เพียงชั่วพริบตา กระแสปราณกระบี่ที่ประหนึ่งมหาสมุทรก็ท่วมเงาร่างของลู่อ๋างจมมิด
พรวดๆๆ!
เลือดเนื้อทั่วร่างเขาประหนึ่งพบเจอกับการแล่เนื้อเถือหนัง ถูกปราณกระบี่แน่นขนัดตัดเฉือน แม้แต่พลังจิตยังไม่อาจหลบหนี ถูกปราณกระบี่พร่างพราวดับสังหาร
และพร้อมกับปราณกระบี่เดือดพล่านแผ่กว้าง ผู้แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งละแวกใกล้เคียงต่างหน้าเปลี่ยนสี ใช้วิชาทั้งหมดต้านทานเบี่ยงหลบถึงไม่โดนลูกหลง
ตูมโครม!
ห้วงอากาศแถบนี้ล้วนปรากฏภาพทำลายล้างครั้งใหญ่
นี่ก็คือกระบี่สามสิบสามชั้น!
หลังผ่านการเสริมทัพของขวดมหามรรคไร้ขอบเขต อานุภาพของมันเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่า ความน่าสะพรึงของพลังโจมตีระดับนั้น อย่าว่าแต่ลู่อ๋าง เปลี่ยนเป็นมกุฎมหาอริยะคนใดก็ตามในที่นี้ ก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเช่นเดียวกัน
ในที่นั้นเงียบกริบ
ขณะนี้ผู้แข็งแกร่งที่ปิดล้อมโจมตีหลินสวินเหล่านั้นต่างถูกทำให้ตกใจ สภาวะจิตสะท้านสะเทือน
ลู่อ๋าง ทายาทเลือดบริสุทธิ์ของเผ่านักรบกิเลนโลหิตคนหนึ่ง ถูกสังหารในชั่วอึดใจ ภาพเหตุการณ์นองเลือดระดับนั้นใครบ้างจะไม่ตกใจ
ผู้ชมการต่อสู้ที่อยู่ไกลๆ ต่างก็สูดหายใจหนาวเยือก กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
เดิมพวกเขาคิดว่าหลินสวินแพ้แน่แล้ว สถานการณ์เลวร้าย แต่พริบตาเดียวหลินสวินก็พลิกฟ้าด้วยมือเดียว เปลี่ยนสถานการณ์สังหารศัตรู!
อาหูถอนหายใจโล่งอกในใจ ลอบกล่าวว่า “ข้าลืมไปเสียได้ ในมือเจ้าหมอนี่มีไพ่ตายไม่น้อยเลย…”
พอลู่อ๋างตาย สถานการณ์ที่เดิมทีล้อมปิดเอาไว้พลันเปิดออกเป็นทางสายหนึ่ง หลินสวินคว้าโอกาสนี้เคลื่อนย้ายตัว หมายจะหนีออกจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่
ฟุ่บ!
แต่กลับมีปราณกระบี่สายหนึ่งโผล่ขึ้นมาปุบปับ ขวางเส้นทางเบื้องหน้าหลินสวิน ปราณกระบี่พาดขวางดุจรุ้งเทพกลางเวิ้งฟ้า งดงามราวภาพลวงตา
ยังคงเป็นเหวินฉิงเสวี่ย
ผู้หญิงที่งามพิสุทธิ์ดุจเทพธิดาคนนี้มีลางสังหรณ์น่ากลัวและสภาพจิตใจที่เยือกเย็นดุจหิมะถึงที่สุด ปฏิกิริยาตอบสนองก็ว่องไวเหนือคนทั่วไปหลายโข
เสียงปึงดังคราหนึ่ง หลินสวินปะทะกับมันอย่างจัง ทุบทำลายปราณกระบี่สายนี้ให้แตกออก
แต่ถูกขัดขวางครั้งนี้ทำให้เขาพลาดโอกาสหนีออกจากวงล้อม และถูกคนอื่นๆ ปิดล้อมโจมตีอีกครั้ง
แววตาหลินสวินยิ่งเยียบเย็นขึ้นเรื่อยๆ
ครั้งก่อนตอนสู้กับเว่ยจื่อหยาและคุนจิ่วหลิน ก็เป็นผู้หญิงคนนี้ยื่นมือเข้าแทรก ทำให้คุนจิ่วหลินเก็บชีวิตน้อยๆ รอดกลับไปได้
ครั้งนี้นางก็ขัดขวางตนไม่เลิก นี่ทำให้ในใจหลินสวินมีไอสังหารเข้มข้นพวยพุ่งขึ้นมา
บางทีในสายตาคนอื่น ผู้หญิงคนนี้อาจเป็นเทพธิดาที่ดุจดั่งจันทร์สว่างบนฟากฟ้า งามตระการบนทางเดินโบราณฟ้าดารา ถูกผู้กล้าโดดเด่นมากมายแย่งกันพะเน้าพะนอเหมือนฝูงเป็ด
แต่สำหรับหลินสวินแล้ว ผู้หญิงคนนี้คือศัตรู
ในเมื่อเป็นศัตรูก็ไม่แบ่งชายหญิงแล้ว แบ่งแค่เป็นหรือตาย!
