นี่คือชายคนหนึ่งที่ร่างผอมบาง หน้าผากกว้าง โคนผมขาวดุจเกล็ดน้ำค้าง แววตาเจือประสบการณ์โชกโชนเสี้ยวหนึ่ง
เขาสวมชุดสีเขียวทั้งตัว ช่วงเอวคาดน้ำเต้าเปลือกเหลืองผลหนึ่ง ท่าทางงามสง่า มีกลิ่นอายที่ดูอิสระเปิดเผยอยู่รางๆ
นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัด
ยามผู้ชายคนนี้ปรากฏตัว เขาถึงกับไม่สังเกตเห็นอะไรเลย!
“เหมือน เหมือนมากจริงๆ…”
ทันทีที่มาถึง สายตาของชายคนนี้ก็เหลือบมองไปทางซย่าเสี่ยวฉง แววตาเหม่อลอย ปรากฏสีหน้าที่ดูซับซ้อนหาใดเปรียบ
ในหัวซย่าเสี่ยวฉงว่างเปล่าไปหมด
แม้ว่าจิตใจนางจะบริสุทธิ์แต่ก็ไม่ได้โง่ ตั้งแต่พริบตาแรกก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาทันที…
เขา… ก็คือบิดาของตนหรือ
“เสี่ยวฉง ขอโทษที่พ่อเพิ่งมาพบเจ้าวันนี้”
ชายคนนั้นเอ่ยปาก ในน้ำเสียงเจือความละอายใจและแหบพร่าอยู่บ้าง ในดวงตาที่แฝงประสบการณ์โชกโชนมีน้ำตาเอ่อคลอ
ซย่าเสี่ยวฉงกล่าวลังเล “ท่าน… เป็นบิดาของข้าจริงหรือ”
ในใจชายคนนี้พลันเจ็บปวด พยักหน้ากล่าว “ข้าซย่าสิงเลี่ยไม่มีทางจำเลือดเนื้อเชื้อไขของตนผิด เสี่ยวฉง ข้า…”
เขาดูตื่นเต้นหาใดเปรียบ แต่คล้ายสังเกตเห็นว่าไม่เหมาะ เหลือบมองหลินสวินวูบหนึ่ง
แค่มองปราดเดียวหลินสวินก็หนาวเยือกไปทั้งตัว ความรู้สึกอันตรายปรากฏอย่างเด่นชัดจากสัญชาตญาณ
“สหายน้อย ให้พวกเราสองพ่อลูกอยู่ตามลำพังครู่หนึ่งได้หรือไม่”
เสียงของชายชราดูอบอุ่นจริงใจ
ความอันตรายที่วนเวียนอยู่ในใจนั้นหายไปแล้ว หลินสวินเหลือบมองซย่าเสี่ยวฉงเล็กน้อยแล้วกล่าว “ข้าต้องการเหตุผล”
“เหตุผล?”
ชายชรารู้สึกผิดคาด จากนั้นก็กล่าวอย่างชื่นใจ “ดูออกเลยว่าเจ้ากำลังปกป้องเสี่ยวฉงอย่างจริงใจ ข้าไม่มีทางฝืนใจคนอื่นหรอก”
เขาพลันดีดนิ้ว หยกประดับทรงจันทร์เสี้ยวที่ไม่สมบูรณ์ชิ้นหนึ่งปรากฏออกมา
ซย่าเสี่ยวฉงส่งเสียงประหลาดใจคราหนึ่ง ก่อนหยิบหยกประดับชิ้นหนึ่งที่เหมือนถอดแบบกันออกมา กล่าวอย่างตื่นเต้น “แม่ของข้าบอกว่า ยามท่านพ่อมารับข้าจะนำหยกประดับอีกครึ่งหนึ่งออกมา ท่าน…”
นางเหมือนอยากยอมรับ แต่ก็ไม่กล้ายอมรับ
ในใจชายชราทั้งละอายใจและเจ็บปวดอีกครั้ง
หลินสวินเห็นดังนี้ก็ถอยออกมาเงียบๆ
…
นอกเขาบรรพตเขียว แสงอาทิตย์อัสดงใกล้ลับแผ่นฟ้า
หลินสวินนั่งอยู่บนหินก้อนหนึ่งอย่างเกียจคร้าน ร่ำสุราอยู่เพียงลำพัง เขานึกถึงหลินเหวินจิ้งและลั่วชิงสวินบิดามารดาของตนขึ้นมา
ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ซย่าสิงเลี่ยที่อยู่ในชุดเขียว โคนผมขาวดุจเกล็ดน้ำค้างปรากฏตัวอยู่ข้างกายหลินสวิน
