สัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งหมดในที่นั้นถูกสังหารจนหวาดผวา ขวัญหนีดีฝ่อ ใกล้จะพังทลายกันนานแล้ว
ยามเห็นว่าสิ่งมีชีวิตน่ากลัวมากมายนั้นถูกหลินสวินเรียกกลับไป สัตว์ประหลาดเฒ่าพวกนี้ก็มีแค่ความรู้สึกเดียว…
รอดพ้นเคราะห์ร้าย!
พวกเขาหายใจหนักหน่วง สีหน้าปรวนแปรไม่หยุด ความโลภในใจถูกความกลัวเข้ามาแทนนานแล้ว สายตาที่มองไปทางหลินสวินก็เจือแววหวาดกลัวและกริ่งเกรงหาใดเปรียบ
ถึงตอนนี้ในหมู่สัตว์ประหลาดเฒ่าที่เข้าร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ มีระดับกึ่งจักรพรรดิสี่คนร่วงหล่น ระดับราชันอริยะเจ็ดคนวิญญาณสลาย
การบาดเจ็บล้มตายพูดไม่ได้ว่าไม่สาหัสสากรรจ์!
ไม่มีใครแคลงใจว่าหากการต่อสู้ยืดเยื้อต่อไป คงได้บาดเจ็บล้มตายมากกว่านี้แน่
พวกซุ่นจี้ ฮูหยินมู่ หลิงเซียวจื่อกลับยกภูเขาออกจากอก รู้สึกชื่นใจและซาบซึ้งใจ ทั้งโศกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
สัตว์ประหลาดเฒ่าที่ถึงแก่ความตายพวกนั้น ไม่ได้ตายบนสนามรบ แต่กลับตายในการต่อสู้ภายในด้วยความโลภในใจ พาให้ผู้คนรู้สึกทอดถอนใจด้วยเสียดาย
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ใครก็คิดไม่ถึงคือ ขณะที่หญิงสาวกระโปรงแดงคิดจะหยุดมือและปลีกตัวถอย กู่เหลียงฉวี่กลับไม่เลิกรา
ตูม!
เขาหน้าคล้ำเขียว ท่าทางวิกลจริต ถือทวนสีเงินเล่มหนึ่ง ไล่กวดหญิงสาวกระโปรงแดงไปราวกับเทพสงครามที่เดือดจัด
นี่ทำให้คนไม่น้อยต่างหน้าเปลี่ยนสี รับรู้ได้ว่ากู่เหลียงฉวี่ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เกรี้ยวกราดถึงที่สุด ไม่คิดจะหยุดมือเพียงแค่นี้
“คิดจริงๆ หรือว่าข้าจะกลัวเจ้า”
ในดวงตาคู่งามของหญิงสาวกระโปรงแดงฉายแววเยียบเย็นน่าพรั่นพรึง ผมดำทั้งศีรษะพลิ้วไหว ปราณกระบี่พร่าเลือนดุจหมอกฝนมากมายไหลวน ส่งเสียงดังกึกก้องอยู่ทั่วร่างนาง
แค่ชั่วพริบตาเท่านั้น การโจมตีของกู่เหลียงฉวี่ก็ถูกทะลวงโค่น กลับกลายเป็นว่าถูกหญิงสาวกระโปรงแดงกำราบ
ก็เห็นนางก้าวขึ้นไปกลางอากาศ กระโปรงแดงม้วนสะบัดดั่งคลื่นโลหิต ปราณกระบี่หมุนวนไปทั่ว ดุจดั่งจอมกระบี่ไร้ศัตรูที่งามอัศจรรย์คนหนึ่ง!
มาดสง่างามที่ดูหยิ่งทะนง เย็นชา ดุดันนั้น สามารถทำให้โลกตกตะลึง!
หลินสวินไม่ขัดขวาง
ไม่ว่ากู่เหลียงฉวี่จะสู้สุดชีวิตโดยไม่สนใจอะไรด้วยเดือดดาลก็ดี หรือว่ามีจุดประสงค์อื่นก็ตาม
ในเมื่อเขาไม่คิดจะถอย หลินสวินมีหรือจะเจรจาสงบศึกด้วยตัวเอง
การหยุดมือก่อนหน้านี้ ถือเป็นขีดจำกัดความอดทนที่เขาทนได้แล้ว
หากไม่ใช่ว่ามีพวกซุ่นจี้ ฮูหยินมู่อยู่ การต่อสู้ในวันนี้คงไม่มีทางทำให้เขาเลือกหยุดมือแค่นี้แน่
ตูม!