ตูมโครม…
ในช่วงเวลาถัดมาการต่อสู้เริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ คนอื่นๆ ในที่นี้ที่ได้เห็นการตายของลู่อ๋างต่างไม่กล้าประมาทอีกแม้แต่น้อย แต่ละคนสีหน้าเคร่งขรึม มองว่าหลินสวินเป็นศัตรูตัวฉกาจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องแพ้ชนะ แค่อานุภาพที่หลินสวินสำแดงออกมาในการต่อสู้ครั้งนี้ หากแพร่กลับไปยังทางเดินโบราณฟ้าดารา จะต้องชักนำให้คลื่นลมใหญ่โหมกระหน่ำ สะเทือนทั่วสี่ทิศอย่างแน่นอน!
ถึงอย่างไรภายใต้สถานการณ์ที่ถูกปิดล้อม กลับยังสามารถต่อสู้กับบุคคลชั้นเลิศที่ติดอันดับบนกระดานมหาอริยะฟ้าดาราคนแล้วคนเล่าจนถึงตอนนี้ได้ ก็เรียกได้ว่าสะเทือนอดีตสะท้านปัจจุบัน หาตัวจับยากถึงที่สุดแล้ว
‘ถึงแม้คัมภีร์มหากลืนกินไร้สิ้นสุดนี่จะแข็งแกร่ง แต่ท้ายที่สุดความเข้าใจที่มีก็ยังตื้นเขิน ไม่สามารถผสานเข้ากับมรรควิถีของข้าอย่างสมบูรณ์…’
ในใจหลินสวินตระหนักได้
ต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ปลดปล่อยพลังแห่งตนเต็มจำกัด ทำให้เขารับรู้ได้ว่า วิชาของผู้อื่นสุดท้ายก็เป็นวิชาของผู้อื่น ต่อให้เหมาะกับตนมากเพียงใด แต่สุดท้ายก็เทียบวิชาที่ตนรังสรรค์ขึ้นมาเอง ซึ่งสามารถสำแดงศักยภาพแฝงทั้งหมดของตนออกมาได้อย่างหมดจดไม่ได้
ตูม!
คิดถึงตรงนี้อานุภาพรอบกายหลินสวินพลันเปลี่ยนไปทันที
หากบอกว่าเขาก่อนหน้านี้เหมือนเหวใหญ่เคลื่อนขวางกลางฟ้าดิน กลืนกินทุกอย่าง เผด็จการไร้สิ้นสุด
เช่นนั้นเขาในตอนนี้ก็เสมือนกลายเป็นเตาหลอมหนึ่งเดียวกลางฟ้าดิน มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ตราบนิรันดร์ไม่เสื่อมสูญ มีอานุภาพที่บรรจุหมื่นกาล สำแดงวิชาในโลกหล้า
นี่ก็คือคัมภีร์เตาหลอมมหามรรค!
เป็นวิชาแห่งตนที่หลินสวินรังสรรค์ขึ้น บรรจุมรรควิถีและวิชามรรคทั้งหมดของหลินสวิน!
“เขาเปลี่ยนไปแล้ว!”
พวกเถาเจี้ยนสิง เหวินฉิงเสวี่ยต่างยากจะเชื่ออยู่บ้าง
หรือว่านี่ต่างหากที่เป็นรากฐานพลังแท้จริงของเจ้าหมอนี่
นี่ออกจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
และขณะนี้สภาวะจิตหลินสวินผ่องแผ้ว ในที่สุดเขาก็รับรู้ถึงนัยอัศจรรย์เร้นลับของการหลอมปราณ หลอมกาย หลอมจิต ไตรมรรครวมเป็นหนึ่ง ก่อเกิดหนึ่งเดียวอันสัมบูรณ์
แม้แต่หุบเหวกลืนกิน พลังพรสวรรค์ของตนก็ยังหลอมรวมเข้ากับวิชาแห่งตนอย่างคุ้นเคย ทำให้พลังต่อสู้ของเขาได้รับการปลดปล่อยอย่างแท้จริง
ตูม!
