นี่คือป้ายกระดูกขมุกขมัวป้ายหนึ่ง ไม่สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับหนักเหมือนภูเขาเทพดึกดำบรรพ์ หลินสวินได้แต่โคจรพลังจึงยกมันไว้กลางฝ่ามือได้
ตูม!
อีกฝ่ายไม่ปล่อยโอกาสให้หลินสวินตอบสนองอย่างสิ้นเชิง ความจริงภายใต้อานุภาพกดดันที่น่ากลัวนั้นของกู่เหลียงฉวี่ เขาก็ไม่อาจขยับตัวได้แม้แต่น้อย
ความรู้สึกนั้นเหมือนข้าวฟ่อนหนึ่งตกลงไปในมหาสมุทรกว้างใหญ่ ใกล้จะแหลกเหลว!
ซุ่นจี้ ฮูหยินมู่ หลิงเซียวจื่อต่างดวงตาปูดโปนแทบถลน
ท่านเซิ่นก็สีหน้าแปรเปลี่ยนยิ่ง ใจเคว้งขึ้นมา แม้แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่ากู่เหลียงฉวี่จะบ้าระห่ำเช่นนี้ ไม่สนใจอะไรอย่างสิ้นเชิง
ทั้งกู่เหลียงฉวี่ยังมีสิ่งที่พลิกฟ้าได้อย่างเลือดแท้ระดับจักรพรรดิด้วย!
นี่ทำให้ท่านเซิ่นไม่ทันตั้งตัวเช่นกัน
ร่างกายของหญิงสาวกระโปรงแดงแผ่ไอสังหารล้นฟ้าออกมา ผมดำทั้งศีรษะป่วนคลั่ง หลินสวินคาดเดาความคิดของนางมาตลอด แต่นางก็ไม่เคยบอกออกไปอย่างจริงจัง
หากหลินสวินตายไปแล้ว…
นางคงรู้สึกเสียดายหาใดเปรียบ
หลินสวินเหมือนโคมไฟดวงหนึ่งที่ส่องห้องมืดให้สว่างไสว หากดับมอดไปเช่นนี้ ทั่วทั้งห้องคงตกอยู่ในความมืดตามไปด้วย
และนางก็คือห้องมืดห้องนั้น
แต่ยามที่ทุกคนต่างคิดว่าหลินสวินคงยากพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ คลื่นสะเทือนเร้นลับสายหนึ่งแผ่อบอวลออกมาจากป้ายกระดูกที่อยู่ในมือของหลินสวินอย่างเงียบเชียบ
ห้วงอากาศราวกับหยุดนิ่งในพริบตา สรรพสิ่งประหนึ่งถูกแช่แข็ง ฟ้าดินถึงกับตกอยู่ในสภาพหยุดนิ่งอย่างแปลกประหลาด
พาให้คนรู้สึกว่าเหมือนสรรพสิ่งทั่วหล้า เรื่องราวต่างๆ บนโลกล้วนหยุดตรึงในยามนี้
อานุภาพกดดันน่ากลัวถึงขีดสุดที่ดำรงอยู่ทุกแห่งหนนั้นของกู่เหลียงฉวี่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ชะงักค้างอยู่ตรงนั้น!
จากนั้น…
เงาร่างของชายชราคนหนึ่งที่ผอมแห้ง ริ้วรอยทั่วใบหน้า มีดวงตาทรงสามเหลี่ยมโดยกำเนิด ดูสกปรกมอมแมมปรากฏตัว ณ ที่นั้นกะทันหัน
ตูม!
เมื่อเงาร่างของเขาปรากฏ สภาพหยุดชะงักที่แปลกประหลาดกลางฟ้าดินนั้นก็สลายหายไปในทันที ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ
แต่ความรู้สึกของทุกคนกลับน่าเหลือเชื่อหาใดเปรียบ ด้วยร่างผอมแห้งสกปรกร่างนั้นปรากฏตัวอย่างกะทันหันเกินไปจริงๆ!
