มีเพียงหลินสวินที่ขมวดคิ้วมุ่น ตามความคิดของเขา กู่เหลียงฉวี่เป็นคนที่ต้องฆ่าทิ้ง!
คนผู้นี้แม้จะเป็นอันดับหนึ่งของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ แต่กลับใจคอคับแคบ ดันทุรังทำตามใจเพื่อชิงสมบัติ วิธีการยิ่งต่ำช้าเลวทรามถึงที่สุด
หากไม่ใช่ว่าครั้งนี้ในมือตนยังมีไพ่ตายอยู่ ผลลัพธ์ที่เหลือไว้ให้ตนคงมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือตาย!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าหลินสวินไม่พอใจที่จะปล่อยกู่เหลียงฉวี่ไปแค่นี้
เวลานี้เฒ่าโดดเดี่ยวหันกลับมา บนสีหน้าเจือแววเดียวดายเสี้ยวหนึ่ง ทอดถอนใจกล่าว
“เจ้าหนู ใช่ว่าข้าไม่ช่วยเจ้าฆ่าคน หากแต่เป็นกฎของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดินี้ แม้แต่ข้าก็ไม่เคยทำลายมันมาก่อน ครั้งนี้ก็ไม่อาจทำลายกฎ มิฉะนั้น… ก็ไม่ต่างอะไรกับตบหน้าตัวเอง แต่เจ้าวางใจได้ว่าจากนี้ไปหนึ่งหมื่นปี เจ้าหมอนั่นจะต้องตกนรกทั้งเป็นและถูกทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแน่ ความจริงสิ่งนี้คงยากจะรับได้ยิ่งกว่าฆ่าเขาให้ตาย”
“ความตายสามารถรวบรัดตัดจบ แต่การมีชีวิตอยู่บางครั้งอาจเจ็บปวดมากกว่าตาย”
สัตว์ประหลาดเฒ่าทุกคนต่างเงียบงัน คำพูดของเฒ่าโดดเดี่ยวเหมือนตัดสินโทษของกู่เหลียงฉวี่อย่างสมบูรณ์ สิ่งที่รอกู่เหลียงฉวี่อยู่ก็คือการกำราบและความทรมานที่ยาวนานถึงหมื่นปี!
สำหรับผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่เข้าใกล้ระดับจักรพรรดิอันไร้สิ้นสุด หนึ่งหมื่นปีช่างนานมากจริงๆ ต้องพลาดโอกาสไปมากแน่ๆ!
“น่าเสียดาย ขนาดใช้ไพ่ตายใบนี้ของท่านแล้ว แต่กลับได้ผลลัพธ์มาแค่นี้ ถ้ารู้อย่างนี้คงเก็บไว้ใช้ในภายหลังแล้ว”
หลินสวินก็ได้แต่ยอมรับ
เฒ่าโดดเดี่ยวหลุดหัวเราะแล้วเปลี่ยนสีหน้า แค่นเสียงเย็นชากล่าว “ตอนนั้นข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว ว่าป้ายคำสั่งนี้เอาไว้ใช้ขู่ขวัญ!”