ตอนที่เขาลงมือดุจดั่งเซียนร่ายยุทธ์ ดรรชนีมหาอุดมสลายมายา หนึ่งกระบวนวัฏจักรฟ้า หนึ่งหมัดสะเทือนสวรรค์ คัมภีร์กระบี่ไท่เสวียน มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร…
นัยเร้นลับนานัปการ ไม่มีวิชาใดไม่ถูกเขาใช้จนคล่องมือ ได้รับการปลดปล่อยในคัมภีร์เตาหลอมมหามรรคอย่างไม่เป็นเคยมาก่อน
พรวด!
ไม่ทันไรมีคนรับไม่ไหว ถูกหนึ่งดรรชนีของหลินสวินซัดใส่ร่าง เกราะที่ปิดครอบร่างกายแตกพังเป็นรู ซัดสะเทือนจนคนผู้นั้นปากจมูกกระอักเลือด ส่งเสียงร้องอู้อี้ออกมา
นี่ทำให้คนมากมายใจสะท้าน
ใครจะกล้าเชื่อ หลินสวินที่อยู่ภายใต้วงล้อม ไม่เพียงไม่ถูกกดข่ม ตรงข้ามกลับเริ่มเป็นผ่ายพลิกสถานการณ์
ทุกคนที่ชมการต่อสู้อยู่ไกลๆ ต่างมีสีหน้าตกตะลึงราวเห็นทวยเทพ
บางทีอาจเป็นเพราะที่ผ่านมาไม่เคยได้ยินชื่อของหลินสวินมาก่อน ถึงได้ทำให้เวลานี้พวกเขารู้สึกสะท้านสะเทือนเป็นพิเศษ
เนตรงามของอาหูวาววาบ ในที่สุดนางก็กล้าฟันธง พลังต่อสู้ที่หลินสวินสำแดงออกมาในตอนนี้ต่างหากที่เป็นรากฐานพลังแท้จริงของเขา!
ปึง!
ไม่ทันไรดาบหักม้วนตลบ ฟันทวนศึกเล่มหนึ่งแตกพัง
คนที่ถือทวนอยู่เป็นชายชุดคลุมทองรูปร่างสูงใหญ่กำยำยิ่งคนหนึ่ง เจอการโจมตีระดับนี้เข้าไป ข้อมือเขาล้วนถูกซัดขาดสะบั้น ส่งเสียงร้องอนาถออกมา
หากไม่ใช่เพราะเขาหลบได้ทันเวลา การโจมตีนี้ล้วนสามารถเอาชีวิตเขาได้!
“หากทุกท่านยังไม่งัดไพ่ตายออกมาใช้อีก เจ้านี่ก็จะพลิกสถานการณ์ได้แล้ว!”
เถาเจี้ยนสิงตะโกนลั่นด้วยสีหน้าคล้ำเขียว
น้ำเสียงยังไม่ทันสิ้นสุด เขาก็ชิงเรียกระฆังทองแดงสีเขียวใบหนึ่งออกมาก่อน กวัดแกว่งเบาๆ อยู่กลางห้วงอากาศ
กึง!
เสียงระฆังกึกก้องกัมปนาทสายหนึ่งดังขึ้น กลายเป็นคลื่นเสียงสีเขียวที่ราวกับสัมผัสได้พุ่งเข้าใส่หลินสวิน
ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือ ในคลื่นเสียงสีเขียวนั่นถึงกับปรากฏอักษรมรรคโบราณราวไส้เดือนเป็นแถวๆ ส่องแสงเรืองรอง กลิ่นอายน่าพรั่นพรึงจนทำให้ผู้คนใจสะท้าน
ระฆังเทพนักรบหยกเขียว!