บนเวิ้งฟ้าสถานการณ์ของกู่เหลียงฉวี่เหลือทนยิ่งนัก ถูกกำราบอย่างสมบูรณ์ ปราณกระบี่สลัวรางไร้สิ้นสุดเข้าปกคลุมจนทำให้เขาด้อยกว่าอย่างชัดเจน
ใครต่างก็มองออกว่าต่อให้เป็นถึงอันดับหนึ่งของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ในการปะทะซึ่งหน้านี้กู่เหลียงฉวี่ก็ด้อยกว่าหญิงสาวกระโปรงแดงคนนั้นอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด
หากยืดเยื้อต่อไปเช่นนี้ เป็นไปได้สูงว่ากู่เหลียงฉวี่จะถึงแก่ชีวิต!
คนไม่น้อยต่างเคร่งเครียดไปทั้งใจ
“ใต้เท้ากู่ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ทำไมยังยืนกรานจะฆ่าฟันกันอีก”
ซุ่นจี้อดกล่าวเสียงดังไม่ได้
“หุบปาก!”
สีหน้าของกู่เหลียงฉวี่คล้ำเขียวยิ่งกว่าเดิม ในแววตาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะที่โหมกระหน่ำ
วันนี้หากเขายอมจำนน ไม่เท่ากับยอมรับว่าตนสู้คนอื่นไม่ได้หรือ
เขากู่เหลียงฉวี่มาเยือนด่านตะวันด้วยตัวเอง ต้องการลงโทษคนรุ่นหลังคนหนึ่ง แต่สุดท้ายกลับล้มลุกคลุกฝุ่น สลัดขนหนีกลับ หากแพร่ออกไปเขาจะยังมีหน้ายืนอยู่ที่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิอีกไหม
“พี่กู่ ต่างฝ่ายต่างถอยกันคนละก้าวจะเป็นไร ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่งของค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณ ถ้าต่อยตีสังหารกันต่อไปเช่นนี้ จะไม่ทำให้ศัตรูต่างดินแดนมองเป็นตัวตลกหรือ”
หลิงเซียวจื่อก็ออกปากแล้ว ไกล่เกลี่ยด้วยหวังดี
“พวกเจ้ากลัวเจ้าเด็กนั่น แล้วคิดว่าข้าก็เหมือนพวกเจ้ารึ”
กู่เหลียงฉวี่ตวาดลั่น สีหน้าเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียมขึ้นมา
เจ้าเฒ่าพวกนี้ถึงกับมาเตือนเขาให้ก้มหัวยอมแพ้ เจตนาชั่วช้าจริงๆ!
“ตนเป็นฝ่ายผิดชัดๆ แต่กลับดื้อด้านไม่ยอมจำนนเพื่อรักษาหน้า บนโลกนี้ไม่เคยขาดคนพวกนี้จริงๆ”
หลินสวินยิ้มหยัน
“เจ้าหนุ่ม ประเดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้าเจอดีแน่”
กู่เหลียงฉวี่สีหน้าเคร่งขรึม
เขาในยามนี้เหมือนคลุ้มคลั่ง พูดจาไม่มีสติอย่างสิ้นเชิง
“พอแล้ว! เจ้า กู่เหลียงฉวี่ยังขายหน้าไม่พออีกหรือ”
ทันใดนั้นเสียงตวาดหนึ่งดังขึ้นแต่ไกล ก้องสะเทือนอยู่ในที่นั้นราวกับเสียงฟ้าผ่า ทำให้คนไม่น้อยสั่นสะท้านไปทั้งตัว
ก็เห็นชายคนหนึ่งสวมชุดบัณฑิต รูปร่างผอมบางกำลังสาวเท้าก้าวใหญ่มาจากจุดที่ห่างออกไป ท่าทางองอาจผ่าเผย กลิ่นอายแข็งแกร่งดุจมหาสมุทรกว้างใหญ่
“ท่านเซิ่น!”
สัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างพวกซุ่นจี้ต่างยินดีขึ้นมา เหมือนเจอแกนหลัก
ขณะเดียวกันนัยน์ตาดำของหลินสวินก็ดูแปลกออกไป
ท่านเซิ่นในปีนั้นสวมชุดผ้าป่านเนื้อหยาบ บุคลิกปกติธรรมดา ถ่ายทอดวิชามรรคแห่งหินสลักให้กับตนในร้านค้าเล็กๆ แห่งหนึ่ง
แต่ยามนี้เมื่อเจอกันอีกครั้ง หลินสวินจึงพบว่ามาดสง่างามที่แท้จริงของท่านเซิ่นถึงกับสูงส่งและเลิศเลอเช่นนี้
“ขายหน้าหรือ ฮ่าๆ เจ้าเฒ่าอย่างเจ้าก็มาดูข้าเป็นตัวตลกกระมัง ก็ถูก ตั้งแต่เจ้ามาถึงกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิเคยเห็นข้าอยู่ในสายตาซะที่ไหน ตอนนี้เห็นข้าตกต่ำ ไม่ฉวยโอกาสซ้ำเติมสิแปลก!”
กู่เหลียงฉวี่แหงนมองฟ้าหัวเราะร่า เพียงแต่สีหน้ากลับดูเหี้ยมเกรียมเป็นพิเศษ
การมาถึงของท่านเซิ่นไม่เพียงแต่ไม่ทำให้เขาสงบสติอารมณ์และสำรวม กลับกลายเป็นว่าเหมือนถูกกระตุ้นจนคลุ้มคลั่งยิ่งกว่าเดิมแล้ว
สายตาของท่านเซิ่นกวาดมองทุกคนในที่นั้น ถอนหายใจยาวอย่างอดไม่อยู่กล่าว “วางมือเถอะ เห็นแก่ฐานะที่พวกเราเป็นสหายร่วมวิถี อย่าทำให้ข้าวางตัวลำบากเกินไปเลย”
สหายร่วมวิถี หมายความว่าทุกคนต่างเป็นกำลังของดินแดนรกร้างโบราณ เป็นผู้ที่อยู่ในวิถีเดียวกัน
“ทำให้เจ้าวางตัวลำบากเกินไปรึ สามปีมานี้เจ้าทำให้ข้าวางตัวลำบากกี่ครั้งแล้ว”
กู่เหลียงฉวี่เกรี้ยวกราดยิ่งกว่าเดิม เหมือนกำลังระบายอารมณ์ ไม่สนใจอะไรอย่างสิ้นเชิงแล้ว “ครั้งนี้ข้าแค่ต้องการลงโทษคนหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น แต่เจ้ากลับกระโดดออกมาค้านด้วยตัวเอง จะไม่ใช่การมุ่งเป้ามาที่ข้าได้อย่างไร”
ท่านเซิ่นกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง กู่เหลียงฉวี่ก็ตวาดลั่น “ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว วันนี้สู้ถือโอกาสนี้สะสางให้สิ้นซากไปเลยดีกว่า!”
ตูม!
กลิ่นอายของเขาพลันเปลี่ยนไปทันใด มีไอเลือดสายหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางศีรษะเขา
“สวรรค์!”
ในที่นั้นมีเสียงอุทานดังขึ้น ไอเลือดที่ไม่สะดุดตาสายนั้นกลับกลายเป็นประกายชาดสายหนึ่งทะลวงผ่านแผ่นฟ้า ทำให้ดวงดาวที่รายล้อมบนท้องฟ้าเหนือกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิร่วงกราวลงมาหลายดวง ระเบิดออกสนั่นหวั่นไหว
เลือดแท้ระดับจักรพรรดิ!
นี่ทำให้ทุกคนต่างงงงันและตกตะลึง!
ขอแค่เป็นผู้ที่ก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ ก็ล้วนเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า สามารถสะเทือนอดีตสาดส่องปัจจุบัน มีแรงกำลังมากมหาศาล
ส่วนเลือดแท้ระดับจักรพรรดินี้ อย่าว่าแต่สายหนึ่ง แค่หยดเดียวก็ยังเต็มไปด้วยอานุภาพเร้นลับของระดับจักรพรรดิ เกริกก้องไปทั่วหล้า สังหารผู้คนได้มากมาย!
แต่เลือดแท้ระดับจักรพรรดิไม่ใช่สิ่งที่ได้มาง่ายดายเช่นนั้น ด้วยภายในนั้นประทับอานุภาพแท้จริงของมรรควิถีระดับจักรพรรดิไว้ แต่ละหยดล้วนเรียกได้ว่าเป็นสมบัติที่ไม่อาจประเมินค่าได้ ยากจะได้เห็นเป็นอย่างยิ่ง!
