เวลาล่วงเลย วันแล้ววันเล่าผ่านไป
ซูไป๋กลับไม่รับรู้อะไร
ตั้งแต่วันนั้นหลังจากหลินสวินตัดสินใจรับเขาเป็นศิษย์ฝากนาม ก็ถ่ายทอดวิชาลับฝึกปราณขั้นพื้นฐานให้กับเขา ทั้งใช้เวลาหนึ่งวันอธิบายนัยเร้นลับของมันให้เขาฟัง
ตั้งแต่นั้นมาซูไป๋ก็เริ่มฝึกปราณเพียงลำพัง
ดูเหมือนหลินสวินไม่รับผิดชอบเป็นอย่างยิ่ง แต่มีเพียงอาหลู่ที่รู้ว่าพี่ใหญ่ให้ความสำคัญกับซูไป๋ศิษย์ฝากนามคนนี้ จึงได้ทำเช่นนี้
เป้าหมายคือทำให้ซูไป๋ก้าวเดินบนมหามรรคคนเดียวได้ในภายภาคหน้า โดยไม่ต้องรับอิทธิพลจากหลินสวิน!
ซูไป๋ไม่ทำให้หลินสวินผิดหวังจริงๆ ในอดีตที่ผ่านมาเด็กหนุ่มรองเท้าฟางคนนี้คงลำบากมามากเหลือเกิน หลังจากได้รับโอกาสในการฝึกปราณก็ดูขยันและบากบั่นผิดธรรมดา
ไม่ว่าจะกิน นอน ก้าวเดิน… ล้วนใคร่ครวญและหยั่งรู้เคล็ดวิชาในการฝึกปราณ
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนที่สุดคือ ซูไป๋ควบคุมตัวเองได้ดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่ได้ตั้งใจฝึกฝนเพียงอย่างเดียว ยังแบ่งเวลาผ่อนคลายจิตใจ หยุดพักเอาแรงให้ตัวเองด้วย
“เจ้าหนูนี่ฉลาดจริงๆ รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา เข้าใจหลักการว่ายิ่งรีบยิ่งช้า โดยเฉพาะการฝึกปราณ ยิ่งดึงดันยิ่งไม่เป็นผล แต่กลับต้องดิ้นรนฟันฝ่า มรรคาที่จะก้าวไปต้องทุ่มเทไตร่ตรอง เด็กคนนี้กลับเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองโดยไม่มีอาจารย์ชี้แนะ หยั่งรู้ใจความสำคัญอย่างลึกซึ้ง ไม่เลวๆ”
เดิมทีเจ้าคางคกไม่สนใจเด็กหนุ่มรองเท้าฟางคนนี้เลย
ถึงขั้นคิดว่าด้วยชื่อเสียงของหลินสวินตอนนี้ ต่อให้รับศิษย์ก็ต้องรับปีศาจไร้เทียมทานอันดับหนึ่งแห่งยุคคนหนึ่งมาเป็นศิษย์จึงจะถูก
เมื่อรู้ว่าหลินสวินรับเด็กหนุ่มรองเท้าฟางเป็นศิษย์ฝากนาม เจ้าคางคกยังไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง
แต่ตอนนี้เขาเข้าใจได้รางๆ แล้ว
บนหนทางฝึกปราณ พรสวรรค์อาจสำคัญเป็นอย่างยิ่ง แต่จิตใจของคนต่างหากที่เป็นรากฐานในการตัดสิน ว่าจะเดินอยู่บนเส้นทางมหามรรคได้ยาวนานหรือไม่!
จิตใจ ความมุ่งมั่น และนิสัยของเด็กหนุ่มรองเท้าฟางไม่เลวเลยจริงๆ
“น่าเสียดาย ต่อให้เขาจิตใจดีแค่ไหน พรสวรรค์ก็ยังมีตำหนิ เทียบกับคนที่อายุเท่ากันบนโลกนี้แล้วก็เป็นคนที่ไม่อยู่ในสายตาอย่างสิ้นเชิง ไม่รู้จริงๆ ว่าพี่ใหญ่ของเจ้าสมองมีปัญหาหรือเปล่า ถึงได้รับคนอย่างเจ้าหนูนี่เป็นศิษย์”
เจ้านกดำยิ้มเยาะ
มันไม่ได้กำลังยิ้มเยาะเด็กหนุ่มรองเท้าฟาง หากแต่กำลังหาโอกาสเย้ยหยันหลินสวิน คิดว่าเขาสะเพร่าในการรับศิษย์เกินไป
“นกขี้ขโมยอย่างเจ้าจะไปรู้อะไร!”