“สหายน้อย ขอบคุณมาก”
ซย่าสิงเลี่ยกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “เสี่ยวฉงเล่าเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับเจ้าให้ข้าฟังแล้ว เมื่อครู่หากล่วงเกินไปขอเจ้าโปรดอภัย”
หลินสวินหยัดร่างขึ้น ส่ายศีรษะกล่าว “เป็นเรื่องที่ข้าต้องทำอยู่แล้ว เสี่ยวฉงได้เจอกับผู้อาวุโสก็เป็นเรื่องน่ายินดี”
พูดถึงตรงนี้เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงกล่าว “คนอื่นล่ะ”
“เจ้าหมายถึงญาติพวกนั้นของเสี่ยวฉงหรือ”
“ใช่”
ซย่าสิงเลี่ยกล่าวลอยๆ “พวกเขาทำผิด แน่นอนว่าต้องได้รับการลงโทษ”
“ลงโทษ?” นัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัด
“วางใจเถอะ ถึงอย่างไรคนพวกนั้นก็เป็นญาติของเสี่ยวฉง ข้าจะลงมือรุนแรงได้อย่างไร แค่ขังพวกเขาทั้งหมดไว้เท่านั้น ให้พวกเขาสำนึกผิดกันสักหน่อย”
เสียงของซย่าสิงเลี่ยดูอบอุ่นจริงใจ ยืนอยู่ใต้อาทิตย์อัสดง เงาร่างราวอาบไล้ด้วยแสงลึกลับชั้นหนึ่ง พาให้ผู้คนรู้สึกว่าไม่อาจมองตื้นลึกหนาบางออก
สายตาของเขามองมาที่หลินสวิน ราวกับมองเบื้องลึกของหลินสวินออกทั้งหมด “สหายน้อย ดินแดนรกร้างโบราณนี้ไม่เหมาะจะให้เจ้าอยู่ต่ออีกแล้ว หากเจ้ายินดี ข้าจะพาเจ้าไปด้วยกัน”
“ไปไหนหรือ”
“ทางเดินโบราณฟ้าดารา”
เดิมซย่าสิงเลี่ยคิดว่าหลินสวินจะต้องเผยความรู้สึกประหลาดใจและดีใจออกมาบางส่วน แต่ทุกอย่างนี้กลับไม่เกิดขึ้น
ชายหนุ่มที่ในสายตาเขาได้แต่มองเป็น ‘คนรุ่นหลัง’ คนนี้ดูนิ่งสงบและไม่สะทกสะท้านเป็นอย่างยิ่ง ความนิ่งสงบเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจแสร้งทำได้
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่หวังดี”
หลินสวินปฏิเสธแล้ว
ซย่าสิงเลี่ยชะงักไป คล้ายคิดไม่ถึงว่า ‘ความปรารถนาดี’ ที่ตนมอบให้จะถูกคนรุ่นหลังคนหนึ่งปฏิเสธ
ไม่นานเขาก็ยิ้มกล่าว “สหายน้อยเคยได้ยินเรื่อง ‘หกเรือนมรรคใหญ่’ มาก่อนไหม”
หลินสวินพยักหน้า แน่นอนว่าเขาเคยได้ยินมาก่อน ในเหล่ายอดขุมอำนาจใหญ่ที่มีชื่อเสียงที่สุดบนทางเดินโบราณฟ้าดารา ‘หกเรือนมรรคใหญ่’ และ ‘สิบเผ่านักรบใหญ่’ ถือว่ารุ่งเรืองและเลื่องชื่อที่สุด มีอำนาจสั่นสะเทือนทั่วธารดารา!
ซย่าสิงเลี่ยกล่าว “ข้าซย่าสิงเลี่ยจะไม่ถ่อมตัว หากสหายน้อยยินดี ข้าสามารถแนะนำสหายน้อยให้เข้าไปฝึกปราณในเรือนมรรคใดก็ย่อมได้”
หลินสวินใจกระตุกวูบ
เขาสรุปได้ชัดยิ่งกว่าเดิม บิดาของซย่าเสี่ยวฉง ต้องเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งที่ยิ่งใหญ่บนทางเดินโบราณฟ้าดาราอย่างแน่นอน!