ไม่นานเขาก็เหมือนตระหนักถึงอะไรบางอย่าง เหลือบมองหลินสวินอย่างประหลาดใจเล็กน้อย เจ้าหนูนี่กล้าพูดเช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่าต่อให้ไม่พึ่งพลังของตน เขาก็มีวิธีอื่นที่สามารถคลี่คลายสถานการณ์อันตรายเมื่อครู่ได้อีกหรือ
‘เวลาไม่มาก ถือโอกาสนี้ข้ามีประโยคหนึ่งจะกล่าวเตือน ภายหน้าหากจะไปที่ทางเดินโบราณฟ้าดารา ต้องระวังจักรพรรดินรกเลือดทมิฬด้วย ตอนหนุ่มเจ้าเฒ่านี่เป็นคนโฉดที่ทำทุกทางเพื่อบรรลุเป้าหมาย ต่อให้บรรลุจักรพรรดิก็ยังเก็บงำแผนเจ้าเล่ห์ ถ้าถูกเขาเพ่งเล็ง ไม่ว่าเจ้าจะเป็นมดปลวกหรือจักรพรรดิ เขาจะต้องแก้แค้นเต็มกำลังอย่างแน่นอน…’
เฒ่าโดดเดี่ยวสื่อจิตกำชับ
เงาร่างเขาค่อยๆ เลือนราง เมื่อเสียงหายไป เงาร่างของเขาก็หายไปในอากาศราวหมอกควันสายหนึ่ง หายไปอย่างสมบูรณ์
ป้ายกระดูกในมือของหลินสวินก็แตกดังเปรี๊ยะ พังทลายไม่เหลือซาก
หลินสวิอดกลัดกลุ้มไม่ได้ สำหรับปวงสวรรค์หมื่นพิภพ โลกชั้นล่างที่จักรวรรดิจื่อเย่าอยู่เป็นสถานที่แบบใดกันแน่
มี ‘แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์’ ที่เป็นหนึ่งในจตุโบราณสถาน มีสุสานสมุทรฝังมรรค มีป่าต้นหม่อนที่ลี้ลับเกินคาดเดา และมีเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ลึกลับและน่ากลัวอย่างเฒ่าโดดเดี่ยว ราชครูของหอดูดาวหลวง…
แม้แต่มารดาของตนลั่วชิงสวินและท่านลู่ ตอนนั้นที่มาจากฟากฝั่งฟ้าดาราก็ไม่ปรากฏตัวที่ดินแดนรกร้างโบราณ และไม่ปรากฏตัวที่แปดดินแดนอื่น มีเพียงจำศีลอยู่ในโลกชั้นล่าง
ในพื้นที่นี้ซ่อนความลับอะไรไว้กันแน่
หลินสวินอึ้งงัน เงียบไปไม่กล่าววาจา
สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นในที่นั้นราวกับยกภูเขาออกจากอก ผ่อนคลายลงทั้งตัว
เมื่อครู่ไม่ว่าจะเป็นกู่เหลียงฉวี่หรือเฒ่าโดดเดี่ยว ก็ล้วนทำให้พวกเขากดดันอย่างหนักหน่วง อึดอัดไปทั้งตัว
ตอนนี้ในที่สุดก็ได้ผ่อนคลายแล้ว
เพียงแต่สีหน้าของทุกคนต่างเจือแววสับสน
พวกซุ่นจี้ ฮูหยินมู่ หลิงเซียวจื่อก็ตกตะลึง ด้วยความลับของหลินสวินมากเกินไปแล้วจริงๆ ทำให้พวกเขาต่างมีความรู้สึกว่ายากเข้าใจ
สัตว์ประหลาดเฒ่าพวกนั้นที่เคยถูกสิ่งมีชีวิตน่ากลัวมากมายกำราบ แต่ละคนต่างหวาดกลัวอยู่ลึกๆ
กู่เหลียงฉวี่เป็นถึงอันดับหนึ่งของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ถึงขั้นใช้เลือดแท้ระดับจักรพรรดิ แต่ผลลัพธ์ล่ะ ยังคงแพ้อย่างย่อยยับ ถูกขังไว้หนึ่งหมื่นปี!
หญิงสาวกระโปรงแดงยิ้มเงียบๆ นางรู้ว่าทางเลือกของตนถูกต้องแล้ว ห้องมืดนิรันดร์ ส่องสว่างด้วยโคมเดียว!