อาหลู่โต้กลับทันที ถกเถียงกับเจ้านกดำขึ้นมา
สำหรับเรื่องพวกนี้หลินสวินไม่สนใจ ราวกับตัดสินใจได้แล้วว่าจะให้เด็กหนุ่มรองเท้าฟางคนนี้ฝึกปราณเพียงลำพัง ไม่มีทางเข้าไปยุ่งกับการฝึกปราณของเขาอีก
เวลาหนึ่งเดือนกว่าผ่านไปเงียบๆ
วันนี้ซย่าเสี่ยวฉงพลันตัดสินใจว่าจะจากไป บอกว่านางเห็นซูไป๋ฝึกปราณอย่างอุตสาหะเช่นนี้แล้ว ตัวเองก็ควรขยันแสวงหาความก้าวหน้าจึงจะถูก ไม่อย่างนั้นในการฝึกปราณต่อจากนี้หากถูกซูไป๋ไล่ตามทันก็จะเสียหน้าเกินไปแล้ว
เหตุผลในการบอกลาที่แปลกใหม่เป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ ก็มีแค่ซย่าเสี่ยวฉงที่คิดออก
นอกจากหลินสวินจะกลั้นขำไม่อยู่แล้วก็ไม่เหนี่ยวรั้งนางไว้ วันนั้นเขาออกโรงด้วยตัวเอง พาซย่าเสี่ยวฉงออกจากทะเลหมากดาราไป
ด้วยพลังปราณของหลินสวินตอนนี้ ใช้เวลาแค่ครึ่งวันก็มาถึงอาณาเขตของจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว สถานที่แห่งนั้นถูกเรียกว่า ‘เขาบรรพตเขียว’
ปีนั้นเขาก็เคยพาซย่าเสี่ยวฉงมาส่งถึงที่นี่อย่างปลอดภัย
“พี่หลินสวิน ท่านรีบกลับไปเถอะ”
ดวงตะวันสาดแสงยามอัสดง ซย่าเสี่ยวฉงสวมชุดกระโปรงสีพื้นยืนอยู่ในทุ่งดอกไม้กลางภูเขาอย่างมีชีวิตชีวา ใบหน้าเล็กงดงามไร้เดียงสา เสียงหัวเราะพราวเสน่ห์ เงาร่างเพรียวบางปกคลุมด้วยประกายแสงสายัณห์ที่งามตระการชั้นหนึ่ง
“เสี่ยวฉง อีกไม่นานข้าอาจต้องจากดินแดนรกร้างโบราณไปช่วงหนึ่ง เจ้านำสิ่งนี้ไปด้วย หากเจออันตรายก็บีบมันให้แหลกก็พอ”
หลินสวินนำป้ายหยกป้ายหนึ่งที่เตรียมไว้นานแล้วมอบให้ซย่าเสี่ยวฉง ในป้ายคำสั่งประทับเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งของเขาไว้ หากอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณนี้ก็สามารถสร้างแรงสะเทือนอันยิ่งใหญ่ได้
“อืม!”
ซย่าเสี่ยวฉงไม่ปฏิเสธ รับป้ายคำสั่งมาอย่างยินดี ดวงตาระยิบระยับกล่าว “พี่หลินสวิน ต่อจากนี้ท่านต้องดูแลตัวเองด้วยนะ”
หลินสวินยิ้มกล่าว “นั่นแน่นอนอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นข้ากลับไปก่อนนะ”
ซย่าเสี่ยวฉงโบกมือแล้วหันหลังขึ้นไปบนภูเขา ฝีเท้าแผ่วเบามีชีวิตชีวา เงาหลังกลายเป็นภาพงดงามจับใจยามตะวันตกดิน
เพียงแต่เมื่อมาถึงหน้าประตูทางเข้าที่พำนักของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว รอยยิ้มบนใบหน้าของซย่าเสี่ยวฉงกลับค่อยๆ หายไป ความอมทุกข์วนเวียนอยู่ตรงหว่างคิ้ว
นางแอบทอดถอนใจ ก้าวเข้าไปในประตูทางเข้าอย่างเด็ดเดี่ยวเหมือนตัดสินใจได้แล้ว
“เสี่ยวฉง ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้วสินะ!”