สมบัติเก่าแก่ชิ้นหนึ่งของเผ่านักรบเถาอู้ เคยมีบุคคลระดับจักรพรรดิใช้สมบัติชิ้นนี้ สั่นเบาๆ คราหนึ่ง บริเวณที่เสียงระฆังแผ่ไป ภูผาธาราหมื่นชีวิต สิ่งมีชีวิตทั่วฟ้าดินล้วนดับสลายเป็นหมอกควัน
ครู่เดียวจิตวิญญาณของหลินสวินก็ถูกจู่โจม เบื้องหน้าปรากฏดาวสีทอง เขาอดเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมาไม่ได้ เรียกเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดออกมาโดยไม่ลังเล
วู้ม…
ตัวเจดีย์ที่ดุจดั่งหล่อขึ้นจากกระจกแก้วทองเทพ สาดพรมแสงมรรคทองนิลกาฬสายแล้วสายเล่าออกมา ปะทะเข้ากับคลื่นเสียงสีเขียว
ท่ามกลางเสียงก้องกระหึ่มประหนึ่งสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ระฆังเทพนักรบหยกเขียวสั่นไหวรุนแรง ส่งเสียงร้องครวญ
ส่วนเถาเจี้ยนสิงก็ถูกสะท้อนกลับ กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำหนักๆ สีหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยแววไม่อยากเชื่อ
อานุภาพของระฆังเทพนักรบหยกเขียวน่าสะพรึงปานใด แต่กลับถูกกดข่มอย่างสิ้นเชิงแล้ว!
คนอื่นๆ ในที่นี้ต่างก็หน้าเปลี่ยนสี
“เป็นเจดีย์องค์นั้น!”
ไกลออกไปจีเฉียนและเจียงเหิงที่เพิ่งมาถึงเมื่อครู่จำเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดในมือของหลินสวินได้ทันที
“เป็นเจดีย์องค์นั้นจริงๆ หรือ”
ข้างกายทั้งสองคน แววตาของเมิ่งอี้ทายาทเผ่านักรบฉงฉีที่ดูสุภาพหล่อเหลาฉายแววแปลกไป ก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ในสนามรบหลินสวินโจมตีคล่องมือ เดิมตั้งท่าจะไล่โจมตีและสังหารเถาเจี้ยนสิงในคราวเดียว แต่ยามนี้เองจู่ๆ ในหัวใจเขาก็ผุดไอเย็นวาบขึ้นมาวูบหนึ่ง
สวบ!
เงาร่างของเขาเคลื่อนย้ายถอยกรูดอย่างแทบจะเป็นไปตามสัญชาตญาณ
ขณะเดียวกันห้วงอากาศตรงที่เขาเคยยืนอยู่ เงาร่างผอมแห้งที่ถูกพยับหมอกสีเทาปิดครอบสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้น กำดาบเงินที่ทอประกายแปลกพิสดารเล่มหนึ่ง
ซาหลิวชิง!
พริบตาเดียวหลินสวินก็จำชายหนุ่มผอมแห้งคนนี้ได้
“เจ้าทำให้ข้ารู้สึกเหนือคาดอีกครั้งแล้ว”
เสียงซาหลิวชิงเจือแววแปลกใจ
กลิ่นอายของเขาคลุมเครือพิศวง ปรากฏตัวในที่นั้นอย่างไร้สุ้มเสียง ทำเอาหัวใจของพวกเถาเจี้ยนสิงกระตุกรุนแรง รับรู้ถึงอันตรายยิ่งยวดอย่างหนึ่ง
“ความต่ำช้าของเจ้าก็ทำให้ข้าเหนือคาดเช่นเดียวกัน”
หลินสวินแค่นเสียงเย็น
“งั้นรึ น่าเสียดายครั้งนี้เจ้าหนีไม่รอดแล้ว”
ซาหลิวชิงเลียริมฝีปาก รอยยิ้มเย็นเยียบ
ขณะสนทนาเงาร่างเขาพลันหายไป ครู่เดียวก็มาปรากฏอยู่ข้างหน้าหลินสวิน ดาบเงินในมือแทงไปทางลำคอของหลินสวิน ความเร็วว่องไว การเคลื่อนไหวชวนพิศวง เหนือความคาดหมายของทุกคน
หลินสวินใช้กระบี่อเวจีในมือต้านไว้ แต่ที่น่าแปลกคือเงาร่างซาหลิวชิงขยับไหวหายวับไปอีกครั้ง ไม่สามารถจับกลิ่นอายของเขาได้สักนิด
หลินสวินเบี่ยงตัวทันควัน
ฟุ่บ!
แสงเงินสายหนึ่งปรากฏวาบ กรีดกระชากห้วงอากาศบริเวณที่หลินสวินยืนอยู่
หรือกล่าวได้ว่าเมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะหลินสวินหลบทัน การโจมตีครั้งนี้สามารถฟันผ่าเขาให้ขาดเป็นสองท่อนได้!
ส่วนเงาร่างของซาหลิวชิงก็อันตรธานหายไปอีกครั้ง
วิชาลับการต่อสู้ที่มาไร้เงาไปไร้ร่องรอยระดับนี้ ทำเอาคนอื่นๆ ในที่นี้ต่างสูดหายใจหนาวเยือก
ตูม โครม!