“ขออภัย ความหวังดีของผู้อาวุโส ผู้น้อยน้อมรับด้วยใจแล้ว”
หลินสวินยังคงปฏิเสธ เขาไม่เคยขาดมรดก ไม่อย่างนั้นตอนแรกที่เผชิญหน้ากับพลังเจตจำนงเสี้ยวนั้นของเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ เขาคงไม่มีปฏิกิริยาเช่นนั้น
ซย่าสิงเลี่ยขมวดคิ้วมุ่น อดมองหลินสวินอีกครั้งไม่ได้ ครู่ใหญ่ก็ยิ้มเยาะตนเองอย่างอดไม่อยู่ ส่ายศีรษะเล็กน้อย
หลินสวินประสานมือกล่าว “ผู้อาวุโส หากท่านจะขอบคุณข้าแทนเสี่ยวฉงก็ยิ่งไม่จำเป็น ข้ามองเสี่ยวฉงเป็นน้องสาว เป็นธุระทำเรื่องบางอย่างแทนนาง ล้วนไม่เคยหวังสิ่งตอบแทนอะไร”
ซย่าสิงเลี่ยยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ พยักหน้ากล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว ก่อนหน้านี้เป็นข้าที่คิดไม่รอบคอบ แต่ยันต์อักษรแผ่นนี้เจ้าจำเป็นต้องรับไว้ มิฉะนั้นภายหน้าเสี่ยวฉงต้องตำหนิข้าผู้เป็นบิดาคนนี้แน่”
เขาพลิกฝ่ามือ ยันต์อักษรเขียวขจีสดใหม่แผ่นหนึ่งปรากฏออกมา รูปร่างคล้ายกับม้วนไม้ไผ่
หลินสวินคิดไปคิดมาก็รับยันต์อักษรไว้แล้วกล่าว “เช่นนั้นข้าก็ไม่อาจขัดศรัทธาแล้ว”
ซย่าสิงเลี่ยค่อยหัวเราะขึ้นมาอย่างเบิกบานใจ หยิบน้ำเต้าสุราเปลือกเหลืองที่อยู่ข้างเอวมายกดื่มคราหนึ่ง ก่อนขยับปากกล่าว “สะใจ! วันนี้เป็นวันที่ข้าซย่าสิงเลี่ยมีความสุขที่สุด สหายน้อย พวกเราก็จากกันแต่เพียงเท่านี้ ภายหน้าขอแค่เจ้าไปที่ทางเดินโบราณฟ้าดารา พวกเราต้องมีวาสนาได้เจอกันอีกแน่นอน”
พูดจบเงาร่างเขาก็แหวกทะลวง พุ่งขึ้นไปบนนภาคราม
พริบตานี้กฎระเบียบฟ้าดินพลันเปลี่ยนเป็นคลั่งระห่ำ คล้ายไม่อาจยอมรับเงาร่างที่หมายจะทลายอากาศพุ่งขึ้นไปนั้น
ตูม!
ซย่าสิงเลี่ยหัวเราะเสียงดัง ก้าวเท้าออกไป บนเวิ้งฟ้านั่นถูกเหยียบเป็นรูโหว่มหึมารูหนึ่ง!
หลินสวินสูดหายใจเย็นเยียบ
บิดาของซย่าเสี่ยวฉงไม่ทรงพลังเกินไปหน่อยหรือ
อะไรที่เรียกว่าจ้วงทลายฟ้า
ก็นี่อย่างไร!
เกือบจะเวลาเดียวกัน ภูเขาเทพอมตะที่อยู่ห่างออกไปหลายหมื่นลี้ ภูเขาเทพที่ถูกผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนยกย่องเป็นแดนฝึกปราณศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้ พังทลายดังสนั่นไปซีกหนึ่ง
สำนักกระบี่โผผินที่ครองอาณาเขตอยู่บนภูเขาเทพต่างถูกทำให้สั่นสะเทือน ไม่มีใครไม่ตื่นตระหนก
ผู้สืบทอดแกนหลักคนหนึ่งที่กำลังฝึกปราณอยู่ในสำนักกระบี่โผผิน ตายคาที่อย่างไร้สุ้มเสียง
บนตัวเขามีเลือดแดงสดหลั่งรินออกมา ไหลมารวมกันบนพื้น กลายเป็นตัวอักษรใหญ่ที่เลือดชโลมแถวหนึ่ง…
โทษตายยากหนีพ้น!