แต่ตอนนี้กู่เหลียงฉวี่คลุ้มคลั่ง เรียกเลือดแท้ระดับจักรพรรดิออกมาหลอมให้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เห็นได้ชัดว่าจะสู้สุดชีวิตโดยไม่สนใจอะไรแล้วจริงๆ
“บัดซบ!”
หญิงสาวกระโปรงแดงหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ในดวงตาคู่งามฉายแววหวาดกลัวอยู่ลึกๆ
พลังของเลือดแท้ระดับจักรพรรดิทัดเทียมกับอานุภาพของระดับจักรพรรดิแท้คนหนึ่ง การที่ถูกเรียกว่ากึ่งจักรพรรดิ ก็คือเป็นจักรพรรดิได้ครึ่งหนึ่ง จึงได้แต่ต้องเลี่ยงคมประกาย ไม่กล้าฝืนปะทะ!
ตูม!
กลิ่นอายของกู่เหลียงฉวี่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในพริบตา ราวกับระดับจักรพรรดิที่แท้จริงมาเยือนจริงๆ ทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าไม่น้อยหายใจติดขัด ในใจสั่นสะท้าน เหมือนมดปลวกถูกมังกรฟ้าจับจ้อง
อานุภาพกดดันที่ไร้รูปนั้นน่ากลัวเกินไป!
“เจ้าหนุ่ม ข้าจะฆ่าเจ้าก่อน!”
เสียงของกู่เหลียงฉวี่ครั่นครื้น ดังกระหึ่มไปทั่วทิศ เขาก้าวออกไปก้าวหนึ่ง อานุภาพน่ากลัวที่ปกคลุมฟ้าดินม้วนพัดไปทางหลินสวิน
ถ้าว่ากันตามปกติหญิงสาวกระโปรงแดงไม่มีทางขวางไว้แน่ ความคิดที่จะหลบเลี่ยงถือว่าชาญฉลาดที่สุด
แต่ยามนี้นางกลับบุกโจมตีเต็มกำลังโดยไม่ลังเล เข้าขวางหน้ากู่เหลียงฉวี่ไว้ซะอย่างนั้น
วู้มๆๆ…
ปราณกระบี่สลัวรางมากมายแผ่แสงประกายงามตระการแปลกประหลาด กระจายออกมาบดบังฟ้าคลุมตะวัน ความล้ำลึกของเจตกระบี่ ความน่ากลัวของอานุภาพกระบี่พุ่งทะลวงเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
แต่ชั่วพริบตาก็ถูกฝ่ามือหนึ่งของกู่เหลียงฉวี่ตบละเอียด ปราณกระบี่นับไม่ถ้วนแตกระเบิดดังสนั่น ถึงกับไม่อาจขวางกู่เหลียงฉวี่ได้แม้แต่น้อย
แม้แต่หญิงสาวกระโปรงแดงยังถูกพลังของฝ่ามือนี้ซัดลอยออกไป ราวกับเรือน้อยโดดเดี่ยวลำหนึ่งถูกคลื่นซัดกระเด็น!
หญิงสาวกระโปรงแดงสีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่
ทุกคนในที่นั้นร้องเสียงหลงไม่หยุด ผู้คนต่างตกตะลึง แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง กู่เหลียงฉวี่ในยามนี้แข็งแกร่งกว่าเมื่อครู่ไม่รู้เท่าไร!
“ไอพลังยิ่งใหญ่เพียงนิด ก่อเกิดคลื่นลมพันลี้!”
ท่านเซิ่นก้าวเข้ามา สีหน้าจริงจัง แขนเสื้อพลันโบกสะบัด ไอพลังยิ่งใหญ่เหมือนสายลมเย็นสายหนึ่งแทรกสอดอานุภาพแห่งฟ้าดินและใต้หล้า แก่นแห่งมหามรรคพวยพุ่งออกไป
รวดเร็วดั่งใจ หมื่นลักษณ์ไร้รูป!
“หลีกไป!”
กู่เหลียงฉวี่คำราม ทวนวงเดือนวาดกวาดเฉือนตัดฟ้าดิน มีอานุภาพสั่นสะเทือนทั่วทิศ
ตูม!