หลินสวินโคจรพลังทั้งหมด ร่างแปลงเป็นเตาหลอมมหามรรค อานุภาพแผ่กว้างสิบทิศ
“ฮ่าๆ ต้านไม่อยู่หรอก”
เสียงเย็นยะเยือกของซาหลิวชิงดังก้องขึ้น รางเลือนไม่นิ่ง
ส่วนเงาร่างของเขาก็ปรากฏตัวอยู่ด้านหลังหลินสวินอย่างไร้สุ้มเสียงอีกครั้ง ดาบเงินในมือแทงสังหารออกไป
นี่เห็นได้ชัดว่าพิศวงอย่างยิ่ง!
ควรรู้ว่าอานุภาพของหลินสวินแผ่กว้าง รอบกายล้วนเต็มไปด้วยพลังของเขา แต่ซาหลิวชิงกลับไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย
ไม่ว่าใครพบกับคู่ต่อสู้เช่นนี้ เกรงว่าในใจล้วนเกิดความสะพรึงกลัว ไม่อาจต้านทานได้อย่างสิ้นเชิง
สวบ!
ด้วยประสบการณ์และสัญชาตญาณที่กรำศึกมานานปี เงาร่างหลินสวินเบี่ยงหลบอีกครั้ง หลบการโจมตีนี้ได้อย่างหวุดหวิด เพียงแต่สีหน้าเปลี่ยนเป็นมืดทะมึนลงไม่น้อย
วิชาต่อสู้ที่น่าพิศวงระดับนี้ เขาก็เพิ่งเคยพบเห็นเป็นครั้งแรกเช่นกัน
“ทุกท่านยังไม่ลงมืออีกหรือ”
เสียงของซาหลิวชิงดังก้องขึ้นในที่นั้น
“ฆ่า!”
แววตาของพวกเถาเจี้ยนสิงลุกโชน ลงมือโดยไม่ลังเล ไม่ว่าซาหลิวชิงเป็นใคร แต่อย่างน้อยก็เหมือนกับพวกเขา มีเป้าหมายคือการฆ่าหลินสวิน
“คนผู้นี้อยู่ในอันตรายแล้ว”
ไกลออกไปเมิ่งอี้ที่เงาร่างสุภาพเอ่ยปาก
“พวกเราก็ควรลงมือแล้วใช่หรือไม่”
จีเฉียนชักจะกลั้นไม่อยู่ เขาไม่อาจปล่อยให้สมบัติในตัวหลินสวินถูกคนอื่นเอาไปได้เด็ดขาด
เมิ่งอี้เพิ่งตั้งท่าจะพูดอะไร จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมองขวับ
สวบ!
ก็เห็นรุ้งวิเศษสายหนึ่งพลันเหินทะยานกลางฟ้า พุ่งเข้ากลางวงต่อสู้ และกลายเป็นหญิงสาวกระโปรงเหลืองคนหนึ่ง
เป็นอาหูนั่นเอง!
นางมาถึงข้างกายหลินสวินก็สื่อจิตกล่าว ‘ไป!’
ตูม!
เกือบจะในเวลาเดียวกัน มือเรียวของนางโบกสะบัด ยันต์สีดำแผ่นหนึ่งระเบิดกลางอากาศ หมอกสีดำพุ่งออกมาเต็มฟ้า กลบฟ้าดินแถบนั้นจนมิด
อย่าว่าแต่สายตา แม้แต่จิตรับรู้ก็ยังถูกขัดขวาง มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
พวกเหวินฉิงเสวี่ย เถาเจี้ยนสิงที่อยู่กลางพยับหมอกสีดำเหมือนตกสู่ความมืดมิด ดุจดั่งถูกตัดขาดจากโลก สูญเสียจิตรับรู้และประสาทสัมผัสทั้งหมดโดยสิ้นเชิง
นี่ทำให้พวกเขาหน้าเปลี่ยนสี ระวังตัวสุดฤทธิ์ เริ่มเตรียมป้องกันขึ้นมา
และตอนที่พยับหมอกสีดำเต็มฟ้านั่นสลายตัว ในที่นั้นก็ไม่มีเงาร่างของหลินสวินและอาหูแล้ว แม้แต่ร่องรอยสักเสี้ยวก็ไม่มีเหลือ ดุจดั่งระเหยไปกับอากาศอย่างไรอย่างนั้น
ชั่วขณะเดียวในที่นั้นเงียบงันไร้สรรพเสียง ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา สีหน้ามืดทะมึนหาใดเปรียบ…