ห่างออกไปหมื่นลี้ ขณะพูดคุยสนุกสนานสามารถฆ่าคนทิ้งอักษร วิธีการนี้เหมือนเทพในคำเล่าลืออย่างไร้ข้อกังขา!
…
ซย่าสิงเลี่ยไปแล้ว มองกฎระเบียบของดินแดนรกร้างโบราณราวสิ่งไร้ค่า ก้าวแหวกผืนฟ้า ลอยล่องจากไป
คนที่ไปพร้อมกับเขายังมีซย่าเสี่ยวฉง รวมถึงคนในเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียวทั้งหมดที่ถูกขังไว้
กระทั่งกฎระเบียบฟ้าดินกลับสู่ความสงบ ความรู้สึกที่สั่นสะเทือนขึ้นลงในใจหลินสวินจึงค่อยๆ สงบลง
เขาเปิดยันต์อักษรที่เหมือนม้วนไม้ไผ่เขียวขจีในมือมาดู ด้านบนมีอักษรมรรคที่เปี่ยมพลังหนักแน่นงดงามตัวหนึ่งเขียนว่า…
ซย่า!
คำเดียวแต่เหมือนระดับจักรพรรดิมาเยือนเก้าชั้นฟ้า ในความรางเลือนมีเจตจำนงที่ทำให้จักรวาลสั่นสะเทือน ผงาดกร้าวทั่วทิศ
นัยน์ตาดำของหลินสวินล้ำลึก สีหน้าดูแปลกออกไป ในสมองมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ บิดาของซย่าเสี่ยวฉง… อย่างน้อยก็น่าจะเป็นตัวตนระดับจักรพรรดิคนหนึ่ง!
พอคิดถึงว่าเมื่อครู่ตนถึงกับปฏิเสธความปรารถนาดีของคนที่คล้ายจักรพรรดิคนหนึ่งไปติดต่อกัน หลินสวินก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ใครเล่าจะคาดคิด เด็กสาวที่ใสซื่อไร้เดียงสาคนหนึ่งอย่างซย่าเสี่ยวฉง ถึงกับมีบิดาเป็นคนที่ทรงพลังเช่นนี้
“ไม่แปลกที่เขาจะพูดว่าให้ข้าเลือกหกเรือนมรรคใหญ่ได้ตามสะดวก… ที่แท้ก็ไม่ได้คุยโว หากแต่มีคุณสมบัติให้พูดเช่นนั้นจริงๆ…”
หลินสวินทอดถอนใจ
…
บนท้องฟ้า ในห้วงอากาศที่หมู่ดาวกว้างใหญ่ไพศาลไร้สิ้นสุดแห่งหนึ่ง ดวงดาวมากมายส่องแสงระยับหมุนวนอยู่ภายใน
ฮูม…
เงาร่างของซย่าสิงเลี่ยปรากฏ เขาก้าวย่างอย่างมั่นคง เดินเล่นบนธารดารา กลิ่นอายทั่วร่างเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกหนแห่งที่ก้าวผ่าน ธารดาราสั่นสะเทือน ห้วงอากาศส่งเสียงกัมปนาท
ถึงตอนท้ายเงาร่างเขาก็ราวกับนายเหนือหัวที่สูงส่ง พลังเจตจำนงที่น่าหวาดกลัวไร้สิ้นสุดนั้นเข้าปกคลุมธารดาราแถบนั้นจนสิ้น
“คารวะใต้เท้า!”
“คารวะใต้เท้า!”
บนฟ้าดารา มีเสียงเลื่อมใส ฮึกเหิม นอบน้อมหาใดเปรียบเสียงแล้วเสียงเล่าดังขึ้น
ราวกับว่ามีเงามายาคล้ายเทพมารมากมายปรากฏอยู่ในห้วงอากาศรางๆ กำลังก้มหัวยอมสวามิภักดิ์ต่อซย่าสิงเลี่ย
“สั่งการลงไป หลังจากนี้ร้อยวัน ข้าจะเชิญทุกคนในใต้หล้าร่วมงานเลี้ยงแสดงความยินดีที่เราพ่อลูกได้เจอกันที่ ‘ตำหนักมหามรรคเก้าฟ้า’”
ซย่าสิงเลี่ยกล่าวเสียงดัง สั่นสะเทือนรุนแรง กระหึ่มไปทั่วทิศ
“ขอรับ!”
“ขอรับ!”