“อ้อ กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิสินะ… หึๆ หึๆๆๆ คำนวณดูแล้ว ข้ามาที่นี่ครั้งก่อนก็ผ่านไป… นานขนาดนี้แล้วสินะ…”
ชายชราถอนใจ สองมือไพล่หลัง ทอดถอนใจอย่างต่อเนื่อง มองเหล่าผู้กล้าโดยรอบราวสิ่งไร้ค่า
สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงที่สุดคือ อานุภาพกดดันอันน่ากลัวของกู่เหลียงฉวี่นั้น ไม่ว่าจะบุกจู่โจมอย่างไร ทันทีที่มาถึงจุดที่ชายชรายืนอยู่ก็จะพากันสลายหายไป
หิมะที่ละลายเข้ากับน้ำจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!
เงาร่างนี้แน่นอนว่าเป็นเฒ่าโดดเดี่ยวที่เก็บตัวอยู่ใน ‘เรือนโอบดารานิทราบุหลัน’ ของจักรวรรดิจื่อเย่าแห่งโลกชั้นล่าง
พริบตานั้นกู่เหลียงฉวี่นัยน์ตาหดรัด เจ้าเฒ่านี่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งมีชีวิต เป็นแค่ประทับเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น
ทั้งกลิ่นอายยังไม่อาจถูกคนสังเกตเห็น ราวกับว่าถูกมหามรรคทอดทิ้ง
แต่ประทับเจตจำนงเช่นนี้กลับเหมือนปราการหนึ่งที่ขวางอยู่ใต้ฟ้าครามนิรันดร์กาล ไม่อาจถูกสั่นคลอนซะอย่างนั้น!
“นี่…”
พวกซุ่นจี้ ฮูหยินมู่ หลิงเซียวจื่อตกตะลึงตาค้าง แทบไม่กล้าเชื่อ
ในช่วงอันตรายที่แบ่งแยกเป็นตายกลับเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ขึ้น พวกเขาต่างตอบสนองไม่ทันไปชั่วขณะอยู่บ้าง
‘ที่แท้เจ้าหนูนี่ยังมีไพ่ตายอยู่…’
ท่านเซิ่นแววตาวาววาบ ใจที่เคว้งลอยผ่อนคลายลง เพียงแต่ยามคิดถึงเหตุการณ์น่าตระหนกเมื่อครู่นั้น แม้แต่เขาก็ยังนึกกลัว
‘จริงดังคาด เหมือนที่จักจั่นทองพูดไว้ไม่ผิด ผู้สืบทอดของคีรีดวงกมล ต่อให้ตอนนี้อ่อนแอกระจ้อยร่อยแค่ไหน ก็ไม่มีทางประสบเคราะห์เช่นนี้เด็ดขาด…’
หญิงสาวกระโปรงแดงพึมพำในใจ ในดวงตาคู่งามที่ดูประหนึ่งภาพฝันลวงตาวาวระยับท่วมท้น
ส่วนสัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นในที่นั้นก็อึ้งงันกันไปหมด
มีเหตุคาดไม่ถึงเกิดขึ้นอีกแล้ว!
ในมือเจ้าหนุ่มนั่นซ่อนไพ่ตายและความลับไว้เท่าไรกันแน่
ขณะเดียวกันในใจหลินสวินก็ลอบโล่งอก
ปีนั้นยามอยู่โลกชั้นล่าง เฒ่าโดดเดี่ยวเคยมอบป้ายคำสั่งป้ายหนึ่งให้เขา ด้วยเป็นห่วงว่ายามที่เขาเข้าไปในสมรภูมิกระหายเลือดแล้วเจอคู่ต่อสู้ที่ไม่อาจต่อกร สามารถพึ่งพาป้ายคำสั่งนี้เอาตัวรอดได้
ตามคำพูดของเฒ่าโดดเดี่ยว ยามที่อยู่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิ ป้ายกระดูกเกลี้ยงเกลานี้ถ้าไม่ใช่ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานอย่าใช้โดยง่าย
เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะป้ายคำสั่งนี้ใช้ได้แค่ครั้งเดียว
แต่หลังจากเข้าไปในสมรภูมิกระหายเลือด อันตรายที่หลินสวินเจอตลอดทางล้วนถูกเขาสลายอย่างง่ายดาย กลับกลายเป็นว่าไม่มีโอกาสให้ใช้ป้ายคำสั่งนี้ และถูกเขาเก็บไว้ตลอดจนถึงวันนี้
แต่ตอนนี้ในที่สุดก็ถูกส่งลงสนามรบ!