เมื่อเข้าประตูมา เสียงที่เจือความโกรธเสียงหนึ่งดังขึ้น จู่ๆ หญิงชราผมเงินคนหนึ่งก็ปรากฏตัว จ้องมองซย่าเสี่ยวฉงด้วยสายตาเย็นชา
“ท่านน้าเก้า”
ซย่าเสี่ยวฉงกล่าว
“ฮึ ในสายตาของเจ้ายังมีน้าเก้าอย่างข้าด้วยรึ คิดว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็งแล้ว ไม่ต้องสนอะไรเลยก็ได้ใช่ไหม”
หญิงชราผมเงินแค่นเสียงเย็นชา
ซย่าเสี่ยวฉงส่ายหัวกล่าว “ข้าแค่ไม่อยากแต่งงาน แต่พวกท่านก็ยังทำเช่นนี้ ดังนั้นข้า… ข้าก็เลยออกไปผ่อนคลาย”
หญิงชราผมเงินกำลังจะพูดต่อ ชายหญิงกลุ่มหนึ่งก็พุ่งมาจากจุดที่ห่างออกไป ล้วนเป็นบุคคลสำคัญของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว
เมื่อเห็นซย่าเสี่ยวฉงก็ลอบเป่าปากโล่งอกอย่างอดไม่ได้
ช่วงก่อนหน้านี้พวกเขาเหล่าผู้อาวุโสได้จัดการเรื่องแต่งงานให้ซย่าเสี่ยวฉง หมั้นหมายนางกับผู้สืบทอดแกนหลักคนหนึ่งในสำนักโบราณอย่าง ‘สำนักกระบี่โผผิน’
ในแดนฐิติประจิมนี้ สำนักกระบี่โผผินเป็นสำนักที่เหมือนสิ่งใหญ่โตมหึมาแห่งหนึ่ง สามารถแต่งงานกับผู้สืบทอดแกนหลักคนหนึ่งของสำนักเช่นนี้ได้ เผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวของพวกเขาก็ได้รับการคุ้มครอง ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้
ไม่ว่าจะในมุมมองของใคร นี่ก็เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง
แต่ซย่าเสี่ยวฉงกลับปฏิเสธซะอย่างนั้น ทั้งยังแอบหนีไปโดยพลการด้วยเรื่องนี้ ทำให้ทุกคนในเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวบันดาลโทสะ ไม่รู้ว่าควรอธิบายเรื่องนี้กับสำนักกระบี่โผผินอย่างไร
ยังดีที่ซย่าเสี่ยวฉงกลับมาแล้ว
“ท่านน้าเก้า เสี่ยวฉงกลับมาแล้ว แน่นอนว่าต้องรู้ว่าตนผิด ท่านก็อย่าว่ากล่าวนางเลย”
“ถูกต้อง เรื่องเร่งด่วนคือเตรียมงานแต่งให้ซย่าเสี่ยวฉง ครั้งนี้พูดได้ว่านางสร้างคุณูปการใหญ่ให้เผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวของพวกเรา แน่นอนว่าต้องชื่นชม”
คนใหญ่คนโตพวกนั้นแย่งกันพูดจนฟังไม่ได้ศัพท์
ผู้หญิงบางคนถึงขั้นอิจฉาอยู่บ้าง นางเด็กโง่อย่างซย่าเสี่ยวฉงกลับถูกผู้สืบทอดแกนหลักคนหนึ่งของสำนักกระบี่โผผินหมายตา ฐานะในภายภาคหน้าคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
หรือว่านี่เป็นสิ่งที่เรียกว่าคนโง่ย่อมมีวาสนาของคนโง่
“เสี่ยวฉง เจ้าก็อย่าถือโทษโกรธน้าเก้าเลย พวกเราที่นี่ล้วนหวังดีกับเจ้า”
สีหน้าของหญิงชราผมเงินก็เปลี่ยนเป็นผ่อนคลายลง
ซย่าเสี่ยวฉงที่ก้มหน้าไม่พูดจามาตลอดเวลานี้กลับเงยหน้าขึ้น นัยน์ตากระจ่างเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา กล่าวเน้นทีละคำ
“พวกท่าน… พวกท่านหวังดีกับข้าเสียที่ไหน เห็นชัดว่าทำเพื่อตัวพวกท่านเอง พวกท่านต่างคิดว่าข้าโง่ แต่ข้าไม่ได้โง่ ข้าแค่ไม่อยากทะเลาะกับพวกท่าน”
“กลับมาครั้งนี้ก็แค่อยากบอกพวกท่านว่าข้าคิดดีแล้ว ข้ายอมตายดีกว่าแต่งงาน หากพวกท่านบีบบังคับข้าอีก… ข้า… ข้าจะไม่กลับมาอีกแล้ว!”
