแกร่ง กลิ่นอายเช่นนั้นเพียงพอจะทำให้ร้อยสัตว์สะท้านขวัญ!
นี่คือเหล่ากึ่งจักรพรรดิของ ‘ด่านตะวัน’ และมีราชันอริยะจำนวนไม่น้อย
ในพื้นที่ที่พวกเขาล้อม มีคนสองคนกำลังเดินหมากกระดานกันอยู่
คนหนึ่งเป็นชายชราสวมเกี้ยวเหล็กบนศีรษะ รูปร่างผอมสูงดุจต้นสน มีสง่าราศี สวมชุดนักพรตสีเข้ม อิริยาบถสงบนิ่ง
หลินสวินรู้จักอีกฝ่าย เป็นกึ่งจักรพรรดิที่ถูกเรียกว่า ‘หลิงเซียวจื่อ’ ทั้งเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่ง เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในด่านตะวันแห่งนี้
เขาประจำการอยู่ที่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิแปดพันปีแล้ว!
ตรงข้ามกับหลิงเซียวจื่อก็คือซุ่นจี้นั่นเอง
กึ่งจักรพรรดิที่หน้าโหด กร้าวแกร่ง เด็ดเดี่ยวคนนี้ เวลานี้กลับหน้าแดงหูแดง จับหูเก้าท้ายทอย ทำหน้าขมวดมุ่นเหมือนท้องผูกอย่างไรอย่างนั้น
นัยน์ตาเขาจ้องไปที่กระดานหมากรุกบนพื้น คล้ายประสบปัญหายากใหญ่หลวง
หลิงเซียวจื่อยิ้มน้อยๆ ทำท่าเหมือนกำชัยอยู่ในมือ
กึ่งจักรพรรดิคนอื่นๆ แถวนั้นต่างพากันเริ่มหัวเราะผสมโรง
“ซุ่นจี้ ยอมแพ้ซะเถิด เจ้ากระจอกหมากเน่าอย่างเจ้า ก็คิดอยากเอาชนะหลิงเซียวจื่อในการ ‘ประชันหมากเก้าวัง’ หรือ หาเรื่องใส่ตัวชัดๆ”
“เร็วๆๆ อย่าถ่วงเวลา ยอมแพ้ซะ ทุกคนจะได้แบ่งเงินเดิมพันกัน”
กึ่งจักรพรรดิพวกนั้นบ้างก็เยาะหยัน บ้างก็หัวเราะถากถาง
“เหล่าซุ่น เจ้าไหวหรือไม่ไหวกันแน่ ข้าวางเดิมพันโอสถเทพรักษาแผลสามต้นไว้ข้างเจ้า แค่รอให้เจ้าพลิกกระดาน พยายามทำให้ดีเข้าสิ”
มีคนร้อนรนขุ่นเคือง ออกอาการเร่งเร้า
การประชันหมากนี้เกิดขึ้นระหว่างซุ่นจี้และหลิงเซียวจื่อ พร้อมกันนั้นก็เป็นกระดานพนันอย่างหนึ่ง พวกสัตว์ประหลาดเฒ่าแถวนั้นล้วนเข้าร่วมด้วย
แต่เห็นได้ชัดว่าคนส่วนมากวางเดินพันข้างหลิงเซียวจื่อ มีส่วนน้อยที่วางเดิมพันข้างซุ่นจี้
เห็นเช่นนี้หลินสวินก็บื้อใบ้อย่างอดไม่อยู่
สัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านี้อาจเพราะกรำศึกอยู่ที่นี่นานเกินไป เงียบเหงามานานแสนนาน แค่การประชันหมากกระดานเดียวเท่านั้น ถึงกับถูกพวกเขายกมาเป็น ‘กระดานพนัน’ สร้างความบันเทิง
หลินสวินเดินขึ้นไปข้างหน้า ก็มองเห็นการประชันหมากเก้าวังที่เรียกกัน
แผนภาพเก้าวังที่สร้างจากหนังสัตว์แผ่นหนึ่งปูราบบนพื้น ตำแหน่งเก้าวังแต่ละจุดบรรจุ ‘โลก’ ว่างเปล่าแห่งหนึ่งไว้
ยามประชันหมาก ก็คือการกางกระบวนผนึกลายมรรคไว้ใน ‘โลกว่างเปล่า’ เหล่านี้ เพื่อตัดสินแพ้ชนะ
อย่างเช่นหากในตำแหน่ง ‘วังหรดี’ เป็นซุ่นจี้ เช่นนั้นหลิงเซียวจื่อก็ต้องไปทะลายกระบวนค่ายนี้ หากทำลายไม่ได้ก็ถือว่าซุ่นจี้ชนะตานี้ไป
จากนั้นตำแหน่ง ‘วังพายัพ’ กางกระบวนค่ายกลโดยหลิงเซียวจื่อ ให้ซุ่นจี้มาทำลาย ใช้สิ่งนี้เทียบกัน
ผู้ที่ทำลายค่ายกลสำเร็จ ก็ชนะหนึ่งกระดาน
หากล้มเหลว นั่นก็หมายความว่าแพ้กระดานนั้นไป
บนแผนภาพเก้าวังมีทั้งหมดเก้าตำแหน่ง เป็นตัวแทนโลกว่างเปล่าเก้าแห่ง ยามประชันหมากก็ต้องลงมือเก้าครั้ง สุดท้ายค่อยตัดสินแพ้ชนะจากคะแนนบทสรุปสุดท้าย
นี่ก็คือการประชันหมากเก้าวัง
ที่แข่งขันกัน อันที่จริงเป็นความเชี่ยวชาญในวิถีลายมรรค
หลินสวินเห็นว่าซุ่นจี้แพ้ห้ากระดานรวด หลิงเซียวจื่อกลับยังไม่แพ้แม้แต่กระดานเดียว ไม่จำเป็นต้องเล่นต่อไปก็เห็นแล้วว่าซุ่นจี้แพ้เรียบร้อยแล้ว
แต่ว่าตามกติกา หากซุ่นจี้ยืนกรานเดินหมากถึงกระดานสุดท้ายก็ไม่มีใครขวางได้
มิน่าพวกคนใหญ่คนโตพวกนั้นถึงพากันหัวเราะผสมโรง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ความพ่ายแพ้ของซุ่นจี้ถูกกำหนดไว้แล้ว เกินเยียวยาสุดกู่ ไร้โอกาสพลิกกระดานอย่างแน่นอน
…………………..