“จุ๊ๆ มิน่าถึงเชิญข้าออกมา เพิ่งอยู่ระดับมกุฎอริยะก็ถูกระดับกึ่งจักรพรรดิกำราบแล้ว สถานการณ์นี้อันตรายเกินไปจริงๆ”
เวลานี้เฒ่าโดดเดี่ยวยืนอยู่กลางอากาศ เหลือบดวงตาสามเหลี่ยมกวาดมองทั่วลาน สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่กู่เหลียงฉวี่แล้วยิ้มหยันกล่าวเจือแววปรามาส
“จะว่าไปกึ่งจักรพรรดิคนนี้ก็หน้าด้านเกินไป ฝึกปราณมาถึงวันนี้ แต่กลับนำกำลังคนเข้าต่อสู้กับเจ้าตัวน้อยคนหนึ่งด้วยตัวเอง ไม่รู้สึกละอายบ้างหรือ”
กู่เหลียงฉวี่สีหน้าขรึมลงทันที กล่าวเย็นชา “สหายยุทธ์ท่านนี้ เจ้ามาขวางทางแล้ว!”
โอกาสหายวับไปกับตา กว่าเขาจะอาศัยเลือดแท้ระดับจักรพรรดิฉวยโอกาสเสี้ยวหนึ่งมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ มีหรือจะยอมปล่อยไปเพียงแค่นี้
เขาทุ่มเททุกอย่าง ทั้งล่วงเกินทุกคนแล้ว เวลานี้ไม่มีหนทางให้หันกลับอีกแล้ว เวลานี้ต่อให้มีพุทธองค์มาขวางหน้า เขาก็จะบุกสังหารเต็มกำลังโดยไม่ลังเล!
ความจริงขณะที่น้ำเสียงเพิ่งดังขึ้น กู่เหลียงฉวี่ก็ลงมืออย่างเหี้ยมหาญแล้ว
ตูม!
ทวนสีเงินเล่มหนึ่งตัดผ่านอากาศ ราวกับมังกรคลั่งสีขาวเงินทะยานสู่ฟากฟ้า ที่มาพร้อมกันคือเสียงธรรมอึกทึกสนั่นหู พุ่งพิฆาตออกไป
แค่มองจากไกลๆ ก็ทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าไม่น้อยขวัญหนีดีฝ่อ!
แต่เผชิญหน้ากับการโจมตีที่น่ากลัวเช่นนี้ เฒ่าโดดเดี่ยวก็ไม่รู้ว่านำกระบวยด้ามหนึ่งที่ดูสกปรกมันย่องออกมาจากไหน กระแทกลงมาลวกๆ
การเคลื่อนไหวดูช่ำชองจนเหมือนยกกระทะผัดกับข้าว
ตูม!
เสียงระเบิดอึกทึกสนั่นหูดังก้องขึ้น สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงอ้าปากค้างคือ ทวนสีเงินถึงกับถูกกระแทกดังครืนเกือบหลุดมือลอยออกไป
ร่างกายของกู่เหลียงฉวี่สั่นสะท้านไปทั้งตัว ซวนเซถอยหลังไปหลายก้าวทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
นี่หรือคืออานุภาพที่พลังเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งครอบครองได้
เจ้าเฒ่าที่สกปรกโสมมคนนี้คงไม่ใช่… ตัวตนระดับจักรพรรดิแท้กระมัง
สัตว์ประหลาดเฒ่าทุกคนรวมถึงท่านเซิ่นและหญิงสาวกระโปรงแดง ยามนี้ต่างมีความรู้สึกว่าตาลาย
ใช้กระบวยด้ามหนึ่ง สยบกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งที่หลอมพลังของเลือดจักรพรรดิมาใช้หรือ
ภาพนี้ช่างแปลกประหลาดถึงที่สุดจริงๆ!