คำพูดพวกนี้ทำให้สีหน้าของคนใหญ่คนโตทั้งหมดรวมถึงหญิงชราผมเงินต่างอึมครึมลง
“ซย่าเสี่ยวฉง เจ้าบังอาจ!”
มีคนตวาดด้วยความโกรธ
“เหลวไหล! ในสายตาของเจ้ายังมีผู้อาวุโสอย่างพวกเราอยู่ไหม พวกเราหวังดีหมั้นหมายเจ้ากับเจ้าบ่าวคนหนึ่งที่น่าพึงใจ แต่เจ้ากลับเห็นว่าพวกเราไม่มีเจตนาดีรึ”
มีคนกล่าวเย็นชา
“เหลวแหลกเหมือนลิ่นเหวินจวินแม่ของเจ้าดังคาด ตอนที่นางยังอายุน้อยก็คัดค้านโดยไม่สนใจอะไร หนีตามชายเถื่อนคนหนึ่งที่แซ่ซย่าไป ตอนนี้เจ้า… คงไม่ใช่ว่ามีคนอื่นอยู่ข้างนอกนั่นเหมือนกันกระมัง”
มีคนพูดจาร้ายกาจ
เพียงพริบตาผู้คนก็ด่าว่ากล่าวหา คำตำหนิและเย้ยหยันมากมายมุ่งเป้าไปที่ซย่าเสี่ยวฉงคนเดียว
บนหน้าเล็กที่งดงามของซย่าเสี่ยวฉงเต็มไปด้วยคราบน้ำตา โกรธจนตัวสั่นไปหมด “พ่อของข้าไม่ใช่ชายเถื่อน! แม่ของข้าก็ไม่ได้เหลวแหลกเหมือนอย่างที่พวกท่านพูด!”
ทุกคนเพียงยิ้มหยัน
ซย่าเสี่ยวฉงรู้สึกเพียงหนาวสั่นไปทั้งตัว นี่… ก็คือญาติสนิททั้งหมดของนางหรือ
“วันนี้เป็นวันเกิดของข้า ปีนั้นแม่ของข้าเคยบอกว่าบิดาของข้าจะกลับมารับข้าในวันนี้”
ซย่าเสี่ยวฉงสูดหายใจลึก สะกดข่มความหดหู่และรวดร้าวในใจไว้ “ต่อจากนี้ไป ข้าจะไม่กลับมาอีกแล้ว!”
“บิดาของเจ้ารึ ฮึ หากชายเถื่อนคนนั้นจะมารับเจ้า ทำไมต้องรอถึงตอนนี้ด้วย”
มีคนเยาะหยัน
“เสี่ยวฉง ข้าว่าเจ้ายอมอยู่ที่นี่แต่โดยดีเถอะ”
ในดวงตาของหญิงชราผมเงินฉายแววเยียบเย็นทันที ยกมือจะไปจับไหล่ของซย่าเสี่ยวฉง
ซย่าเสี่ยวฉงเป็นคนสำคัญที่เผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวจะส่งไปแต่งงานกับสำนักกระบี่โผผิน พวกเขามีหรือจะทนให้ซย่าเสี่ยวฉงจากไปเช่นนี้
ซย่าเสี่ยวฉงอึ้งงันแล้ว นางคล้ายคิดไม่ถึงว่าเพื่อรั้งให้ตนอยู่ ญาติพี่น้องของตัวเองจะไร้น้ำใจและเย็นชาได้ถึงเพียงนี้!