นางไม่พูดอะไรมาก กลายร่างเป็นดอกกระบี่พันปีกสีแดงดุจเพลิงผลาญ พุ่งเข้าไปในใบหิมะน้ำแข็งในมือของหลินสวิน
ท่านเซิ่นสูดหายใจลึก ยิ้มเดินเข้าไปหาหลินสวิน
“สหายน้อย ไม่เจอกันนานทีเดียว”
…
ในโถงใหญ่
หลินสวินและท่านเซิ่นนั่งลงกับพื้น
เหล่าผู้กล้าแยกย้ายกันไป ผ่านการต่อสู้นองเลือดที่คาดไม่ถึงและชวนระทึกขวัญ แต่ละคนล้วนต้องการสงบสติอารมณ์สักหน่อย
ท่านเซิ่นเงียบไปครู่ใหญ่ก็ยิ้มน้อยๆ “ครั้งนี้ความผิดไม่ได้อยู่ที่เจ้า ต่อให้ทำลายกฎเกณฑ์ของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิก็พอเข้าใจได้ ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องกดดัน”
หลินสวินถอนใจกล่าว “ไม่ถึงขั้นกดดัน เพียงแต่ในใจกลับผิดหวังอยู่บ้าง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมคนอย่างกู่เหลียงฉวี่ยังถูกยกย่องเป็นอันดับหนึ่งของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิได้”
ท่านเซิ่นกล่าว “ง่ายมาก หนึ่งด้วยเขาก้าวสู่ระดับครึ่งก้าวสู่จักรพรรดิแล้ว พลังต่อสู้เป็นเลิศ สองก็ด้วยเขามากประสบการณ์ อยู่รอดมานานที่สุด เจ้าน่าจะรู้ว่าที่นี่คือสนามรบแนวหน้า ต่อให้เป็นกึ่งจักรพรรดิก็มีโอกาสตายได้”
“พูดถึงแค่หมื่นปีมานี้ กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิมีกึ่งจักรพรรดิร่วงหล่นรวมทั้งสิ้นสามร้อยเจ็ดสิบเจ็ดคน การบาดเจ็บล้มตายพูดไม่ได้ว่าไม่สาหัสสากรรจ์ ในหมู่ผู้แข็งแกร่งที่ตายจากไปพวกนั้น ไม่ขาดแคลนผู้แข็งแกร่งอย่างกู่เหลียงฉวี่ แต่คนที่อยู่รอดมาได้ถึงตอนนี้กลับมีแค่กู่เหลียงฉวี่”
พูดถึงตรงนี้ ท่านเซิ่นคิดไปคิดมาค่อยกล่าวต่อ “สามารถอยู่รอดมาได้ถึงตอนนี้ ไม่ใช่แค่โชคดีเท่านั้น ยังต้องมีความสามารถที่คู่ควรด้วย”
หลินสวินไม่ตอบรับหรือปฏิเสธเรื่องนี้ และไม่พูดถึงประเด็นนี้อีก หากแต่หยิบจดหมายฉบับหนึ่งที่ท่านเมี่ยวเสวียนฝากให้ตนนำมาส่งมอบแก่ท่านเซิ่น
เมื่อเห็นจดหมาย ในดวงตาของท่านเซิ่นพลันฉายแววอัศจรรย์ คล้ายยากจะเชื่อ ทั้งชื่นใจหาใดเปรียบ
เขาหยัดร่างขึ้นโค้งคำนับกล่าว “ขอบคุณสหายน้อย!”
หลินสวินรับมือไม่ทัน รีบลุกขึ้นกล่าว “ผู้อาวุโสเหตุใดถึงพูดเช่นนี้”
ท่านเซิ่นยิ้มกล่าว “หากไม่มีจดหมายนี้ ข้าคงไม่รู้ว่าการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งนี้ ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณของพวกเราได้รับชัยชนะครั้งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อน และตอนนี้สหายน้อยก็เป็น ‘อันดับหนึ่งของสมรภูมิเก้าดินแดน’ แล้ว!”
ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความชื่นชมและทอดถอนใจ
นี่คือชัยชนะครั้งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนจริงๆ ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องรู้สึกจิตใจปั่นป่วน เลือดลมสูบฉีด
“นี่ไม่ใช่ผลงานของผู้น้อยคนเดียว” หลินสวินกล่าว
ท่านเซิ่นหัวเราะร่า “เจ้านี่นะ อย่าถ่อมตัวไปเลย เมี่ยวเสวียนครอบครองพู่กันวสันต์สารทและหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์ ไม่กล้าคุยโวโอ้อวดเด็ดขาด ในจดหมายของเขาบอกข้าทุกอย่างแล้ว ไหนเลยจะไม่รู้ว่าชัยชนะครั้งใหญ่ของการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งนี้ เกิดขึ้นได้เพราะเจ้าคนเดียว”
พูดถึงตรงนี้หว่างคิ้วของเขาพลันฉายแววเด็ดขาด “เรื่องนี้จำเป็นต้องให้ทุกคนในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิรู้ว่านักพรตชิว กู่เหลียงฉวี่… รวมถึงบุตรนรก ความผิดที่พวกเขาก่อร้ายแรงระดับใด!”