แม้แต่หลินสวินยังอดแลบลิ้นกับตัวเองไม่ได้ ตาเฒ่าประหลาดจอมฉุนเฉียวนี่ป่าเถื่อนเช่นนี้เชียวรึ
“ยังไม่บรรลุจักรพรรดิ ดิ้นรนไปสุดท้ายก็เปล่าประโยชน์ เลือดแท้ระดับจักรพรรดิที่เจ้าใช้มืดดำไม่น่าไว้ใจ เหี้ยมโหดอำมหิต หากข้ามองไม่ผิด น่าจะเป็นเลือดแท้สายหนึ่งที่จักรพรรดินรกเลือดทมิฬเหลือไว้ขณะบรรลุจักรพรรดิ หากเปลี่ยนเป็นเลือดแท้ของบุคคลระดับจักรพรรดิคนหนึ่งที่บรรลุถึงขั้น ‘ไร้รูปไร้วิชา’ บางทีอาจเข้าตาข้าได้บ้าง”
เฒ่าโดดเดี่ยวยิ้มหยัน บนหน้าผอมแห้งเต็มไปด้วยริ้วรอย ไม่อำพรางแววปรามาสแม้แต่น้อย
เพียงแค่คำพูดนี้ สำหรับเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าในที่นั้นกลับไม่ด้อยไปกว่าฟ้าถล่มดินทลาย ทุกคนต่างถูกทำให้หวั่นหวาดอยู่ตรงนั้น
แค่กลิ่นอายของเลือดจักรพรรดิสายหนึ่ง ก็แยกแยะความลับได้มากเช่นนี้แล้วหรือ
และอะไรที่เรียกว่า ‘ไร้รูปไร้วิชา’ ในระดับจักรพรรดิ
ทุกอย่างนี้แสดงให้เห็นโดยปริยาย ว่าเป็นไปได้สูงที่เฒ่าโดดเดี่ยวคือตัวตนระดับจักรพรรดิแท้คนหนึ่ง ถึงขั้นเป็นไปได้สูงว่าจะรู้จักจักรพรรดินรกเลือดทมิฬด้วย!
มิฉะนั้นเขามีหรือจะรู้มากเช่นนี้
ต้องรู้ว่านี่ยังเป็นแค่ประทับเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งของเขา หากร่างต้นของเขาอยู่ที่นี่จะน่ากลัวเพียงใด
“เจ้าเป็นแค่ประทับเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น ยังกล้ามาคุยโวโอ้อวดไม่กระดาก!”
ตูม!
กู่เหลียงฉวี่ออกโจมตีอีกครั้ง กลิ่นอายน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม แสงโลหิตสายหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางศีรษะของเขา พลังที่เหมือนระดับจักรพรรดิกำลังอบอวล คุกคามข่มขวัญฟ้าดิน
เขาโบกสะบัดทวนวงเดือน พุ่งพิฆาตเข้าใส่
“ยึดติดจนกลายเป็นมาร ฝากความหวังของการบรรลุจักรพรรดิไว้กับสิ่งภายนอกที่เลือนรางว่างเปล่า ทำไมช่างน่าขันเช่นนี้”
เฒ่าโดดเดี่ยวยิ้มหยัน การเคลื่อนไหวไม่ได้ช้าลง ก้าวออกไปก้าวหนึ่งทันที
ตึง!
ฟ้าดินต่างสั่นสะเทือน พลังไร้รูปที่น่ากลัวสายหนึ่งม้วนพัดออกมาปกคลุมกู่เหลียงฉวี่ทั้งตัวไว้ภายใน
ขณะเดียวกันเฒ่าโดดเดี่ยวก้าวออกมาข้างหน้า ฟาดกระบวยใส่ไม่ยั้ง
ปึงๆๆ… เสียงสะท้อนลุ่มลึกดังขึ้น เหตุการณ์ที่ทำให้ผู้คนคาดไม่ถึงปรากฏขึ้นแล้ว ทุกกระบวยที่ฟาดลงไป อานุภาพที่อยู่รอบกายกู่เหลียงฉวี่จะหายไปหนึ่งส่วน เงาร่างของเขาหดเล็กลงไปเล็กน้อย
เมื่ออานุภาพของเขาถูกซัดละเอียดจนพังทลายอย่างสมบูรณ์ เงาร่างของเขาก็ถูกเล่นงานจนหดเหลือสามชุ่น เหมือนตั๊กแตนตัวหนึ่งถูกปกคลุมอยู่ในกระบวยด้ามนั้น
ไม่ว่าเขาจะตะเบ็งหรือคำรามอย่างไรก็ไม่อาจหนีออกมาจากกระบวยนั้นได้!