เพียงแต่เวลาต่อมาหญิงชราผมเทาก็กรีดร้องโหยหวน คุกเข่าลงกับพื้นดังตึง
ขณะเดียวกันเงาร่างสูงตระหง่านร่างหนึ่งปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าซย่าเสี่ยวฉง เป็นหลินสวิน
“บังอาจ! เจ้าเป็นใครถึงได้กล้าบุกเข้ามา…”
มีคนบันดาลโทสะ แต่เพิ่งกล่าวไปได้ครึ่งหนึ่ง ร่างกายก็คุกเข่ากระแทกพื้นเหมือนถูกภูเขาเทพกดทับ ไม่อาจเงยหน้าขึ้นอีก
คนอื่นๆ ไม่มีใครไม่ขนลุกขนพอง เผยความตกตะลึงให้เห็น
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
คนผู้นี้เป็นใคร
“พวกเจ้าก็คุกเข่า” นัยน์ตาดำเยียบเย็นของหลินสวินกวาดมองทุกคน
เมื่อเขากวาดสายตาไป คนใหญ่คนโตของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวทุกคนในที่นั้น ไม่ว่าพลังปราณแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ล้วนไม่มีใครไม่คุกเข่าลงกับพื้นทีละคน
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เหลือแม้แต่หนทางให้ขัดขืน!
พวกเขาอ้าปากหมายจะตะโกนใส่ แต่กลับเปล่งเสียงไม่ออก
ส่วนหลินสวินก็คร้านจะใส่ใจพวกเขาแล้ว สายตามองไปยังซย่าเสี่ยวฉงที่น้ำตานองหน้า ในใจรู้สึกห่วงกังวลอย่างอดไม่อยู่กล่าว “เรียบร้อยแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว”
ซย่าเสี่ยวฉงเบิกตากว้าง กล่าวอย่างยากจะเชื่อ “พี่หลินสวิน ท่านไม่ได้… ไม่ได้จากไปแล้วหรือ”
หลินสวินลูบหัวเล็กๆ ของนางกล่าว “เด็กโง่ ตอนอยู่ที่ทะเลหมากดาราข้าก็ดูออกแล้วว่าเจ้ามีเรื่องในใจ เจ้าคิดว่าเจ้าฉลาดมากจนปิดบังคนอื่นได้หรือ”
ด้วยมองออกว่าซย่าเสี่ยวฉงมีเรื่องในใจ หลินสวินจึงออกเดินทางมาด้วยตัวเอง คุ้มกันเด็กสาวคนนี้กลับบ้านมาตลอดทาง
ทว่าแม้แต่หลินสวินก็คิดไม่ถึง ว่าเรื่องในใจของซย่าเสี่ยวฉงจะเกี่ยวข้องกับการเชื่อมสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานที่น่ารังเกียจ
ซย่าเสี่ยวฉงก้มหน้าละอายใจ “ข้า… ข้าแค่ไม่อยากให้พี่หลินสวินเป็นห่วง ทั้งเดิมทีข้ายังคิดว่าพวกเขาจะปล่อยข้าไป”
หลินสวินตบบ่าของซย่าเสี่ยวฉงกล่าว “ไปกับข้าเถอะ ที่นี่ไม่เหมาะจะให้เจ้าอยู่ต่ออีกแล้ว”
ซย่าเสี่ยวฉงส่ายหัวกล่าว “พี่หลินสวิน แม่ของข้าเคยบอกว่าวันนี้ท่านพ่อของข้าจะมารับข้า ตั้งแต่เด็กข้าก็เฝ้ารอว่าท่านพ่อจะมา ข้ายังอยากเห็นว่าท่านพ่อจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร”
“จริงรึ”
หลินสวินชะงัก
“แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องจริง”
เวลานี้เสียงที่ตอบกลับหลินสวินมีสองเสียง เสียงหนึ่งมาจากซย่าเสี่ยวฉง เด็กสาวตอบโดยไม่ลังเล
อีกเสียงหนึ่งกลับอบอุ่นจริงใจ อ่อนโยนดั่งสายลม
ที่มาพร้อมกับเสียงนั้นคือเงาร่างหนึ่งที่ปรากฏตัวกะทันหัน