ท่านเซิ่นเอ่ยถามอีกครั้ง “จริงสิ ทำไมครั้งนี้เจ้าถึงยืนกรานจะมาที่สนามรบแนวหน้านี้เล่า เมี่ยวเสวียนยังกำชับให้ข้าดูแลเจ้าด้วย”
หลินสวินหยิบใบหิมะน้ำแข็งออกมากล่าว “นี่คือสิ่งที่ผู้อาวุโสท่านหนึ่งให้ข้านำมา…”
เขาพูดพลางเล่าคำฝากฝังของชายหนุ่มจักจั่นทองออกมาทีละเรื่อง
หลังจากท่านเซิ่นเข้าใจเรื่องทุกอย่างก็อดไหวหวั่นไม่ได้ อึ้งงันไปครู่ใหญ่จึงกล่าวเย็นชา “เจ้ากู่เหลียงฉวี่นี่เกือบก่อเรื่องใหญ่ให้กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิแล้ว!”
ถึงตอนนี้ในใจของหลินสวินผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์
เรื่องที่ควรทำเขาก็ทำแล้ว ในที่สุดก็ไม่ผิดต่อคำฝากฝังของชายหนุ่มจักจั่นทอง
…
วันนี้แท่นไฟสัญญาณในทุก ‘ฐานทัพ’ ของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิต่างจุดไฟสัญญาณข่าวจักรพรรดิพร้อมกัน
ขณะเดียวกันข่าวบางส่วนก็แพร่ออกไป
‘อันดับหนึ่งของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิกู่เหลียงฉวี่ทำความผิดมหันต์ ถูกกักขังหนึ่งหมื่นปี!’
‘ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดน ดินแดนรกร้างโบราณได้รับชัยชนะครั้งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อน มกุฎอริยะรุ่นเยาว์หลินสวินถูกยกย่องเป็น ‘อันดับหนึ่งของสมรภูมิเก้าดินแดน’ !’
‘ท่านเซิ่นออกคำสั่ง ประกาศจับบุตรนรกเต็มกำลัง!’
‘มกุฎอริยะหลินสวินนำสมบัติของจักรพรรดิมามอบให้ หากเป็นไปดังคาด จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของสนามรบแนวหน้าได้!’
…แต่ละข่าวเหมือนฟ้าผ่าจากเก้าชั้นฟ้า ทันทีที่ข่าวพวกนี้แพร่ออกไปพร้อมกัน ทั้งกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิก็แตกตื่นอย่างสมบูรณ์
สัตว์ประหลาดเฒ่าไม่รู้เท่าไรตกตะลึงและร้องเสียงหลงด้วยเหตุนี้
และไม่รู้ว่ามีผู้คนเท่าไรทอดถอนใจด้วยเสียดายกู่เหลียงฉวี่
แต่ไม่ว่าอย่างไรนับจากวันนี้ไป ทุกคนต่างจดจำชื่อหนึ่งไว้แล้ว…
หลินสวิน!
ผู้กล้าแห่งยุคคนหนึ่งที่แม้จะอยู่ในระดับมกุฎอริยะ แต่กลับสร้างปาฏิหาริย์มากมาย สามารถสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่เหนือกาลเวลา!
…
‘เจ้าเฒ่ากู่เหลียงฉวี่นี่ไร้ประโยชน์จริงๆ!’