ทั่วทั้งลานต่างเงียบสงัดในพริบตา สัตว์ประหลาดเฒ่าทุกคนล้วนสูดหายใจเย็นเยียบ กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก คนผู้นี้… เป็นตัวตนน่ากลัวอะไรกันแน่
ยอดฝีมือคนหนึ่งที่จัดอยู่ในอันดับหนึ่งของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ทั้งยังยืมพลังของเลือดแท้ระดับจักรพรรดิมาใช้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขากลับไม่มีแม้แต่พลังจะดิ้นรน!
นี่ช่างน่าเหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เขามีความสัมพันธ์อะไรกับหลินสวิน
แม้แต่ตัวหลินสวินเองมุมปากยังกระตุกอย่างอดไม่อยู่
ตาเฒ่าโดดเดี่ยวคนนี้เป็นแค่ประทับเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น แต่กลับทรงพลังเช่นนี้ เช่นนั้นพลังปราณที่แท้จริงของเขาจะน่ากลัวมากแค่ไหน
หลินสวินนึกถึงประโยคหนึ่งที่ราชันกระหายเลือดจ้าวไท่ไหลเคยบอกอย่างไม่อาจอธิบายได้
‘เจ้าเฒ่านี่คือคนเดียวที่ละทิ้งมหามรรค เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ฝึกตนตามลำพัง อย่ามองว่าเขาไม่มีพลังปราณเลยสักนิด แต่ในโลกชั้นล่างนี้ไม่มีใครฆ่าเขาได้!’
สรุปง่ายๆ ก็คือมรรคาของเฒ่าโดดเดี่ยวต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘การละทิ้งมหามรรค ฝึกตนตามลำพัง’ อย่างแน่นอน ก็ไม่แปลกที่จะไม่มีใครมองพลังปราณของเขาออก
ด้วยเขาละทิ้ง ‘มหามรรค’ ที่ทุกคนเสาะหาไปนานแล้ว!
ในที่นั้นเงียบสงัด มีเพียงกู่เหลียงฉวี่ซึ่งถูกขังอยู่ในกระบวยที่ยังคำราม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ไม่พอใจและหวาดกลัว
เหมือนแม้แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าตนจะแพ้อย่างหมดรูปเช่นนี้!
เฒ่าโดดเดี่ยวคิดไปคิดมาก็ถอนหายใจ “ฆ่าเจ้ามันง่ายไป ให้เจ้ารอดชีวิตก็คงยาก เอาเถอะ เห็นแก่ว่าที่นี่คือกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ขอยึดตามกฎเกณฑ์ของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ กำราบเจ้าไว้หนึ่งหมื่นปีก่อนแล้วกัน!”
ตูม!
เขาสะบัดกระบวยในมือ ยื่นมือออกไปบีบขยำกู่เหลียงฉวี่ให้เป็น ‘ไข่มุก’ เม็ดหนึ่ง รอบไข่มุกมีแสงมรรคเร้นลับอบอวล
จากนั้นเฒ่าโดดเดี่ยวก็เหมือนสัมผัสอะไรบางอย่าง กล่าวประหลาดใจขึ้นมาทันที “เสี้ยวเจตจำนงของจักรพรรดิมารไร้ใจยังอยู่ที่นี่หรือ เทพสังหารอำมหิตที่สองมือเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคนนี้ ช่างลุ่มหลงมัวเมาเสียจริง…”
เขาพูดพลางดีดนิ้ว กู่เหลียงฉวี่ที่ถูกกำราบกลายเป็นไข่มุกเม็ดหนึ่งพุ่งทลายอากาศออกไปทันที หายไปในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิที่กว้างใหญ่
กู่เหลียงฉวี่ถูกกำราบอย่างสมบูรณ์โดยไม่ต้องสงสัย
นี่ทำให้คนไม่น้อยทอดถอนใจอยู่ภายในใจ อันดับหนึ่งของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิกลับตกต่ำลงเช่นนี้ จะไม่ให้ผู้คนทอดถอนใจได้อย่างไร
……………………..