ท่านเซิ่นโจมตีเต็มกำลัง แต่ถูกกวาดล้างอย่างง่ายดายเช่นกัน ร่างของเขาถูกซัดกระเทือนจนซวนเซถอยหลัง หน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่อยู่
กู่เหลียงฉวี่ฉวยโอกาสนี้เปิดฉากจู่โจมหลินสวินแล้ว
เขาดูเหมือนคลุ้มคลั่ง ความจริงในใจออกอุบายไว้ล่วงหน้า สาเหตุที่ต้องการสู้ให้ถึงที่สุดโดยไม่สนใจอะไร ด้านหนึ่งด้วยเกี่ยวข้องกับการปกป้องความน่าเกรงขามของตน แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการแย่งชิงใบหิมะน้ำแข็งนั่น!
เขาอยู่ในระดับกึ่งจักรพรรดิแล้ว ขาดแค่จุดเปลี่ยนเดียวก็จะก้าวเข้าสู่ธรณีประตูของจักรพรรดิอย่างแท้จริง เมื่อรู้ว่าใบหิมะน้ำแข็งนั่นทำให้เข้าใกล้หนทางแห่งระดับจักรพรรดิได้ เขาก็ตั้งมั่นว่าต้องเอามาให้ได้อยู่ก่อนแล้ว ไม่อาจสูญเสียไปได้!
เหมือนสิ่งมีชีวิตน่ากลัวในป่าต้นหม่อนพวกนั้นที่ทนกล้ำกลืนจำศีลผ่านกาลเวลาไร้สิ้นสุด สิ่งที่หวังคือช่วงชิงจุดเปลี่ยนที่มหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์เหลือไว้เช่นกัน
ยิ่งเป็นผู้แข็งแกร่งที่เข้าใกล้ระดับจักรพรรดิอันไร้สิ้นสุดอย่างกู่เหลียงฉวี่ก็ยิ่งยึดติด ใช่ว่าละโมบ หากแต่เพื่อเสาะหาหนทางสู่จักรพรรดิ!
สำหรับอุปสรรคที่พบเจอในขั้นตอนนี้ แน่นอนว่าไม่อาจทำให้เขาถอยร่น
นี่ก็คือความคิดที่แท้จริงของกู่เหลียงฉวี่
ส่วนอาการเสียสติและเดือดจัดนั้นก็มี แต่ยังไม่สามารถส่งผลต่อสติปัญญาและเจตจำนงของบุคคลอย่างเขา
และตอนนี้เขาใกล้จะทำสำเร็จแล้ว!
หลังจากหลินสวินตาย ไม่เพียงแต่ทำให้เขาชิงใบหิมะน้ำแข็งนั้นมาได้ ยังถือโอกาสควบคุมสิ่งมีชีวิตน่ากลัวสิบกว่าตนที่รวมถึงหญิงสาวกระโปรงแดงนี้ได้อีก พูดได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
“เจ้าหนุ่ม ตายซะเถอะ!”
ระหว่างตวาดกู่เหลียงฉวี่ก็ลงดาบสังหารโดยไม่ลังเลแล้ว
กึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งเช่นนี้ ทั้งกระตุ้นพลังของเลือดแท้ระดับจักรพรรดิเข้าไปอีก อานุภาพนั้นต่อให้หลินสวินเรียกสิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่อยู่ในใบหิมะน้ำแข็งออกมาหมดอีกครั้ง ก็ไม่มีทางขวางได้อย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวกระโปรงแดงหรือท่านเซิ่นล้วนถูกซัดถอยหลัง ยามนี้ต่อให้อยากเข้ามาขวางก็ไม่ทันแล้ว
สำหรับสัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่น ล้วนถูกอานุภาพน่ากลัวของกู่เหลียงฉวี่ทำให้หวั่นหวาดไปนานแล้ว ย่อมไม่มีทางเข้ามาขวางทุกอย่างนี้แน่
พริบตานี้เวลาเหมือนตกอยู่ในสภาพหยุดนิ่ง อันตรายถึงขีดสุด!
ความเป็นและความตาย บางทีอาจได้ตัดสินในพริบตานี้
แต่หลินสวินกลับไม่ยอมถอย และไม่ตระหนกหน้าถอดสีด้วยเหตุนี้ ถึงขั้นไม่เผยคลื่นความรู้สึกใดๆ ออกมาแม้แต่น้อย
มีเพียงในมือเขาที่ไม่รู้มีป้ายคำสั่งป้ายหนึ่งโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่
………………