ส่วนลึกของหมู่ดาวไร้ระเบียบแถบหนึ่งที่อยู่ห่างกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิไปไกล บุตรนรกกำลังลุกลนหลบหนี
ทันทีที่รู้ว่าตนถูกประกาศจับ เขาก็หนีโดยไม่ลังเล ไม่กล้าหยุดพักแม้แต่น้อย
‘อันดับหนึ่งของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิเชียวนะ ถึงกับทำอะไรสวะคนหนึ่งไม่ได้! ทำไมไม่ปาดคอฆ่าตัวตายไปซะ’
บุตรนรกโกรธจนหน้าเขียวเหี้ยมเกรียม
ความจริงในใจเขากลับมีความรู้สึกเศร้ารันทดอย่างบอกไม่ถูก
ทุกครั้งที่เจอหลินสวินจะมีมหันตภัยใหญ่มาเยือนกบาลเขาตลอด หรือเจ้าระยำนี่จะเป็นดาวข่มของตนโดยกำเนิด
พอคิดถึงหลินสวิน บุตรนรกก็แค้นจนกัดฟันกรอด เจ้าระยำนี่ถึงกับมองตนเป็นเด็กแจกทรัพย์! ไม่อาจทนได้จริงๆ!
‘หลินสวิน เจ้ารอข้าก่อนเถอะ เจอกันครั้งหน้าข้าจะทึ้งเอ็นเถือหนังเจ้าแล้วกำราบไว้ในกาหลอมจิตแน่ ให้เจ้าอยากตายก็ไม่ได้ อยากอยู่ก็ไม่รอดไปชั่วกาล!’
บุตรนรกแผดเสียงคำรามในใจ
…
กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิกำลังปั่นป่วน แต่เรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับหลินสวิน
“สหายน้อย เจ้าดู”
นี่คือด้านบนกำแพงเมืองบริเวณหนึ่ง พูดว่าเป็นกำแพงเมือง ความจริงแล้วสูงไม่รู้กี่จั้ง พุ่งตรงไปในท้องนภา มองออกไปล้วนกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
ท่านเซิ่นชี้ไปยังจุดที่ห่างออกไปแล้วกล่าว “นั่นก็คือนอกกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ เป็นแดนแห่งการนองเลือดที่วิวัฒน์มาจากโลกที่ไม่สมบูรณ์นับไม่ถ้วน ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์มาถึงตอนนี้ ที่นี่เป็นสมรภูมิต่อสู้ของดินแดนรกร้างโบราณกับศัตรูแปดดินแดนมาตลอด ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้ไม่รู้ว่ามีกี่แดนถูกทำลายแตกละเอียด ทั้งไม่รู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตเท่าไรฝังร่างอยู่ที่นี่”
หลินสวินยืนอยู่ข้างๆ พยายามมองไปก็เห็นแต่ภาพที่ดูเปล่าเปลี่ยว พังทลาย อลหม่านไปทั้งแถบ มีภูผาธาราที่พังทลาย แผ่นดินที่แตกแยก สะเก็ดโลกที่ลอยคว้าง รอยแยกของห้วงอากาศ…
แค่มองก็ทำให้เขารู้สึกหนาวเยือกในใจ!
ที่นั่นหากพูดว่าเป็นสนามรบ มิสู้พูดว่าเป็นหลุมศพที่กว้างใหญ่ไพศาลยังดีกว่า ดับสลายสรรพสิ่ง ฝังกลบโลกหล้า ทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งมวล!
มีเพียงบุคคลระดับกึ่งจักรพรรดิที่โลดแล่นอยู่ในนั้นได้ ผู้ฝึกปราณคนอื่นมาแล้ว อย่าว่าแต่เข้าร่วมการต่อสู้ ถ้าเข้าไปในสมรภูมิยังเป็นไปได้ว่าจะประสบเคราะห์ทันที
นี่ก็คือภาพนอกกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ พาให้คนรู้สึกตกตะลึงด้วยการโจมตีที่กดดัน หนาวสะท้านและสิ้นหวัง
ท่านเซิ่นอาภรณ์สะบัดโบก น้ำเสียงเรียบง่ายลุ่มลึก
“เมื่อเห็นทุกอย่างนี้ด้วยตาตนเองแล้ว เจ้าคงเข้าใจความหมายของการมีอยู่ของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ด้วยมีเมืองนี้อยู่จึงทำให้สรรพชีวิตในดินแดนรกร้างโบราณของพวกเรา สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนอยู่รอดในกาลเวลาไร้สิ้นสุดมาได้จนถึงทุกวันนี้!”