ไม่นานก็มีเสียงมากมายขานรับคำสั่งและจากไป หายไปในห้วงอากาศไร้ขอบเขต
ซย่าสิงเลี่ยหันมาคุยกับซย่าเสี่ยวฉง “เสี่ยวฉง ก่อนหน้านี้พ่อต้องขอโทษเจ้าด้วย แต่นับจากนี้ไปพ่อจะทำให้เจ้ากลายเป็นดวงดาวที่เจิดจรัสที่สุดบนฟ้าดารานี้!”
“ท่านพ่อ ข้าไม่อยากเป็นดวงดาว”
เสียงของซย่าเสี่ยวฉงชัดกระจ่างไร้เดียงสา
ซย่าสิงเลี่ยชะงักงันไปครู่หนึ่ง หัวเราะลั่นอย่างอดไม่ได้ พยักหน้ากล่าว “ได้ๆๆ เจ้าอยากทำอะไรก็ย่อมได้ ถึงอย่างไรพ่อก็จะฟังเจ้าทุกอย่าง”
ซย่าเสี่ยวฉงดีใจกล่าว “ท่านพ่อ ถ้าภายหน้าข้าอยากไปเล่นกับพี่หลินสวิน ท่านจะห้ามข้าไหม”
ซย่าสิงเลี่ยรู้สึกยุ่งยากขึ้นมาชั่วขณะ พวกเราพ่อลูกได้เจอกันเป็นเรื่องที่น่ายินดีชื่นมื่นเพียงใด แต่ลูกสาวของตนนี่อย่างไร ยังมัวแต่ยึดติดคิดจะไปเล่นกับเจ้าหนุ่มนั่น!
“แน่นอนว่าไม่ห้าม”
ซย่าสิงเลี่ยคิดไปคิดมาจึงกล่าว
ในใจเขาเริ่มใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว ต่อไปต้องทำดีกับบุตรสาวร้อยเท่าพันเท่า ต้องทำให้นางรู้ว่าบิดาเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในใต้หล้า!
“เช่นนั้นก็ดี”
ซย่าเสี่ยวฉงยิ้มร่าเริงขึ้นมา บนใบหน้าเล็กไร้เดียงสาเต็มไปด้วยรอยยิ้มเจิดจ้า เหมือนเริ่มมุ่งหวังที่จะได้เจอหลินสวินครั้งต่อไปแล้ว
นี่ทำให้ซย่าสิงเลี่ยอดหวงอยู่บ้างไม่ได้ เจ้าหนุ่มนั่นเป็นแค่มกุฎมหาอริยะคนหนึ่งเท่านั้น จะยอดเยี่ยมไปกว่าบิดาได้อย่างไร
ในทางเดินโบราณฟ้าดารานี้ หากให้สหายเก่าพวกนั้นรู้เข้า ว่าในใจของบุตรสาวสถานะของเขาซย่าสิงเลี่ยเทียบกับเจ้าหนุ่มคนหนึ่งไม่ได้ เกรงว่าคงได้ถูกขำตายแน่นอน!
เงาร่างของซย่าสิงเลี่ยยิ่งเดินยิ่งห่างออกไป หายไปในฟ้าดารากว้างใหญ่
ทุกหนแห่งที่เขาก้าวผ่าน มีสัตว์ประหลาดเฒ่าไม่รู้เท่าไรถูกทำให้ตกใจ มองส่ง ‘จักรพรรดิกระบี่ยอดมาร’ ที่เกริกก้องบนฟ้าดาราคนนี้วางมาดเดินผ่านหน้าประตูบ้านตนไปอย่างกริ่งเกรง
…
ผ่านไปหนึ่งเดือน
บนทะเลหมากดารา หลินสวินที่กำลังนั่งสมาธิคล้ายสังเกตเห็นอะไรบางอย่างจึงลืมตาขึ้น
เกือบจะเวลาเดียวกัน พร้อมๆ กับละอองแสงที่งามตระการ อาหูในชุดกระโปรงเหลืองงดงามดั่งเซียนลอยล่องมากลางอากาศ
“พี่หลิน ทางเข้าของแหล่งสถานคุนหลุนใกล้จะปรากฏแล้ว”
อาหูยิ้มกล่าว ใบหน้างดงามประณีต ผิวขาวกระจ่างยิ่งกว่าหิมะ โดดเด่นยากจับต้อง แม้แต่น้ำเสียงยังไพเราะดุจเสียงจากธรรมชาติ
……